Q: ก่อนหน้านี้เราได้ดู TED Talk ในตอนที่เกี่ยวกับพระโดยเฉพาะ ซึ่งมีคนรวบรวมไว้ทั้งหมด 10 กว่าตอนที่ว่าด้วยเรื่องของ Buddhism Lifestyle เราพบว่ามีถึง 6 ใน 10 รูปที่มักจะพูดเรื่องความสุข เลยอยากถามว่าความสุขสำคัญอย่างไร ทำไมต้องหยิบเรื่องนี้มาพูด
A: เพราะมนุษย์ทุกข์ไงครับ แล้วความสุขเชิงพุทธนี่ ถ้าดูดีๆ พระพุทธเจ้าพูดถึงคำว่าพ้นทุกข์ ไม่ได้พูดถึงคำว่าสุข แต่ทีนี้พอพ้นจากทุกข์แล้ว บางทีเราก็เรียกง่ายๆ ว่าเป็นความสุข แต่ที่จริงคือ ทำยังไงให้ไม่ทุกข์มากกว่า ความสุขของคนพุทธก็คือความไม่ทุกข์ มีก็ไม่ทุกข์ ไม่มีก็ไม่ทุกข์ ความไม่ทุกข์คือความเข้าใจว่าชีวิตมันเป็นอย่างนั้นเองเท่านั้นแหละ แต่สังเกตดูดีๆ คนเป็นพระจะไม่ได้สุขแบบตื่นเต้นเร้าใจ ชาวพุทธไม่สุขแบบนั้น ส่วนเรื่องคำว่าความสุข หลวงพี่คิดว่าเพราะคนมักจะใช้คำตรงกันข้าม พอไม่ทุกข์ก็เลยกลายเป็นสุข แต่สุขของโลกคือสุขแบบดี๊ด๊า ซึ่งเป็นคนละความหมายกับสุขแบบพุทธที่ไม่ได้หมายถึงสุขแบบได้ดั่งใจ แต่เป็นสุขจากความเข้าใจ เพราะการได้ดั่งใจไม่ใช่เรื่องสำคัญ เราเคารพเหตุผลมากกว่า ดังนั้นถ้าหลวงพี่ไม่อ่านหนังสือก็จะสอบไม่ได้ หลวงพี่ก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ เพราะหลวงพี่ไม่ได้อ่านไง
– พระจิตร์ ตัณฑเสถียร
a day BULLETIN issue 418, 25-31 Jul 2016
สัมภาษณ์ วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
ถ่ายภาพ ภาสกร ธวัชธาตรี
คนเราน่าจะแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกคือคนที่วิ่งเข้าหาความสุข
สุขในแบบ “ดี๊ด๊า” ตามที่พระจิตร์ท่านว่าไว้
แต่กว่าจะมีความสุขสไตล์นี้ได้ก็อาจต้องผ่านหลายขั้นตอนเหมือนกัน
ต้องทำงาน เพื่อจะได้มีเงินไปซื้อสินค้าหรือบริการที่ทำให้เราสุขแบบดี๊ด๊า
นอกจากมีเงินซื้อของแล้ว ก็อยากมีเงินเหลือด้วย เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินหรือเจ็บป่วย เพราะไม่อย่างนั้นก็จะทุกข์แบบตรอมตรม
เมื่ออยากมีเงินทั้งสำหรับซื้อความสุขดีด๊าในปัจจุบันและป้องกันความทุกข์ตรอมตรมในอนาคต พวกเราส่วนใหญ่ก็เลยต้องเหนื่อยหน่อย
ในขณะที่คนกลุ่มที่สอง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า กำลังแสวงหาความสุขอีกแบบนึง
สุขแบบจืดๆ ไม่หวือหวา
สุขเพียงเพราะว่าไม่ทุกข์
“ข้อเสีย” ของความสุขแบบนี้ก็คือมันอาจจะทำให้ชีวิตไม่มีรสชาติ
แต่ข้อดีก็คือมันเป็นความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินเป็นทางผ่าน
แถมเป็นสุขได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
รุ่งเรืองก็ไม่ดี๊ด๊า ตกยากก็ไม่ตรอมตรม
เพราะคนที่สุขแบบนี้ได้ เขาไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจ ซึ่งเป็นเรื่องภายนอกที่ควบคุมได้ยาก
แต่สุขได้เพราะว่าเข้าใจ ซึ่งเป็นโลกภายในที่ควบคุมได้ง่ายกว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เข้าใจ
เข้าใจทั้งโลก เข้าใจทั้งตัวเอง
พอเข้าใจก็ไม่ทุกข์
พอไม่ทุกข์ก็เป็นสุข
ผมว่าผู้อ่าน Anontawong’s Musings เกือบทั้งหมดก็เป็นสมาชิกของทั้งสองกลุ่มนั่นแหละ
คือยังอยากสุขแบบดี๊ด๊าอยู่ แต่ก็ไม่ละเลยที่จะเรียนรู้วิธีการมีความสุขแบบจืดๆ แต่ยั่งยืนกว่า
คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วครับว่า จะบาลานซ์ความสุขสองอย่างนี้ยังไงให้ตรงจริตเรามากที่สุด
ขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก a day BULLETIN issue 418, 25-31 Jul 2016
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com