ทำเล่นๆ แต่เป็นประจำดีกว่าทำจริงจังแต่ไม่ต่อเนื่อง

เวลาจะเริ่มทำอะไร ยังไม่ต้องตั้งเป้าหมายให้มันยิ่งใหญ่ เพราะเป้าหมายไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเรา สิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเราคือวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ต่างหาก

การจริงจังเกินไปกับเรื่องบางเรื่อง บางทีมันก็ไปปลุกต่อม amygdala ที่ปิดกั้นความคิดเป็นเหตุเป็นผลและทำให้เราเข้าสู่โหมด fight or flight คือไม่สู้สุดใจก็หนีไปไกลสุดกู่

จึงไม่แปลกที่จะเห็นคนประกาศ new year’s resolutions แล้วทำจริงจังอยู่แค่ 1 เดือน (fight) จากนั้นก็หายหน้าหายตาไปเลย (flight)

ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ลองทำเล่นๆ แต่ทำมันทุกวัน แล้วความเคยชินจะส่งผล กิจวัตรจะทำให้เราทำได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องพยายาม แล้วผลตอบแทนทบต้นจะเป็นเพื่อนเรา

ทำเล่นๆ แต่เป็นประจำดีกว่าทำจริงจังแต่ไม่ต่อเนื่องครับ

To Do List ของมะรืนนี้

ธรรมดาผมจะใช้แอป Todoist ในการจดงานทุกอย่าง

เมื่อเริ่มต้นวัน ผมก็จะเปิด Todoist เพื่อจะเลือก 3 MIT หรือ Most Important Tasks ขึ้นมาเขียนในสมุด นี่คืองานสามงานที่เราต้องพยายามให้เสร็จหรือสร้างความก้าวหน้าในวันนี้เพราะมันมี impact มากที่สุด

จากนั้นก็จะลิสต์งานอื่นๆ ที่ใช้เวลาไม่มากนัก อีกซัก 5-10 งาน โดยแบ่งเป็นงานที่ต้องทำที่โต๊ะและงานที่ไม่ต้องทำที่โต๊ะ

ปัญหาหนึ่งของวิธีการนี้ก็คือ พอมีงานแทรกระหว่างวัน งานที่เราวางแผนไว้มักจะไม่ได้ทำ

วิธีที่ช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ คือมี to do list ของอีกสองวันถัดไปรอไว้เลย

ถ้างานที่เข้ามาระหว่างวันมันไม่ได้ด่วนมากและไม่ได้สำคัญมาก แต่ก็อยากทำให้เสร็จภายในวันสองวันนี้ ผมก็จะไปเขียนใส่ to do list ของวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้แทน

แน่นอนว่าวิธีนี้ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ งานบางอย่างที่เข้ามาก็ต้องทำทันทีจริงๆ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยสร้างโอกาสให้เราหยุดคิดมากขึ้นว่า งานนี้จำเป็นต้องทำตอนนี้จริงรึเปล่า

เพราะงานที่สำคัญสำหรับคนอื่น มันอาจไม่ได้สำคัญสำหรับเรา

มี to do list ของวันพรุ่งนี้และวันมะรืนเพื่อเป็นบัฟเฟอร์สำหรับงานที่รอได้

เราจะได้สะสางเรื่องสำคัญจริงๆ ของวันนี้ให้แล้วเสร็จตามที่ตั้งใจครับ

วางแผนรับมือกับตัวเราในอนาคต

ซุนวูว่าไว้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

สาเหตุที่เราไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะเราไม่รู้เขาดีพอ

เขาในที่นี้คือตัวเราในอนาคต

ตัวเราตอนวางแผนกับตัวเราตอนเจอสถานการณ์จริงนั้นเป็นคนละคนกัน

ตัวเราตอนวางแผนจะรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เราจึงตั้งเป้าหมายเสียดิบดีเพราะรู้ว่ามันจะนำพาสิ่งที่ดีมาให้

แต่ตัวเราตอนหน้างานนั้นมันไม่ได้สนใจอนาคต มันยึดความรู้สึก ณ ปัจจุบันเป็นหลัก

ยกตัวอย่างง่ายๆ สำหรับคนที่อยากออกไปวิ่ง

ตัวเราที่วางแผน: “พรุ่งนี้ชั้นจะตื่นตี 5 เพื่อออกไปวิ่ง”

ตัวเราตอนตื่นนอน: “ยังง่วงอยู่เลย ขอนอนต่ออีก 10 นาทีแล้วกัน”

ถ้าเรา “รู้เขา” ว่าตัวเราตอนตื่นนอนจะกดปุ่ม snooze แน่ๆ เราก็ควรจะวางแผนรับมือกับสถานการณ์นี้เอาไว้เลย เช่นเอามือถือไปไว้อีกฝั่งนึงของห้อง (ไม่ใช่วางไว้ข้างเตียง) ตอนที่นาฬิกาปลุกเราจึงต้องเดินไปกด ซึ่งอย่างน้อยมันน่าจะช่วยให้เราไม่นอนต่อได้

ตัวเราที่วางแผน: “วันนี้จะตั้งใจทำงานสามชิ้นนี้ให้เสร็จ!”

ตัวเราตอนเริ่มเบื่อๆ: “เข้า Facebook ดีกว่า”

ถ้ารู้เขาว่าเราชอบเข้า social media ระหว่างวัน ก็ลอง log out จาก social media ทุกอย่าง อย่างน้อยตอนกดเข้ามามันจะได้เกิดอาการชั่งใจบ้าง

ถ้ารู้ตัวว่าเอามือถือเข้าห้องน้ำแล้วจะไม่ได้อ่านหนังสือ ก็อย่าพกมือถือเข้าห้องน้ำ

ถ้ารู้ตัวว่าเล่นเน็ตตอนกลางคืนแล้วนอนดึกดื่นทุกที ก็ให้เสียบอุปกรณ์ทิ้งไว้นอกห้องนอน

ถ้ารู้ตัวว่ามีขนมอยู่ใกล้มือแล้วจะกินแล้วก็มาบ่นว่าตัวเองอ้วน ก็หาผลไม้ที่หยิบกินง่ายๆ มาไว้ใกล้มือแทน

ตัวเราในตอนนี้กับตัวเราในอนาคตคือคนละคนกัน

วางแผนรบกับตัวเราในอนาคตเอาไว้ให้ดี

แล้วโอกาสชนะจะมีมากกว่านี้ครับ