Anontawong’s Musings อายุครบ 10 ปีแล้วครับ!

ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าของคืนวันที่ 2 มกราคม 2025

วันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 มกราคม 2015 คือวันที่ผมเริ่มเขียนบล็อก Anontawong’s Musings อย่างจริงจัง

ที่จริงแล้ว บทความแรกที่ผมเขียนลงบล็อกนั้น เขียนไว้เมื่อปี 25 มกราคม 2012 สั้นๆ แค่นี้

“Today I signed up on tumblr to start my blog. I don’t know where it is going to lead me but I hope to be able to learn something from doing this.

วันนี้ก็เริ่มเขียนบล็อกส่วนตัวเป็นครั้งแรก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนำไปสู่อะไรบ้างแต่คงจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่มากก็น้อยครับ”

แต่หลังจากนั้น ผมก็เขียนบทความแค่ปีละ 3-4 ตอนเท่านั้น

จนกระทั่งปลายปี 2014 ได้ไปเที่ยวช่วงหยุดปีใหม่กับครอบครัว พกหนังสือ “คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย” ของพี่แท้ป รวิศ หาญอุตสาหะ กับ “มองไกลบนไหล่ยักษ์” ของพี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ

อ่านหนังสือสองเล่มนี้จบแล้วเกิดความฮึกเหิม คิดว่าควรจะลุกขึ้นมาทำอะไรจริงจัง

กลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพ วันที่ 2 มกราคม 2015 ก็เลยโพสต์บทความที่ชื่อว่า “เกิดใหม่” แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะลงบทความติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน

พอเขียนได้ครบ 3 วัน ก็ขยับเป้าเป็น 1 สัปดาห์ พอครบ 1 สัปดาห์ ก็ขยับเป็น 1 เดือน แล้วก็ขยับเป็น 3 เดือน

จนกระทั่งเขียนครบ 100 ตอน เลยประกาศว่าผมจะเขียนบล็อกต่อไปเรื่อยๆ และจะพยายามเขียนทุกวัน จนกระทั่งเขียนครบ 3,000 ตอนเมื่อปลายปี 2023

ในปี 2024 ผมลดจำนวนบทความลงไปพอสมควร ทั้งปีเขียนไปแค่ 63 บทความเท่านั้น แต่ก็รู้สึกว่าคุณภาพโดยรวมของบทความดีขึ้น และที่สำคัญคือผมมีความสุขกับการเขียนมากกว่าเดิม และมีเวลาเพิ่มเติมได้ไปลองทำสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต

ปี 2025 นี้ ผมตั้งใจจะเขียน Anontawong’s Musings ประมาณ 50-60 บทความครับ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาอย่างเหนียวแน่น และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีของ Anontawong’s Musings ผมอยากมอบหนังสือที่ผมเขียนเอง 10 เล่มให้กับ 10 คนที่เข้ามาร่วมคอมเมนท์ โดยช่วยบอกผมว่ารู้จักบล็อกนี้ได้ยังไง และ/หรือ มีบทความไหนที่ชอบเป็นพิเศษ โดยผมจะสุ่มชื่อคนที่มาร่วมสนุกและทักไปทาง inbox ในช่วงปลายสัปดาห์หน้านะครับ

สุดท้ายนี้ ขอยกถ้อยคำบางส่วนจากบางบทความที่อาจเคยผ่านหูผ่านตาของทุกคนมาบ้าง ในตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

สวัสดีปีใหม่ 2025 ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ และมีความสุขกับเส้นทางที่เราเลือกเดินครับ


2015 – วิธีการจัดบ้านแบบ KonMari

มาริเอะบอกว่า การจัดบ้านไม่ใช่แค่การจัดบ้าน แต่มันคือการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับข้าวของที่เรามี

การจัดบ้าน คือการสบตากับความจริง ว่าตัวเราในปัจจุบันต้องการอะไร และเราต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบไหน

การจัดบ้านให้เรียบร้อย จึงเป็นการเดินทางของจิตวิญญาณ ปลดปล่อยตัวเองจากอดีต และมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ด้วยความไว้ใจในชีวิตเช่นนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เราใช้ชีวิตกับปัจจุบันได้ดีที่สุด

ลองนึกภาพดูนะครับว่า ถ้าของทุกชิ้นในบ้านคุณ spark joy มันจะดีแค่ไหน

เปิดตู้เสื้อผ้าก็เห็นแต่ชุดที่เราอยากใส่ มองไปที่ชั้นหนังสือก็เจอแต่หนังสือที่อยากหยิบขึ้นมาอ่าน ดีวีดีทุกแผ่นล้วนแล้วแต่เป็นหนังในดวงใจ และรูปทุกใบทำให้เรายิ้มทุกครั้งที่เห็น

เมื่อนั้น “บ้าน” จะเป็นแหล่งพักพิงใจของเราอย่างแท้จริง


2016 – ก่อนจะลาออกไป Follow Your Passion

เพราะการได้ทำสิ่งที่รัก ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะมีความสุขกับงานได้ แต่การรักในสิ่งที่ทำและมุ่งสู่ความเป็นเลิศในทางนั้นก็ทำให้เรามีความสุขได้เช่นกัน

ดังนั้น ก่อนจะลาออกไปทำสิ่งที่รัก ลองมา “เอาจริง” กับงานที่อยู่ตรงหน้ากันซักตั้งก่อนมั้ย

มาทำตัวเองให้เก่งจนใครๆ ก็ต้องมองมาที่เรา – be so good they can’t ignore you

แล้วโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก (แถมยังได้เงินดี) จะวิ่งเข้าหาเราแน่นอนครับ


2017 – ใครเบื่อรถติดบนทางด่วนพระราม 9 โปรดอ่าน!

(บทความนี้ชักชวนให้คนหันมาใช้ Easy Pass)

ใช่ครับ ถ้าคนเปลี่ยนไปใช้ Easy Pass แค่ไม่กี่สิบหรือไม่กี่ร้อยคน สถานการณ์ย่อมไม่มีอะไรดีขึ้นมา

คำถามคือคุณจะเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา หรือจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทางออก

เพียง 3,000 คนเปลี่ยนมาใช้ Easy Pass ชีวิตคนอีก 18,000 คนจะดีขึ้นทันที ประหยัดเวลามวลรวมได้ 6,000 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 1,500,000 ชั่วโมงต่อปี

ถ้าคุณยังจำความรู้สึกที่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ ซักอย่างในเดือนตุลาคมนี้ ผมคิดว่าการหันมาใช้ Easy Pass เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว


2018 – เรื่องราวของชายผู้ถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงาน

วันหนึ่งผมเจอโปรไฟล์ของคนที่น่าสนใจเลยโทร.ไปหาเพื่อเชิญให้เขามาสัมภาษณ์ เขาจะได้เงินและตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมมาก

“ขอโทษด้วยครับ แต่ผมไม่สนใจครับ” เขาปฏิเสธ

ผมถามเพิ่มว่าทำไม เขาตอบว่า

“ผมถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงานแล้วครับ” (“I already made it to the top”)

ผมดูเรซูเม่ของเขาอีกครั้ง เขาไม่ได้ตำแหน่งสูงอะไรเลย ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้จัดการด้วยซ้ำ

เขาเลยอธิบายว่า “การไปถึงจุดสูงสุด” สำหรับเขาคือการที่เขารักงานที่เขาทำในแต่ละวัน เขารักบริษัทที่เขาทำงานอยู่ ทุกๆ คนปฏิบัติกับเขาด้วยความเคารพ เงินเดือนเขามากพอที่จะอยู่ได้อย่างสบายๆ มีสวัสดิการที่ยอดเยี่ยม มีความยืดหยุ่นในการทำงาน และที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยพลาดเกมแข่งเบสบอสของลูก การแสดงที่โรงเรียน การประชุมผู้ปกครอง วันครบรอบแต่งงาน วันเกิด หรือวันสำคัญๆ ของครอบครัวเลย


2019 – ทำไมคนไทยไม่ตรงต่อเวลา

นิสัยไม่ตรงต่อเวลาเป็นเรื่องปกติของคนในประเทศเขตร้อน เท่าที่ฉันสังเกต คนฟิลิปปินส์ดูจะมีความตรงต่อเวลาน้อยกว่าคนไทยเสียอีก

หลายคนตั้งสมมติฐานว่ามันเป็นเพราะดินฟ้าอากาศ เวลาเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับคนอเมริกันและคนยุโรป ถ้าเราไม่เก็บเกี่ยวพืชผลให้ทันก่อนฤดูหนาวจะมาเยือน พวกเราก็จะอดตาย ฤดูกาลทั้งสี่นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน และคอยย้ำเตือนว่าวันคืนกำลังหมุนไป และเหลือเวลาอีกเท่าใดกว่าฤดูหนาวจะกลับมาอีกครั้ง วัฒนธรรมของเราจึงให้ความสำคัญต่อการตรงต่อเวลา และมันก็ส่งผลต่อชีวิตเราในทุกแง่มุมตราบจนทุกวันนี้

แต่สำหรับเมืองไทย ฤดูกาลไม่เคยเปลี่ยน ฤดูหนาวไม่เคยมาถึง คนไทยเลยไม่เคยต้องเตรียมอาหารให้พร้อมสำหรับฤดูหนาว ผลไม้และข้าวปลูกได้ทั้งปี อากาศที่ร้อนอย่างสม่ำเสมอทำให้คนไทยไม่ค่อยรู้สึกถึงการผ่านไปของเวลา และรู้สึกว่าอะไรๆ ก็ยังเหมือนเดิม

ด้วยเหตุผลนี้พวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลา เพราะพวกเขามีเวลาเหลือเฟือ ถ้าวันนี้ยังไม่ได้เกี่ยวข้าวก็ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้


2020 – ความลับของฟ้า จากธนา เธียรอัจฉริยะ

ตอนอายุ 37 ปี สมัยอยู่ DTAC พี่โจ้เคยน้ำหนักเกือบ 100 กิโล กินอาหารแบบ “อชีวจิต” ผักไม่กิน กินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์คราวละ 30-40 ชิ้น

เย็นวันหนึ่งระหว่างกินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์ พี่โจ้รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดปกติ ต้องขับรถไปโรงพยาบาล นอน CCU ไป 1 คืน

เป็นคืนที่แย่ที่สุดในชีวิต และเป็นคืนที่ดีที่สุดในชีวิตด้วย เพราะวิกฤติมาสะกิดเตือนเราเบาๆ ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว

หลังจากนั้นพี่โจ้จึงเริ่มกินผัก และเริ่มวิ่งเป็นประจำ วันแรกๆ วิ่งได้แค่ 400 เมตร ตอนนี้สามารถวิ่งได้ 10 กิโลเมตรสบายๆ พี่โจ้แคปหน้าจอแอปวิ่งให้เห็นว่า พี่โจ้วิ่งครบ 10,000 กิโลเมตรไปเรียบร้อยแล้ว

พี่โจ้รู้สึกขอบคุณที่ได้เข้า CCU ตั้งแต่ตอนอายุ 37 เพราะถ้าตอนนั้นยังไม่เปลี่ยน แล้วมาป่วยตอนอายุ 51 ปีน่าจะรอดยาก


2021 – 17 ข้อคิดจาก The Psychology of Money หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2021

สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากเรื่องที่ไม่คาดฝัน คือโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คาดฝัน ไม่ใช่พยายามไปทำนายเรื่องที่ไม่คาดฝัน

ตอนปลายปี 2019 มีกูรูมากมายออกมาทำนายว่าอะไรจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2020 บ้าง

ไม่มีแม้แต่สำนักเดียวที่บอกว่าปัจจัยสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจปี 2020 คือโรคระบาด

เพราะความเสี่ยงคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่คุณคิดว่าคุณคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว

“Risk is what’s left over when you think you’ve thought of everything.”
-Carl Richards


2022 – หายใจแบบวิสกี้

Whiskey Breathing – หายใจเข้านับ 1 ถึง 4 หายใจออกนับ 1 ถึง 8 (รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 10-12 วินาที)

หายใจแบบวิสกี้ จะช่วยให้เราเคลิ้มและหลับได้เร็วขึ้น เพราะมันไปกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic) ซึ่งเป็นระบบที่ทำงานในสภาวะที่ร่างกายพักผ่อน เราสามารถหายใจแบบวิสกี้สัก 10 ยกหรือจนกว่าเราจะผล็อยหลับไปเลยก็ได้


2023 – วัยสี่สิบกว่าคือนาทีทอง

พ่อสอนพี่อ้นตั้งแต่เด็กว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่เป็นอิสระ จงอย่าเป็นหนี้ใคร

พี่อ้นจึงเป็นคนไม่มีหนี้ อยากซื้ออะไรก็จะเก็บเงินก่อนเสมอ แม้กระทั่งคอนโดก็ซื้อด้วยเงินสด

พี่อ้นมีลูกสองคน ลูกชายเรียนจบแล้ว ส่วนลูกสาวกำลังเรียนอยู่ปี 4

ตอนแรกลูกชายพี่อ้นเรียนโรงเรียนอินเตอร์ แต่พอเห็นว่าลูกไม่ยอมกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง บ่นว่าร้อน คุณพ่อจึงตัดสินใจให้ไปเข้าโรงเรียนไทย ให้หัดไปต่อคิวซื้อข้าวในโรงอาหาร

“การเลือกโรงเรียนคือการเลือกไลฟ์สไตล์ให้ลูก” พี่อ้นกล่าว

พี่อ้นเป็นคนไม่ใช้ของแบรนด์เนม ลูกสาวพี่อ้นจึงไม่ติดของแบรนด์เนมเช่นกัน

“Live one level below what you can afford.” แล้วเราจะรู้สึกว่ามีเงินพอใช้ตลอด

คนไม่น้อยชอบทำตรงกันข้าม คือ Live one level above.


2024 – ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

เราทุกคนอยากเป็นคนพิเศษ

เราเข้าใจดีว่า เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แต่เราก็อดหวังไม่ได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา เพราะเราก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าเรามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น

พอเราเชื่อว่าเราพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อเจอเรื่องธรรมดาอย่างการพลัดพราก เราจึงทุกข์ทรมานเป็นพิเศษเช่นกัน

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราละทิ้งความเชื่อว่าเราเป็นคนพิเศษนี้ได้ และยอมรับว่าเราเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เราก็จะเข้าใจและทำใจได้เร็วขึ้นเมื่อถึงวันที่เราต้องประสบกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความพลัดพราก หรือความสูญเสีย

เราคือคนธรรมดา และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะจักรวาลมุ่งไปในทางทิศทางนี้ เราไม่อาจต้านทานหรือฝืนมันได้เลย


อ่านบทความทั้งหมดของ Anontawong’s Musings ได้ที่ anontawong.com/archives/

อยากเป็นศิลปินหรืออยากเป็นคนดัง

ผมได้ฟังรายการ ติดคุย ที่ “พุฒต้าเร” สัมภาษณ์ เจ มณฑล จิรา

เจ มณฑล เคยโด่งดังเป็นพลุแตกจากโฆษณาทเวลฟ์ พลัส โคโลญ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

เจเคยเป็นทั้งนายแบบและนักแสดง แต่สิ่งที่เขาจริงจังมากที่สุดคือเรื่องดนตรี เคยมีอัลบั้มของตัวเอง เคยไปทัวร์กับวงดนตรีเมืองนอก และเคยเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินหลายคน

ผมเพิ่งรู้จากรายการนี้ว่าเขาคือหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wonderfruit Festival เทศกาลดนตรีสุดฮิป น้อง Gen Z หลายคนที่ผมรู้จักก็ไปงานนี้กัน

ผมชอบคำตอบในช่วงท้ายๆ ของรายการมากจนอยากจะเอามาบันทึกในบล็อกนี้ (นาทีที่ 52 เป็นต้นไป)

เจ: เราจะคิดไปว่า เรามาเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้เค้า เค้าอาจจะยังไม่เข้าใจตอนนี้ เค้าอาจจะไม่ชอบตอนนี้ แต่ว่าวันนึงเค้าอาจจะเห็นความตั้งใจของเรา ขอแค่เค้าไม่…ภาษาอังกฤษเค้าจะเรียกว่า clear the floor…แต่มันก็มีนะ เมื่อก่อนมีหลายช่วงเลย ที่เราออกไปเป็นดีเจ ตอนแรกคนจะเต็ม เล่นไปซักพักนึงคนจะโล่งเลย…ซึ่งบางครั้งถ้ามันไม่เกิดขึ้น แสดงว่าเราต้องทำอะไรผิด…มันต้อง clear the floor บ้าง ไม่อย่างนั้นแสดงว่าแนวเพลงเรามันอาจจะง่ายไป

ต้า: ความหมายก็คือ ถ้าเล่นแล้วคนยังอยู่ แสดงว่าลิสต์เพลงเราป๊อปไป ง่ายไป คนดูก็เลยยังอยู่ ต้องเล่นให้มันยากขึ้นให้คนเดินหนี (เจ: ใช่!) -ึงบ้ารึเปล่า?

ต้า: นี่แหละเดนตายเลยล่ะ รับรอง

เจ: ก็อย่าท้อสิ เรารู้ว่าถ้าเราเล่นเพลงง่ายๆ เดี๋ยวเค้าก็กลับมา แต่เพลงที่ง่ายน่ะ คนก่อนเรากับคนหลังเราเค้าเล่นอยู่แล้ว

เร: อันนี้คือรายการพื้นที่ชีวิต หรือ RAMA Channel รึเปล่า

เจ: เพราะเราเห็นหลายวงขึ้นเวทีไป พอเค้าลงมา เราถามว่าดีมั้ย? เค้าบอก ‘ไม่ค่อยดีว่ะ energy คนดูเค้าไม่ตาม’ แต่เราถามว่าการแสดงน่ะมันดีมั้ย เค้าบอก ‘ไม่ดีอ่ะ เพราะคนมันไม่ตาม’ – เกี่ยวอะไร มันวัดผิด บางคนจะบอกว่า ‘อ๋อ โคตรดีอ่ะ คนมันโคตรอินเลย’ – ไม่ๆ แต่การแสดงอ่ะ วงเล่นดีรึเปล่า มันคนละเรื่องกันเลย เราถามนักดนตรี กับเราถาม entertainer มันคนละอย่างกัน

ต้า: แต่กูก็ยังไม่บรรลุแบบมัน กูยังไม่กล้าพอที่จะเล่นให้คนหนี

เจ: เราไม่ได้พยายามจะเล่นให้คนหนี แต่เราแค่เห็นว่าสิ่งที่เราอยากจะเล่นน่ะมันอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่เค้าต้องการ

เจ: แต่ว่าตอนหลัง คนที่มา Wonderfruit เค้าจะแบบ ว้าว! ตอนนี้ทำไมมันเป็นสิ่งที่ต้องการแล้วล่ะ…ใช่มั้ย? มันต้องใช้เวลา

เร: ขออีกคำถามนึงสำหรับน้องๆ ที่เค้าอยากเป็นศิลปินมาก อาจจะออกผลงานมาเรื่อยๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เปรี้ยงซักที จะให้กำลังใจเค้ายังไงครับ?

เจ: ก็ต้องดูว่าความสำเร็จที่เค้าต้องการมันคืออะไร – อยากจะดังใช่มั้ย? ถ้าอยากดัง ไปทำคลิป TikTok เต้นไปเต้นมา 15 วิก็พอ ไม่ต้องทำเพลงหรอก…แต่ถ้าอยากเป็นนักดนตรีที่ดี อยู่บ้าน ซ้อมเยอะๆ ฟังเพลงเยอะๆ แค่นั้นแหละ


Seth Godin เป็นหนึ่งในฮีโร่ของผมในการเขียนบล็อก เขาเขียนบล็อกอย่างสม่ำเสมอมา 20 ปีแล้ว

เซธบอกว่าทุกคนสามารถเป็นศิลปินได้ โดยศิลปิน (artist) ในนิยามของเซธ คือคนที่กล้าสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา อะไรบางอย่างที่มันอาจจะไม่เวิร์ค (something that might not work) แล้วก็แชร์สิ่งนั้นเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมในใจให้กับคนอื่น

ด้วยนิยามแบบนี้ บล็อกเกอร์ก็นับเป็นศิลปินได้เช่นกัน

ผมจึงชอบแนวคิดของเจ มนฑล เป็นพิเศษ เพราะเขาเดินทางในวงการนี้มาหลายสิบปี และเข้าใจแล้วว่าแก่นของการเป็นศิลปินคืออะไร

ศิลปินต้องกล้าที่จะเสี่ยง ต้องกล้าทำอะไรบางอย่างที่มันอาจจะไม่เวิร์ค

ถ้าอยากจะเป็นศิลปินที่ดี ก็จงมุ่งมั่นฝึกปรือฝีมือของเราต่อไป แต่ถ้าอยากเป็นคนดัง มันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น ไม่ต้องเป็นศิลปินก็ได้

ดังนั้น ใครที่เลือกจะเป็น content creator หากงานของเรามันยังไม่ปัง ยังไม่เคยไวรัล ก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ ตราบใดที่เจตนาของเราคือการสร้างผลงานที่มีประโยชน์ คือการแบ่งปันสิ่งที่เรามีเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้อื่น เราก็ควรจะภูมิใจกับตัวเองได้โดยไม่ต้องดูยอดไลค์กำกับ

สิ่งที่เราควรระมัดระวัง คือการโหยหาความยอมรับเสียจนเรายอมลดมาตรฐานหรือปรับแต่งผลงานของเพื่อให้ถูกใจ algorithm ของโซเชียลมีเดียและคนหมู่มาก เพราะเมื่อเราพยายามจะเอาใจคนอื่นเกินไป เราก็จะหลงลืมเหตุผลที่เราเริ่มทำสิ่งนี้ตั้งแต่แรก

งานบางอย่างต้องใช้เวลา บางคนเขาอาจจะยังไม่พร้อมตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ “เพลง” ของเราอาจจะยังฟังยากสักหน่อย

“เพลงที่ง่ายน่ะ คนก่อนเรากับคนหลังเราเค้าเล่นอยู่แล้ว”

บรรเลงเพลงของเราให้ดีต่อไป แล้ววันหนึ่งจะมีคนเข้าใจเราแน่นอน

รีวิวการเปิดเพจบน Blockdit

สัปดาห์ที่ผ่านมา เพจ Anontawong’s Musings บน Blockdit มียอด followers ครบ 20,000 คน หลังจากที่ผมเปิดเพจบนแพลตฟอร์มนี้มาร่วม 2 ปี

วันนี้เลยจะมาขอแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเปิดเพจบนแพลตฟอร์มนี้ครับ

Blockdit คืออะไร
Blockdit บอกว่าตัวเองเป็น social network platform that connects all great ideas together. เป็นแอปที่สร้างโดยทีมงาน ลงทุนแมน พัฒนาโดยคนไทยเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ

ไม่มีนักเลงคีย์บอร์ด
สิ่งที่เห็นได้ชัดใน Blockdit ก็คือในสังคมนี้ไม่ค่อยมีการทะเลาะกัน ส่วนใหญ่จะมาคอมเมนท์กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ได้เข้ามาทุ่มเถียงเอาเป็นเอาตายเหมือนใน Facebook หรือใน Twitter เพจที่เปิดอยู่ในนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวที่มีสาระและให้ความรู้ ไม่ค่อยมีเนื้อหาดราม่าที่พาอารมณ์คนอ่านนั่งรถไฟเหาะ

สิ่งที่ Blockdit เด่นกว่า Facebook
ถ้าดูไวๆ Blockdit แทบจะเหมือนเฟซบุ๊คทุกอย่าง ทั้งเฉดสี เลย์เอาท์ ปุ่ม reaction ต่างๆ ส่วนในฐานะเจ้าของเพจก็มีปุ่มบู๊สต์โพสต์เพื่อให้คนเห็นบทความเรามากขึ้นด้วย

แต่ก็มีหลายฟีเจอร์ของ Blockdit ที่ไม่มีบนเฟซบุ๊ค เช่นเวลาโพสต์บทความ Blockdit เราสามารถแทรกรูปภาพในบทความได้หลายรูป ทำให้ประสบการณ์การอ่านนั้นดีกว่าบนเฟซบุ๊ค ที่รูปก็อยู่ส่วนรูป บทความก็อยู่ส่วนบทความ

Blockdit ยังเปิดให้เขียนเป็น Series ก็ได้ หรือจะโพสต์พอดคาสท์ก็ได้ ทั้งสองอย่างนี้ผมยังไม่ได้ลอง แต่เห็นเจ้าของเพจคนอื่นๆ ก็ใช้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดอีกอย่างก็คือ response time ของ Blockdit นั้นเร็วมาก ไม่ว่าจะอัพโหลดรูปหรือกดโพสต์ ข้อความของเราก็จะ live แทบทันที ซึ่งต่างจากเวลาที่ผมโพสต์ลงเฟซบุ๊คที่ตอนนี้เปลี่ยน interface ไปเป็นแบ็คกราวด์สีดำ พอกดโพสต์แล้วต้องนับ 1-10 ในใจกว่าบทความนั้นจะโพสต์สำเร็จ

เปิดโอกาสให้บทความเก่าๆ ได้ “เห็นเดือนเห็นตะวัน”
บนเฟซบุ๊คนั้น อะไรที่เก่าเกินหนึ่งสัปดาห์เราก็แทบจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ามันอีกแล้ว แต่บน Blockdit นั้น เมื่ออ่านไปจนจบบทความ มันจะมีบทความแนะนำที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันมาให้เราได้อ่านอีก ซึ่งบทความเหล่านั้นอาจจะถูกเขียนเอาไว้หลายเดือนแล้วก็ได้ บทความเก่าๆ ของผมหลายตอนเลยถูกคนนำมาแชร์ใหม่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นบนเฟซบุ๊คเลย

ยอดไลค์โตเร็วกว่าเฟซบุ๊ค
ผมเปิดเพจ Anontawong’s Musings บน Facebook มาเกือบ 6 ปี มีคนตามเพจประมาณ 30,000 คน ส่วน Blockdit นั้นมีคนตามครบ 20,000 คนภายในเวลาไม่ถึงสองปี ดังนั้นคิดว่าภายใน 18 เดือนข้างหน้า ยอด followers บน Blockdit ก็น่าจะแซง Facebook ได้ไม่ยาก

ถ้าบทความดังจน “ติดดาว” ก็จะได้ค่าตอบแทน
บทความติดดาวความว่าบทความนี้ได้รับความนิยมและ Blockdit ก็จะตอบแทนนักเขียนเป็นตัวเงิน โดยบทความที่ได้ดาวจะได้ค่าตอบแทนที่ประมาณ 80-120 บาท เมื่อรายได้สะสมเกิน 1,000 บาทก็สามารถขอให้ทาง Blockdit โอนเงินเข้าบัญชีเราได้ และมีหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายส่งมาให้ทางอีเมลด้วย

ตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมาผมโพสต์บทความไปทั้งหมด 656 โพสต์ เป็นบทความติดดาว 267 โพสต์ และได้ค่าตอบแทนจาก Blockdit รวมแล้วประมาณ 25,000 บาทครับ

ผมคิดว่า algorithm ในการติดดาวยังไม่ค่อยเสมอต้นเสมอปลายเท่าไหร่ บางบทความมีคนกดแชร์แค่ 3 ครั้งก็ได้ดาวแล้ว ในขณะที่บางอันมีคนแชร์เป็นสิบแต่กลับไม่ได้ดาว

ยอดไลค์/reach ไม่ได้โตตามจำนวน followers
อันนี้ผมค่อนข้างแปลกใจที่ยอด Like หรือ Reach ไม่ได้โตขึ้นตามจำนวน followers เท่าไหร่ ซึ่งผมเดาเอาเองว่าเป็นหลักการของทีมงาน Blockdit ที่ต้องการ “กระจายอำนาจ” ให้คนทำเพจ แม้จะเป็นเพจเล็กคนติดตามแค่ไม่กี่ร้อยคน ก็มี reach ที่ไม่ได้ต่างกับเพจใหญ่ที่คนติดตามเป็นหมื่นนัก ซึ่งก็น่าจะเป็นกำลังใจให้คนที่เริ่มทำเพจได้ไม่มากก็น้อย และผมก็เชื่อว่าถ้ามี active users มากขึ้น ยอด reach ของเพจใหญ่ก็น่าจะดีขึ้นกว่านี้

“Hot” Feed – อีกหนึ่งสิ่งที่เฟซบุ๊คไม่มี
บทความจะมีคนเห็นเยอะหรือไม่นั้น ผมคิดว่าปัจจัยหลักก็คือ engagement เบื้องต้นนั้นดีรึเปล่า ถ้า engagement ดี บทความนั้นจะถูกคัดสรรไปอยู่ในฟีด “ไฟลุก” ซึ่งหมายถึงบทความยอดนิยมประจำวันนั้นๆ ซึ่งแยกออกมาจาก Timeline ปกติ ถ้าบทความของเราได้ไปอยู่ในฟีดไฟลุกก็มีความเป็นไปได้สูงที่บทความจะมีคนกดไลค์เยอะ ได้ติดดาวพร้อมได้ตังค์ค่าขนมครับ

ถ้าในบทความมีแปะลิงค์ไปที่อื่นๆ reach จะตกลงอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าผมใส่ลิงค์ไปยังเว็บอื่นๆ ยอด reach จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ตรงนี้น่าจะเป็นมิติที่ผมขัดใจที่สุดในการใช้งาน Blockdit แม้จะเข้าใจว่าอยากจะให้ผู้อ่านอยู่บน platform ของตัวเองให้นานที่สุด แต่ผมเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้

มีการ “ฝากร้าน” ค่อนข้างเยอะ
ด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มที่เขียนแล้วได้เงิน จึงมีคนมาเปิดเพจบน Blockdit เพื่อหวังเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง สิ่งที่ตามมาก็คือเจ้าของเพจเหล่านั้นจะไปคอมเมนท์ตามเพจต่างๆ ประมาณว่าทิ้งชื่อเพจตัวเองไว้ตามบทความที่ดังๆ เพื่อหวังให้คนเห็นและให้คนตามมากดไลค์ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ได้ผลรึเปล่า ผลลัพธ์ก็คือคอมเมนท์ใต้โพสต์นั้นเกินครึ่งเป็นการฝากร้านมากกว่าเป็นการมาคอมเมนท์เพื่อแสดงความเห็นของผู้อ่านธรรมดา

บทสรุป
Blockdit มีความมุ่งหมายที่จะเป็น social media ที่รวบรวมเรื่องราวดีๆ และสร้างสรรค์เพื่อคนไทย แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็น social media ได้เต็มตัวเพราะ users ไม่ได้ connect กันเองเท่าไหร่ แต่เรื่องคอนเทนท์คุณภาพต้องยอมรับว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

ในแง่ฟีเจอร์ Blockdit มีหลายๆ อย่างที่โดดเด่นกว่าเฟซบุ๊ค แถมคนเขียนยังได้เงินอีกด้วย แต่มันก็มี side effect ตรงที่มีคนอยากมาเปิดเพจเพื่อหาตังค์ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ users ที่เข้ามาอ่านเฉยๆ

ใครที่สนใจเปิดเพจใน Blockdit ผมก็แนะนำให้ทำนะครับ ยิ่งถ้ามีเพจอยู่ในเฟซบุ๊คอยู่แล้ว การเพิ่มคอนเทนท์ลงใน Blockdit นั้นแทบไม่ได้เสียเวลาเพิ่มเติมเลย เผลอๆ อาจจะกลายมาเป็นช่องทางที่มีคนติดตามเยอะที่สุดก็เป็นได้

ขอบคุณทีมงาน Blockdit ที่สร้างแอปดีๆ ให้เราได้ใช้กัน ขอเป็นกำลังใจให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ครับ

9 เรื่องที่สุดแห่งปี 59 ของ Anontawong’s Musings

20161230_59review

1. เศร้าใจที่สุด
การเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือเหตุการณ์สำคัญที่สุดในปีที่ผ่านมา คนไทยเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และลุกขึ้นมาทำความดีกันคนละไม้คนละมือกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมจำได้ว่าช่วงนั้นคนขับรถอย่างมีน้ำใจกันเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้เหมือนคนไทยกำลังจะกลับเข้าสู่โหมดปกติอีกแล้ว ซึ่งจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมากหากการสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้นำพาเราไปสู่การปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเลย ผมเองมีความตั้งใจที่จะเขียนถึงท่านเรื่อยๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่ลืมความตั้งใจที่เราเคยมีในช่วงที่เกิดการสูญเสียใหม่ๆ ครับ (บทความเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9)

2. ภูมิใจที่สุด
คือการเขียนบล็อกวันละตอนตลอดปี 2559 รวมบทความนี้ก็จะได้ 366 ตอนพอดี (ปีนี้เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน)

แต่ต้องขอสารภาพว่า พอย้อนกลับไปดู จริงๆ แล้วผมขาดไปหนึ่งวันคือวันที่ 2 มีนาคม (ช่วงนั้นตารางชีวิตยังไม่เข้าที่) วันพฤหัสฯที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมาผมเลยเขียนสองตอนเพื่อชดเชยครับ

3. ดีใจที่สุด
คือ anontawong.com มียอดวิวครบ 1 ล้านวิว ในวันที่ 27 มิถุนายน ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญยิ่งสำหรับบล็อกเกอร์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง และคาดว่าภายในกุมภาพันธ์ 2560 น่าจะถึง 2 ล้านวิวครับ

4. อ่านเยอะที่สุด
บทความ 9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา ซึ่งเขียนขึ้นหลังการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือบทความที่มีคนอ่านเยอะที่สุดคือ 478,000 ครั้งและแชร์ 129,000 ครั้ง (ส่วนแชมป์ปีที่แล้วคือเรื่องการจัดบ้านแบบคอนมาริ)

จริงๆ ผมเกือบจะไม่ได้เขียนบทความ 9 บทเรียนฯ นี้แล้วด้วยซ้ำ เพราะวันนั้นจำได้ชัดเจนว่าไม่มีกะจิตกะใจจะเขียนอะไรเลย ทำใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องผิดคำพูดที่ว่าจะเขียนบล็อกทุกวัน แต่สุดท้ายก็คิดได้ ใจโล่งขึ้นและมานั่งลงที่โต๊ะตอนสามทุ่มกว่าๆ และเขียนเสร็จก่อนเที่ยงคืนเพียงนิดเดียว

5. มุ้งมิ้งที่สุด
บทความเรื่อง โชคดี ที่เขียนขึ้นตอนตีสองของเช้าตรู่วันวาเลนไทน์ โดยมีภรรยามานั่งให้กำลังใจ (และให้เรานวดเท้าให้) น่าจะเป็นบทความที่ “หวานออกอากาศ” ที่สุดประจำปีนี้

6. แรงที่สุด
คือประโยคที่ว่า

“คนโง่จะพูดอยู่สองอย่าง ไม่มีเวลา กับทำไม่ได้”

ของดร.วรภัทร ภู่เจริญในบทความชื่อ สองอย่าง ซึ่งมีคนแชร์ไปสี่หมื่นกว่าครั้ง และทำให้ผู้อ่านบางคนถึงกับเข้ามาคอมเม้นท์ในเพจ Anontawong’s Musings อย่างถึงพริกถึงขิง

7. ใช้พลังที่สุด
คือซีรี่ส์เรื่อง Sapiens ว่าด้วยประวัติศาสตร์และอนาคตของมนุษยชาติ ตอนนี้เขียนถึงตอนที่ 3 แล้ว (และน่าจะมีอีกประมาณ 30 ตอน) แต่ละตอนใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมงในการอ่าน ย่อยข้อมูล และเรียบเรียง ใครอยากเห็นภาพชัดขึ้นว่าเรามาถึงจุดๆ นี้ได้ยังไง และเราจะไปไหนกันต่อ อยากให้ลองอ่านดูครับ (อ่านบทความทั้งหมดได้ใน Category: Homo Sapiens )

8. น่ารักที่สุด
คือผู้อ่านทุกท่านที่ติดตาม เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แก้คำผิด รวมถึงแจ้ง(ฟ้อง)ผมเวลามีคนเอาบทความจากบล็อกนี้ไปใช้ที่อื่นโดยไม่ให้เครดิตครับ โดยเฉพาะผู้อ่านต่อไปนี้: Chan L., Piya P., Theerawoot B., Thanyaporn P.S., Julnarong W. รวมไปถึงครูณัชรเจ้าของเพจ ดร ณัชร สยามวาลา และ ปูเป้เจ้าของเพจ Stellar Balcony ครับผม

9.ขอบคุณที่สุด
ผึ้ง – ภรรยาที่ช่วยแชร์บทความของผมทุกตอน ต้องขอโทษด้วยที่บางครั้งเราใช้เวลากับบล็อกมากไปนิด จนมีเวลาช่วยผึ้งเลี้ยงปรายฝนน้อยไปหน่อย ขอบคุณที่เข้าใจและสนับสนุนเสมอมานะ

รอง – น้องชายที่ช่วยแชร์บทความทุกตอนเช่นกัน ใครสนใจเรียนรู้ทริคการใช้งาน Excel ลองเข้าไปตามอ่านได้ที่ kacharuk.com นะครับ

แม่กับพ่อ – ที่ช่วยผมแชร์บทความทั้งทางไลน์และเฟซบุ๊คและคอยส่งคำชมจากผู้ใหญ่มาให้ชื่นใจ

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ติดตามและให้กำลังใจมาตลอดปี 2559

แล้วพบกันใหม่ปีหน้าครับ!



facebook.com/anontawongblog
anontawong.com/archives
Download eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com