รักยังคงอยู่

20150228_IlMare

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในเดือนแห่งความรัก

จึงขอนำ “ท่อนฮุค” ใน il Mare มาย้อนเวลาให้ท่านผู้อ่านที่เคยดูหนังสุดโรแมนติคเรื่องนี้ครับ

“ที่เราต้องเจ็บปวดกับความรักน่ะ ไม่ใช่เพราะมันจากไปหรอก
แต่เพราะมันยังคงอยู่ต่างหาก
ถ้าวันนี้คนสองคน ต่างหมดรักกันไป
คงไม่มีใครต้องเสียใจมากนัก
แต่กลับเป็นเพราะรักที่ยังอยู่ในใจคุณนั่นเอง
ที่ทำให้คุณปล่อยวางลงไม่ได้”

ในทางศาสนาพุทธ ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

เพราะความรักแบบโลกๆ นั้น เป็นความรักที่ใช้ตัวเองเป็นตัวตั้ง

แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างคงทนอยู่ไม่ได้ และทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถบังคับได้ดั่งใจเรา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมีทุกข์เพราะความรัก

ผมก็หวังว่าวันหนึ่ง จิตใจจะเติบโตมากพอที่จะมีรักโดยไม่เอาตัวเองเป็นตัวตั้งได้

เมื่อนั้น ความรักคงจะไม่ทำร้ายใคร

ไม่ว่ารักนั้นจะจากไป หรือจะยังคงอยู่ก็ตาม

—–

Source: Dek-D

—–

หากต้องการรับ Newsletter รายเดือน (รวมเรื่องราวคัดสรรพร้อมบทความพิเศษ) สามารถสมัครได้ที่นี่ครับ

Pic & Pause: Batkid

20150227_PicNPause_Batkid

Batkid

นี่คือภาพ Batkid กับ Batman ที่ถ่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2556 โดยช่างภาพชื่อ เจฟ ชู จากสำนักข่าวเอพี  (AP PHOTO/JEFF CHIU)

คนที่อยู่ในชุด Batkid เป็นเด็กน้อยนามว่า ไมลส์ สก๊อต (Miles Scott)

ไมลส์ ถูกวินิจฉัยว่าเป็นลูคิเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) ตั้งแต่อายุแค่ 20 เดือน และต้องเข้ารับการรักษาด้วยการทำคีโมไปหลายรอบ

ทุกคนทราบกันดีว่าการรักษาด้วยคีโมนั้นทรมานแค่ไหน ขนาดผู้ใหญ่หลายคนยังทนไม่ได้

คิดกลับไปถึงตัวเองในวัยเดียวกับไมลส์ แค่โดนมดกัดก็ร้องไห้จ้าแล้ว

ความเจ็บปวดที่ไมลส์ต้องเจอจากการรักษานั้นคงยากที่เราจะจินตนาการถึงได้

โรคลูคิเมียและคีโมทำให้ไมลส์เป็นเด็กที่ค่อนข้างอ่อนแอและเหนื่อยง่าย

จึงไม่น่าแปลกใจที่ไมลส์มีความฝันอยากเป็นซุปเปอร์ฮีโร่อย่างแบทแมน

—–

ที่อเมริกามีองค์กรการกุศลที่ชื่อว่า Make A Wish

มีเป้าหมายหลักคือช่วยทำความฝันของเด็กที่กำลังป่วยหนักให้เป็นจริง

เมื่อ Make A Wish รู้ว่าไมลส์อยากเป็นแบทแมนก็เลย “จัดให้”

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ่อแม่พาไมลส์เดินทางมาที่เมืองซานฟรานซิสโก โดยหลอกไมลส์ว่ามาหาหมอ

แต่จู่ๆ แบทแมนก็ปรากฎตัว แล้วยื่นชุด “แบทคิด” ให้เจ้าหนูไมลส์สวมใส่ พร้อมทั้งพาไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นการช่วยผู้หญิงที่ถูกมัดและกำลังจะถูกรถทับ จับกุม “นายปริศนา” (Riddler) เข้าคุก และช่วยเหลือ “ลูซีล”  (Lou Seal), มาสค็อตประจำเมืองซานฟรานซิสโกให้รอดพ้นจากเงื้อมมือมนุษย์เพนกวิน

—–

ตอนแรก Make A Wish ต้องการจะจำลองสถานการณ์เสมือนว่า แบทคิดและแบทแมนกำลังอยู่ในเมืองก็อธแฮมจริงๆ (Gotham  คือชื่อเมืองในเรื่องแบทแมน) จึงประกาศหาอาสาสมัครในซานฟรานซิสโกประมาณ 100-200 คนมาทำตัวเป็น “ชาวเมืองก็อธแฮม” เพื่อมาให้กำลังใจแบทคิดหลังเสร็จสิ้นภารกิจและขึ้นรับรางวัลที่ศาลาว่าการ (City Hall)

ปรากฎว่ามีคนสนใจและนำไปแชร์ต่อกันอย่างคาดไม่ถึง กลายเป็นข่าว viral ในระดับที่แม้แต่ประธานาธิบดีโอบามายังอัดวีดีโอ Vine ส่งกำลังใจมาให้

ดังนั้นในวันที่เจ้าหนูแบทคิดออกปฏิบัติการ จึงมีชาวเมืองก็อธแฮมมาคอยถือป้ายให้กำลังใจในทุกภารกิจตลอดทั้งวัน

และในช่วงเย็นของวันนั้น เมื่อแบทคิดและแบทแมนขึ้นรับรางวัลเป็นกุญแจช็อคโกแลตจากผู้ว่าเมืองก็อธแฮม ก็มีชาวเมืองมาร่วมเป็นสักขีพยานถึง 20,000 คน

—–

แน่นอน เรื่องนี้มีทั้งคนชื่นชมและคนตั้งคำถาม ว่าทำไมกับเด็กเพียงแค่คนเดียวถึงต้องลงทุนขนาดนั้น เอาเงินไปช่วยเหลือคนอื่นไม่ดีกว่าหรือ?

ซึ่งเรื่องนี้ผมคงละไว้ให้ท่านผู้อ่านตัดสินใจกันเอง

แต่สิ่งที่ผมสนใจคือปฏิกิริยาของคนร่วมหมื่นที่พร้อมใจกันมาช่วยทำให้ความฝันของเด็กคนหนึ่งเป็นจริง

ผมว่ามันเป็นความงดงามของมนุษย์ ที่ยินดีจะทำอะไรที่ “ดูเหมือนจะไร้สาระและสิ้นเปลือง” เพื่อเพื่อนมนุษย์อีกคนหนึ่ง

อาจจะเพราะเขามองว่า เจ้าหนูไมลส์ไม่ใช่แค่เด็กคนหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของเด็กที่กำลังป่วยเป็นโรคร้ายอีกนับไม่ถ้วน

และเพราะเจ้าหนูไมลส์ก็เป็น “ซุปเปอร์ฮีโร่” จริงๆ

อย่างน้อยก็ในสายตาของพ่อแม่ที่เคยทุกข์ใจเวลาลูกป่วยครับ

Source:  NPRCBS News, ABC News, Vimeo

นิทานปลาดาว

20150226_Starfish

ผมจำไม่ได้แล้วว่า ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่อ่านนิทานให้ฟังก่อนนอนรึเปล่า

แต่ที่จำได้แม่นคือพ่อแม่ผมเคยซื้อหนังสือชุดนิทานอีสปให้ เป็นกระเป๋าสีเนื้อใบใหญ่ ในนั้นมีทั้งหนังสือภาพและเทปให้เปิดฟัง ผมจำได้ว่ามีความสุขมากกับการอ่านและฟังนิทานชุดนี้

ความเจ๋งของนิทานคือมันจะติดตัวเราไปหลายสิบปี เพราะมันมีข้อคิดดีๆ และความจริงของชีวิตอยู่ในนั้น

แต่พอเราเริ่มโตเป็น “ผู้ใหญ่” เราก็ฟังนิทานน้อยลงไปเรื่อยๆ  และหยุดฟังหยุดอ่านไปโดยไม่รู้ตัว

ซึ่งจะว่าไป “ผู้ใหญ่” อย่างเราก็เหมือนเสียโอกาสในการเสพความรื่นรมย์อันเรียบง่ายนี้ไปโดยปริยาย

วันนี้ผมเลยมีนิทานมาเล่าให้ฟังครับ

เป็นนิทานที่ผมไม่ได้ฟังบนเตียงนอนหรือจากเทปม้วนใด

แต่ฟังในหอประชุมตอนผมอยู่ชั้น มัธยมปลายที่ประเทศนิวซีแลนด์

คนเล่านิทานเป็นอาจารย์ใหญ่ตัวโตชื่อมิสเตอร์เบอโร่

เรื่องราวอาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง เพราะผมขอใส่สำนวนตัวเองลงไป ถ้าอ่านสะดุดหรือไม่ได้อรรถรสอย่างไรก็ให้อภัยกันนะครับ

—–

เช้าวันหนึ่ง ชายชราลงไปเดินเล่นที่ชายหาด

เมื่อกวาดสายตาไปบนหาดทรายสีขาวที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เขาก็มองเห็นปลาดาวนับพันตัวนอนเกยตื้นอยู่

ปลาดาวพวกนี้คงถูกพัดพามาช่วงที่น้ำขึ้น และพอตอนน้ำลงมันคงว่ายกลับลงไปไม่ทัน จึงมานอนแอ้งแม้งอย่างที่เห็น

แสงจากพระอาทิตย์เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงปลาดาวทั้งหลายก็จะแห้งตาย

ขณะที่ชายชรากำลังนึกสงสารปลาดาวผู้โชคร้ายเหล่านั้น เขาก็มองเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ หยิบปลาดาวเขวี้ยงลงไปในทะเล

ชายชราจึงเดินไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยว่า “ทำอะไรอยู่รึเจ้าหนู?”

“ผมกำลังช่วยชีวิตปลาดาวอยู่ครับ”

“เอาจริงเหรอ หาดนี้ยาวมากนะ ปลาดาวก็มีเป็นพันเป็นหมื่นตัว เธอจะไปช่วยมันทันได้อย่างไร รู้ตัวรึเปล่าว่าสิ่งที่เธอทำมันแทบไม่มีความหมายอะไรเลย” (What you are doing doesn’t make any difference)

เด็กชายคนนั้นยิ้มให้ชายชรา ก้มลงหยิบปลาดาว ชูมันขึ้นมา แล้วพูดว่า

“มีสิครับ อย่างน้อยมันก็มีความหมายกับปลาดาวตัวนี้” (Oh yes it does. It makes a difference to this starfish)

แล้วเด็กผู้ชายก็เขวี้ยงปลาดาวตัวนั้นลงทะเลไป ก่อนจะก้มลงไปเก็บปลาดาวขึ้นมาอีกตัว

“แล้วก็ตัวนี้…แล้วก็ตัวนี้…แล้วก็ตัวนี้…”

—–

ผมตั้งใจไว้แล้วว่า วันไหนมีลูก จะเล่านิทานเรื่องนี้ให้ลูกฟังก่อนนอน

หลับฝันดีครับทุกคน

จอยสติ๊ก

20150225_Joystick

นานมาแล้ว ผมเคยเขียนไว้ในบล็อกนี้ว่า At the end of the day, everything is a game

เพราะทุกอย่างมันคือเกมจริงๆ

ชีวิตคนเราต้องเล่นทั้งเกมที่เราชอบ และไม่ชอบ

ผมขอยกตัวอย่างเกมส์ที่ผมถนัดมาซักสองเกมส์แล้วกัน (เติม s ด้วยเห็นมั้ย!)

1. เกมเรียนหนังสือชั้นประถม

กติกา: เข้าเรียนและสอบแต่ละวิชาให้ได้เกรด 2 เป็นอย่างน้อยเพื่อจะได้เลื่อนชั้น

วิธีการเล่นเกมให้ชนะ

  • ไปโรงเรียนก่อนแปดโมงเช้า
  • เข้าเรียนทุกวิชา
  • ตั้งใจฟังคุณครู
  • ส่งการบ้านและรายงานเพื่อสะสมคะแนน
  • อ่านหนังสือเตรียมสอบ
  • ตั้งใจทำข้อสอบ ไม่ต้องรีบ

กับดักในเกมที่ควรระวัง

  • คบเพื่อนไม่ดี
  • ขี้เกียจส่งงาน (ตอนเด็กๆ ผมโดนครูตีเพราะไม่ยอมส่งงานวิชา สลน. และ กพอ.)

—–

2. เกมพนักงานบริษัท

กติกา: ทำงานให้หัวหน้าพอใจ เพื่อ Up Level และสะสม Coins ไปแลก Items อื่นๆ

วิธีการเล่นเกมให้ชนะ

  • เลือกงานที่ตรงกับจริตและความถนัด
  • เดาทางให้ถูกว่าหัวน้าต้องการอะไร
  • ทำงานด้วยความตั้งใจและสร้างผลงานที่จับต้องได้
  • อดทนกับงานบางชิ้นที่เราไม่ชอบและใช้พลังเยอะ
  • พัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าเกินเงินเดือนอยู่เสมอ
  • ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน
  • ไม่สร้างศัตรู
  • ไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ
  • ถ้ามีตำแหน่งที่สูงกว่าว่างอยู่ ให้ลองสมัครดู ถึงไม่ได้ ก็เป็นการซ้อมที่ดี

กับดักในเกมที่ควรระวัง

  • จับกลุ่มนินทาเจ้านาย
  • เอาเวลาไปทำงานที่ไม่สำคัญ
  • ปฏิเสธ หรือ ต่อรอง ไม่เป็น ทำให้ต้องรับงานมาเยอะเกินไป
  • ทำงานหนักจนสุขภาพเสีย

—–

มีอีกหลายเกมเลยที่ผมไม่ถนัด เช่นเกมจีบสาว (ตอนนี้ไม่มีโอกาสละ!) เกมทำเงินให้งอกเงย (กำลังศึกษาเรื่องหุ้นอยู่) เกมทำอาหาร (ไม่มีเวลาและไม่มี passion)

ข้อดีของการคิดว่าชีวิตนี้คือเกม ก็คือเราจะไม่เครียดกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป อุปสรรคและปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาก็เป็นแค่ด่านที่เราต้องหาทางผ่านไปให้ได้

ที่สำคัญ สำหรับเกมส่วนใหญ่ เรารู้อยู่แล้วว่าจะเล่นยังไงให้ชนะ (เหมือนที่ผมยกตัวอย่างข้างบนนี้)

ที่เราไม่ชนะซะที อาจเป็นเพราะเรากำลังติดกับดัก

อาจจะเป็นกับดักที่มองเห็น กับดักที่มองไม่เห็น

หรือกับดักที่เราทำเป็นมองไม่เห็น

ลองตั้งใจเล่นดูนะครับ กล้าๆ หน่อย จะแพ้บ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเกมส่วนใหญ่ให้โอกาสเราเริ่มต้นใหม่เสมอ

แต่ถ้าเล่นซ้ำหลายรอบแล้วก็ไม่ผ่านซะที และชักไม่สนุกกับเกมนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทู่ซี้

เพราะเราไม่ได้ถือแค่จอยสติ๊กอย่างเดียว แต่เราถือตลับเกมอื่นๆ ด้วย

เมื่อไม่ใช่ ก็ลองเปลี่ยนตลับเกมดู จนกว่าจะเจอเกมที่ใช่ครับ

ขอให้สนุกกับการเล่นเกมนะครับ

มองรอบด้าน

20150224_BackForwardDownUp

มองอดีตแล้วยกโทษ มองอนาคตด้วยความหวัง
มองคนข้างล่างด้วยความเมตตา มองคนบนฟ้าแล้วกล่าวขอบคุณ
– ซิก ซิกล่าร์

เราทุกคนล้วนเคยผิดหวังกับใครบางคน

เขาอาจเคยโกหกเรา อาจเคยด่าว่าเราแรงๆ

เคยทำให้เราโกรธ และสร้างแผลเป็นเอาไว้ในใจเรา

ผมเชื่อว่า วิธีที่จะรักษาแผลของตัวเองได้ดีที่สุด คือการให้อภัยคนๆ นั้น

และก็หวังว่าเขาจะให้อภัยผมด้วยเช่นกัน

—–

มีคนเคยสอนผมไว้ว่า จนมุ่งหวัง แต่อย่าคาดหวัง

ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าสองคำนี้มันต่างกันยังไง

แต่ตอนนี้พอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า มุ่งหวัง คือเชื่อว่าถ้าเราทำสิ่งที่ดีๆ ก็ย่อมส่งผลให้มีอนาคตที่ดี ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และมีความสุขกับการเดินทาง

ขณะที่การคาดหวัง คือการเอาความสุขของเราไปแขวนไว้กับผลลัพธ์

ถ้าออกมาดี ก็จะมีความสุข เพราะสมหวัง

ถ้าออกมาไม่ดี ก็จะทุกข์ เพราะผิดหวัง

นอกจากความเสี่ยงจะสูงแล้ว การคาดหวังอาจทำให้เราลืมสนุกกับการเดินทางด้วย

—–

ลุงของผมชื่อ ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ครับ

ตอนเด็กๆ ลุงของผมดังมาก

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะเป็นคนแรกๆ ในเมืองไทยที่จัด “เดี่ยวไมโครโฟน” (แต่ใช้ชื่อว่า Live Talk Show นะครับ) สมัยรุ่งๆ ก็จัดหลายรอบอยู่เหมือนกัน

ประโยคหนึ่งที่ผมฟังลุงทินพูดใน Live Talk Show ตั้งแต่ผมอยู่ชั้นประถมก็คือ

“เทียบสูงยังไม่เท่า เทียบต่ำเรามีเหลือ”

ถ้าเราเทียบตัวเองกับคนที่รวยกว่า หน้าดาดีกว่า เราก็จะรู้สึกต่ำต้อยเรื่อยไป

แต่ถ้าเรามองคนที่ไม่ได้โชคดีเท่าเรา เราจะรู้เลยว่าเรามีเกินพอ

และมากพอที่จะแบ่งปันให้คนอื่นได้ด้วย

—–

ผมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมเคารพนับถืออยู่

เวลาเกิดเรื่องอะไร ที่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ผมจะกระซิบบอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบาๆ ในใจว่า “ขอบคุณนะครับ”

ไม่มีใครรู้หรอกว่า สิ่งที่เราได้มา มันมาจากความสามารถของเราเองล้วนๆ

หรือเพราะมีใครที่เรามองไม่เห็นคอยหนุนเราอยู่เบื้องหลัง

ผมเลือกที่จะเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างคอยช่วยเหลือผมอยู่

เพราะมัน “อุ่นใจ” ดีครับ