เหตุผลเพียงสองข้อที่เราจะทำอะไรสักอย่าง

ไม่นานมานี้เอง ที่ผมเพิ่งตระหนักและคอยเตือนตัวเองว่า หากผมจะทำอะไรสักอย่าง มันควรถูกขับเคลื่อนด้วยหนึ่งในเหตุผลสองข้อนี้

ข้อแรก สิ่งนั้นทำให้เรามีความสุขในตอนนี้

ข้อสอง สิ่งนั้นจะทำให้เราได้สิ่งที่ต้องการในอนาคต

สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทันที ก็เช่นกินของอร่อย ใช้เวลากับคนที่เรารัก ทำงานอดิเรก ดูบอล อ่านการ์ตูน ฟังเพลง นอนเล่น

สิ่งที่ทำให้เราได้สิ่งที่เราต้องการ หมายถึงสิ่งที่อาจไม่ได้ให้ความสุขกับเราในทันที แต่ทำไปเพราะเรารู้ดีว่ามันจะนำพามาซึ่งความสุข – หรือช่วยจำกัดความทุกข์ – ในอนาคต เช่นกลั้นใจไม่ซื้อของ เพื่อจะได้มีเงินเก็บเงินลงทุน ออกกำลังกายจนปวดไปทั้งตัวเพื่อให้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง

ถ้ามีสิ่งใดที่ทำแล้วได้ทั้งสองข้อก็ถือว่าดีเยี่ยม เช่นทำงานที่เราชอบและทำได้ดี เพื่อสร้างประโยชน์ในวันนี้และวันข้างหน้า

แต่ถ้าเราไม่ได้โชคดีขนาดนั้น อย่างน้อยสิ่งที่เราทำควรตอบโจทย์หนึ่งในสองข้อ เช่นอาจจะไร้สาระแต่มันทำให้เรามีความสุข หรืออาจเป็นทุกข์แต่มันช่วยสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม

ฟังดูเรียบง่าย แต่หลายคนก็ยังพลาดด้วยการทำสิ่งที่ไม่ได้มอบความสุข แถมยังไม่ช่วยให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการอีกด้วย

เช่นการถกเถียงเพื่อเอาชนะคนใกล้ตัว นอกจากอารมณ์จะขุ่นมัวแล้วยังสร้างแผลเป็นในความสัมพันธ์

หรือการเสพอะไรจนเกินพอดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือโซเชียล เราหยิบขนมบางอย่างขึ้นมากิน หรือหยิบมือถือขึ้นมาดูโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งกินยิ่งไม่สบายท้อง ยิ่งส่องยิ่งไม่สบายใจ แต่เราก็ยังทำต่อไปราวกับโดนชักใยจากมือที่มองไม่เห็น

อะไรที่เราติดเป็นนิสัย แสดงว่ามันมี “รางวัล” ซ่อนอยู่ เช่นการที่เราชอบเอาชนะ ก็เพราะว่ามันสาแก่ใจ หรือการที่เราติดโซเชียล ก็เพราะว่าคุ้นชินกับการหลั่งของโดพามีน

แต่ความสุขบางอย่างนั้นช่างกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับความหนักอึ้งที่รอคอยเราอยู่

ต้องรอให้ถึงวันที่ใจมันฉลาดพอที่จะรู้ ว่าความสุขแบบใดที่คุ้มค่า ความสุขแบบใดที่ขาดทุน

ยิ่งเมื่อเลยวัยกลางคนเป็นต้นมา วัยที่เข็มนาฬิกาเสียงดังกว่าเดิม เราจะเริ่มหยุดทำบางสิ่ง เพราะตะหนักรู้อย่างแท้จริงว่าชีวิตไม่ได้ยืนยาวพอ

ทุกครั้งที่จะทำอะไร ขอให้สิ่งนั้นนำมาซึ่งความสุขในวันนี้ หรือไม่ก็นำมาซึ่งสิ่งที่ต้องการในวันข้างหน้า

ถ้าไม่มีหนึ่งในสองข้อนี้ ก็อย่าไปทำเสียเลยดีกว่า จริงมั้ยครับ

ตัวเลขในบัญชีคือนิทาน ประสบการณ์วันต่อวันคือของจริง

เมื่อปี 2016 Seth Godin ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Tim Ferriss Show เอาไว้ว่า

“เงินคือนิทาน (Money is a story) หลังจากที่เรามีเงินเพียงพอสำหรับซื้อข้าวปลาอาหาร ดูแลคนในครอบครัว และเรื่องอื่นๆ อีกนิดหน่อย เงินก็จะกลายเป็นแค่นิทานที่เราเล่าให้ตัวเองฟัง

เราสามารถเล่านิทานเกี่ยวกับเงินได้ตามที่เราต้องการ และคงจะเป็นการดีถ้านิทานเรื่องนั้นเป็นนิทานที่เราฟังมันได้อย่างสบายใจ

เดี๋ยวนี้เงินส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นธนบัตรด้วยซ้ำ เหลือแค่เพียงตัวเลขบนหน้าจอ และจำนวนเงินที่เรามีก็ไม่ได้บ่งบอกคุณค่าของเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

ดังนั้น เมื่อเราค่อนข้างสุขสบายดีแล้ว เมื่อเราไม่ต้องกระเบียดกระเสียร เมื่อเรามีหลังคาคุ้มหัว เมื่อเรามีประกันสุขภาพ มันก็ถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจว่าเรายังต้องการเงินเพิ่มอีกแค่ไหน และเราจะยอมแลกอะไรบ้างเพื่อให้ได้มันมา เพราะทุกอย่างมีราคาของมันเสมอ”


ผมเคยฟังสัมภาษณ์นี้แค่ครั้งเดียว แต่ประเด็นที่ Seth Godin จุดเอาไว้ก็สว่างอยู่ในใจผมตลอดมา

เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเคยพูดกับผมว่า “Nobody dislikes more money.” ไม่มีใครไม่ชอบเงินเยอะขึ้นหรอกนะ

ซึ่งผมก็เชื่อว่าเป็นความจริงสำหรับพวกเราส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในโลกทุนนิยม ถ้าไม่มีเงินเราก็อยู่ลำบาก และความสามารถในการดูแลคนที่เรารักย่อมจำกัด

โหมด default ของเราก็คือหาเงินให้เยอะๆ เอาไว้ก่อน เพื่อสร้างอนาคตและความมั่นคง

แต่เส้นความรู้สึกมั่นคงของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนมีหนึ่งล้านก็พอใจ ในขณะที่อีกคนมีสิบล้านก็รู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัย

และนี่คือความหมายของ “นิทาน” ที่ Seth Godin พูดถึง เพราะแต่ละคนเล่านิทานให้ตัวเองฟังคนละเรื่อง แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคืออยากให้นิทานของตัวเองมี Happy Ending

สิ่งที่ต้องระวัง ก็คือหากเรามัวแต่จับจ้องที่จะสร้าง Happy Ending เราอาจสูญเสีย Happy Being ไประหว่างทาง

สมมติว่าเราไม่ได้เดือดร้อนทางการเงิน แล้วมีคนมาเสนองานใหม่ที่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น 50% แต่มันไม่ใช่งานที่เราทำแล้วมีความสุขเลยแม้แต่น้อย เราจะยอมทุกข์ใจสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงเพื่อ “สร้างอนาคตให้เสร็จเร็วขึ้น” หรือไม่?

หรือถ้าเราทำธุรกิจเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ แต่เราไม่เคยมีเวลาว่าง ไม่เคยได้พักผ่อนเพียงพอ และเรากลายเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ มันจะยังคุ้มกันอยู่รึเปล่า?

แน่นอนว่าไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด เพราะบริบทชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

สิ่งที่เรามีเหมือนกันแน่ๆ คือเวลาอันจำกัดบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ เงินทองที่เก็บไว้จะได้ใช้หรือเปล่า อนาคตที่มั่นหมายเราจะอยู่ถึงวันนั้นหรือไม่

ในวันนี้ที่ “ยังไม่สำเร็จ” เราไม่คิดจะอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขบ้างเลยหรือ

อย่างที่เซธบอกเอาไว้ ว่าเมื่อชีวิตเดินทางถึงจุดหนึ่ง เราต้องตัดสินใจว่าเรายังต้องการเงินเพิ่มอีกแค่ไหน และเราจะยอมแลกอะไรเพื่อให้ได้มันมา

เพราะตัวเลขในบัญชีคือนิทาน แต่ประสบการณ์วันต่อวันคือของจริงครับ

Fluke หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2024

เมื่อตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ผมไปเที่ยวไต้หวันกับภรรยาเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในไทเป

เวลาไปต่างประเทศ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการแวะเวียนเข้าร้านหนังสือ เราเลยเลือกไปเดินร้าน Eslite Spectrum Nanxi 

หลังจากขลุกอยู่ในร้านร่วมสองชั่วโมง ก็ได้หนังสือมา 4-5 เล่ม และหนึ่งในนั้นก็คือ “Fluke – Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters” เขียนโดย Brian Klaas

จะว่าไปก็เป็นเรื่องฟลุก ที่ผมบังเอิญเจอหนังสือเล่มนี้บนชั้นที่หันแต่สันปกออกมา แถมผมยังไม่เคยได้ยินชื่อผู้เขียนมาก่อน แม้ว่าเขาจะเขียนหนังสือมาแล้วถึง 5 เล่ม อาจเพราะว่าส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองและนักการเมือง

Fluke ที่เป็นหนังสือเล่มล่าสุดของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง แต่เกี่ยวกับหลายอย่างจนอธิบายไม่ถูก ถ้าจะให้เลือกธีมหลักของ Fluke สักหนึ่งเรื่อง ก็คงเป็น Chaos Theory หรือทฤษฎีไร้ระเบียบ ที่เราอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของผีเสื้อกระพือปีกในเมืองจีนแล้วทำให้เกิดพายุเฮอริเคนในอเมริกา อะไรทำนองนั้น

เป็นหนังสือที่อ่านแล้ว “มึน” มาก โดยเฉพาะช่วง 100 หน้าแรก เพราะมันทำให้ผมต้องย้อนกลับไปตั้งคำถามกับหลายเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต

ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่ยังไม่ได้เขียนถึง เพราะผมอยากทอดเวลาให้พอรู้ว่า หนังสือเล่มนี้มันจะ “ทำงานกับผม” อย่างไรบ้าง

แล้วก็ได้พบว่า ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผมยัง “มูฟออน” จากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ เลยคิดว่าถึงเวลาต้องเขียนถึงหนังสือเล่มนี้เสียที เพราะมันดีมากๆ และอยากให้คนไทยได้อ่านกัน

บทความนี้จะไม่ใช่การสรุป แต่เป็นการ “พลิกดูหน้าแรกๆ” ว่าหนังสือเล่มนี้จะพาเราไปไหนบ้าง

จากนั้นผมจะทอดเวลาสัก 2 เดือนเพื่อให้ผู้ที่สนใจไปหาหนังสือมาอ่านกัน แล้วผมจะนัดพูดคุยออนไลน์เพื่อให้เราได้แลกเปลี่ยนกันในปลายเดือนมิถุนายน ใครสนใจสามารถลงชื่อเป็น waiting list ได้ในช่วงท้ายบทความครับ


คนไทยส่วนใหญ่คงรู้ดีว่า หนึ่งในฉากจบที่สำคัญที่สุดของสงครามโลกครั้งที่สอง คือการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองฮิโรชิม่าและเมืองนางาซากิ

6 สิงหาคม 1945: Little Boy ถูกทิ้งลงฮิโรชิมา มีผู้เสียชีวิต 140,000 ราย

9 สิงหาคม 1945: Fat Man ถูกทิ้งลงนางาซากิ มีผู้เสียชีวิต 80,000 ราย

แต่ทราบหรือไม่ครับว่า เป้าหมายแรกของการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ไม่ใช่ฮิโรชิม่า แต่เป็นเกียวโต แถมตอนแรกเมืองนางาซากิก็ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของเมืองที่จะถูกทิ้งระเบิดด้วยซ้ำ

ทำไมชาวเมืองเกียวโตถึงรอดชีวิต? ทำไมชาวเมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิสองแสนคนถึงมอดมลาย?

คุณจะเชื่อหรือไม่ ถ้าผมจะบอกว่าต้นเหตุมาจากทริปของคู่รักและก้อนเมฆ

—–

ในวันที่ 30 ตุลาคมปี 1926 นายเฮนรี สติมสัน (Henry L. Stimson) และภรรยาเดินลงจากรถไฟไอน้ำที่เมืองเกียวโต และเข้าเช็คอินที่ห้องหมายเลข 56 ของโรงแรมมิยาโกะ (Miyako Hotel – ซึ่งตอนนี้ก็ยังเปิดทำการอยู่)

เมื่อเก็บของเรียบร้อยแล้ว พวกเขาออกไปเดินเล่นไปทั่วอดีตเมืองหลวง ดื่มด่ำกับสีสันอันสดใสของฤดูใบไม้ร่วง ต้นเมเปิลญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม และต้นแปะก๊วยเบ่งบานเป็นสีเหลืองทอง ทั้งสองเยี่ยมชมสวนสวยบริสุทธิ์ของเกียวโตที่ซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาหินตะกอนที่โอบล้อมเมือง และชื่นชมวัดวาอารามอันเก่าแก่และมรดกทางวัฒนธรรมที่งดงามแห่งนี้

ในสัปดาห์ถัดมาทั้งสองก็เก็บกระเป๋าและเช็คเอาท์จากโรงแรมมิยาโกะ

ไม่มีใครคาคคิดว่า การมาเที่ยวเกียวโตของสามีภรรยาคู่นี้จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นไปตลอดกาล


19 ปีผ่านไป ในเดือนพฤษภาคมปี 1945 หลังจากนาซีประกาศยอมแพ้สงครามได้ไม่นาน และระเบิดนิวเคลียร์ใกล้จะสำเร็จ สหรัฐได้ตั้งคณะกรรมการ 13 คนขึ้นเป็น Target Committee เพื่อกำหนดเป้าหมายว่าจะทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในเมืองใดของญี่ปุ่น

โตเกียวนั้นเสียหายจากศึกสงครามจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว คณะกรรมการจึงเห็นตรงกันว่าเกียวโตคือเมืองที่เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นเมืองหลวงเก่า มีโรงงานผลิตอาวุธสงคราม มีมหาวิทยาลัยเกียวโตที่เต็มไปด้วยปัญญาชน การทิ้งระเบิดที่นี่ย่อมทำให้ชาวญี่ปุ่นเสียขวัญอย่างแน่นอน

นอกจากเกียวโตแล้ว ยังมีอีกสามเมืองที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นเมืองเป้าหมายสำรอง คือ ฮิโรชิมา (Hiroshima) โยโกฮาม่า (Yokohama) และ โคคุระ (Kokura) รายชื่อของทั้งสี่เมืองถูกส่งไปให้ประธานาธิบดีทรูแมน (Harry S. Truman) อนุมัติ

แต่ในช่วงเวลานั้น นาย Henry Stimson – ผู้เคยมาเที่ยวเกียวโตกับภรรยาเมื่อ 19 ปีก่อนหน้า – ดำรงตำแหน่งเป็น Secretary of War ซึ่งเทียบเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน และเขาไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงที่จะทิ้งระเบิดในเกียวโต จึงเข้าพูดคุยกับ Target Committee เพื่อโน้มน้าว แต่เมื่อคณะกรรมการยืนกรานว่าเกียวโตต้องเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง นายสติมสันจึงขอเข้าพบประธานาธิบดีทรูแมนถึงสองครั้งเพื่อขอให้ทรูแมนพิจารณาเสียใหม่

สุดท้ายทรูแมนจึงยอมทำตามที่สติมสันขอ เกียวโตถูกถอดชื่อออกจากเมืองเป้าหมาย ฮิโรชิม่าถูกเขยิบขึ้นมาเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง และเมืองนางาซากิถูกเพิ่มชื่อเข้ามาเป็นเมืองสำรองในนาทีสุดท้าย

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 1945 เวลา 8:15 ระเบิดนิวเคลียร์นาม Little Boy ก็ถูกปล่อยลงเมืองฮิโรชิม่า

สามวันถัดมา ในวันพฤหัสที่ 9 สิงหาคม เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ถูกส่งไปที่เมืองโคคุระ (อยู่ไม่ไกลจากฟูกุโอกะ) แต่เนื่องจากขณะนั้นเมืองโคคุระมีเมฆปกคลุมหนาแน่น มองไม่เห็นพื้นดิน สุ่มเสี่ยงว่าจะโจมตีไม่โดนจุดสำคัญ กองทัพจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เมืองนางาซากิ ซึ่งขณะนั้นก็มีเมฆปกคลุมเหมือนกัน เครื่องบินบินวนอยู่อย่างนั้นจนน้ำมันจวนเจียนจะหมดถัง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจล้มเลิกภารกิจ ฟ้าก็เปิดพอดี ระเบิด Fat Man จึงถูกปล่อยลงเมืองนางาซากิเมื่อเวลา 11:02

ชาวเมืองนางาซากินั้นถือว่าโชคร้ายซ้ำซ้อน ตอนแรกเมืองนางาซากิไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมายด้วยซ้ำ แต่ดันถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อเพราะนายสติมสันไปขอให้ถอดเกียวโตออก และแม้กระนั้น เหตุผลเดียวที่นางาซากิโดนบอมบ์ ก็เพราะว่าเมืองโคคุระมีเมฆบัง

ส่วนชาวโคคุระเองก็โชคดีมาก และไม่เคยรู้เลยว่ารอดชีวิตมาได้เพราะโชคช่วยจนกระทั่งเรื่องราวถูกเปิดเผยโดยสหรัฐในหลายปีต่อมา จนชาวญี่ปุ่นเองก็มีสำนวน “โชคของโคคุระ” (Kokura’s Luck) เอาไว้อธิบายถึงเวลาที่เราแคล้วคลาดโดยไม่รู้ตัว

——

กลับไปที่คำถามที่ผมเกริ่นเอาไว้ก่อนหน้า

ทำไมชาวเมืองเกียวโตถึงรอดชีวิต? ทำไมชาวเมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิสองแสนคนถึงมอดมลาย?

มันเมคเซนส์หรือ ที่ชีวิตคนนับแสนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายของทริปเมื่อ 19 ปีก่อนหน้า

บางคนอ่านเรื่องราวนี้แล้วอาจเกิดปฏิกิริยาได้สองแบบ

อย่างแรก อาจจะคิดว่า ถึงไม่ทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิม่าหรือนางาซากิ ยังไงญี่ปุ่นก็แพ้สงครามอยู่ดี ประวัติศาสตร์คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

แต่ Brian Klaas ผู้เขียน Fluke ก็ชวนคิดต่อว่า การที่คนนับแสนในเมืองหนึ่งรอด และคนนับแสนอีกเมืองหนึ่งเสียชีวิต มันจะไม่มีผลต่อประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นจริงหรือ? ญี่ปุ่นจะมีโฉมหน้าเหมือนวันนี้จริงหรือถ้าเกียวโตโดนระเบิดนิวเคลียร์และนางาซากิไม่โดน?

ส่วนอีกปฏิกิริยาหนึ่ง คืออาจมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องฟลุก โอกาสเกิดขึ้นแค่หนึ่งในล้าน มันเป็นเพียงแค่ noise ไม่ใช่ signal ไม่ควรให้ความสลักสำคัญกับมันมากนัก

หนังสือ Fluke จะบอกให้เราเข้าใจว่า เรื่องฟลุกๆ นั้นเกิดกับเราบ่อยกว่าที่เราเคยคิด 

ถ้าเรามองย้อนกลับไปในชีวิตของตัวเราเอง จะพบว่าชีวิตเรามาถึงจุดนี้ได้ด้วยลูกฟลุกแทบไม่ถ้วน

เอาแค่ตัวเราก่อน การที่ตัวเราเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะพ่อแม่เราได้เจอกันและมีลูกด้วยกัน และพ่อแม่เราเกิดมาได้ ก็เพราะว่าปู่กับย่าให้กำเนิดพ่อขึ้นมา และตายายให้กำเนิดแม่เราขึ้นมา ถ้าบรรพบุรุษตลอดเชื้อสายของเราคลาดกันแม้แต่คู่เดียว ตัวเราในวันนี้ก็จะไม่ได้ลืมตาดูโลก

ใครที่เคยดูหนังย้อนเวลาอย่าง Back To The Future ก็คงจะจำได้ว่าด็อกเตอร์ที่สร้างยานย้อนเวลานั้นเตือนพระเอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าถ้ากลับไปในอดีต พระเอกต้องห้ามคุยกับใคร เพราะมันจะเปลี่ยนอดีตจนทำลายโลกในปัจจุบันของพระเอกไปด้วย แต่พระเอกก็ดันพลาด ไปเจอกับแม่ตัวเองในวัยสาว แม่เกือบจะไม่ได้รักกับพ่อของพระเอก และพระเอกเกือบจะ “ตาย” เพราะเกือบจะไม่ได้เกิด

ทุกคนเข้าใจดีว่า ถ้าย้อนอดีตแล้วเปลี่ยนอะไรเพียงนิดเดียว โลกปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล

แต่เราอาจลืมนึกไปว่า ในทางกลับกัน ถ้าในวันนี้เราเปลี่ยนอะไรแม้เพียงนิดเดียว อนาคตก็ย่อมเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลได้เช่นกัน

การที่ “ตัวเรา” จะเกิดขึ้นมาได้ ต้องให้ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้าเกิดขึ้นตามนั้นเป๊ะๆ ไม่ใช่แค่การที่พ่อกับแม่ได้รักกัน แต่รวมถึงแม้กระทั่ง “เสี้ยววินาทีของการปฏิสนธิของตัวเรา” ด้วย

ถ้าพ่อแม่ของเราเข้าห้องนอนช้ากว่านี้หรือเร็วกว่านี้แค่ไม่กี่วินาที สเปิร์มที่ไปถึงรังไข่จะเป็นสเปิร์มคนละตัว พ่อแม่ของเราอาจจะยังมีลูกอยู่ดี แต่เด็กคนนั้นจะเป็นเด็กอีกคนที่ไม่ใช่เรา

การที่ “ตัวเรา” ได้เกิดมา จึงเป็นลูกฟลุกซ้อนลูกฟลุกนับครั้งไม่ถ้วน

และถ้ามองใน time scale ที่ยาวไกลไปกว่านั้น ก็จะเห็นได้ว่าการที่เผ่าพันธุ์ Homo Sapiens ได้ขึ้นมาครองโลกก็เป็นลูกฟลุกเหมือนกัน


นับแต่ตั้ง 250 ล้านปีที่แล้ว เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือไดโนเสาร์

ไดโนเสาร์ครองโลกอยู่เกือบสองร้อยล้านปี จนกระทั่งเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว ที่มีอุกกาบาตเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 14 กิโลเมตร ตกลงมาบริเวณคาบสมุทรยูกาตัน (Yucatán Peninsula ประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน)

อุกกาบาตตกลงในจุดที่น้ำไม่ลึกนัก กระทบกับชั้นหินที่เต็มไปด้วยยิปซัมด้วยแรงทำลายล้างเทียบเท่าระเบิดที่ฮิโรชิม่า 10,000 ล้านลูก

แรงระเบิดได้ปลดปล่อยเมฆกํามะถันพิษขนาดมหึมาเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เศษหินจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างแรงเสียดทานมหาศาลและนำไปสู่ “คลื่นความร้อนอินฟราเรด” (infrared pulse) พื้นผิวโลกอุณหภูมิสูงขึ้น 260 องศาเซลเซียสอย่างรวดเร็ว ไดโนเสาร์ถูกเผาราวกับไก่ย่าง

ความร้อนที่รุนแรงจากเหตุการณ์ครานั้น ทำให้สัตว์ที่รอดชีวิตส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกที่สามารถขุดรูอยู่ใต้ดิน และกลุ่มที่สองคือพวกที่อาศัยอยู่ในทะเล

เมื่อเรามองไปที่สัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นในป่าดงดิบ ท้องทะเลทราย หรือแม้กระทั่งตอนเราส่องกระจก เราต่างกำลังมองไปยังลูกหลานของสัตว์ที่รอดชีวิตจากอุกกาบาตลูกนี้

ลองนึกภาพดูว่า ถ้าอุกกาบาตมาถึงช้ากว่านี้เพียงไม่กี่วินาที มันอาจจะตกลงในบริเวณน้ำลึก อุณหภูมิโลกจะไม่ได้ร้อนขึ้นมากนัก และสัตว์จะสูญพันธุ์น้อยกว่านี้หรือถ้าอุกกาบาตล่าช้าเพียงนาทีเดียว มันอาจจะไม่ชนโลกเลยก็ได้ และวันนี้ไดโนเสาร์ก็จะยังครองโลก และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ Homo Sapiens เกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน


ผมรู้ว่าบทความนี้ยาวมากแล้ว แต่ขอเล่าให้ฟังอีกหนึ่งเรื่องก่อนจะปล่อยให้ไปทำอย่างอื่นนะครับ

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1905 ภายในบ้านฟาร์มหลังน้อยที่เมืองเจมส์ทาวน์ รัฐวิสคอนซิน นางคลาร่า แม็กดาเลน เจนเซ่น เกิดอาการ “ฟิวส์ขาด” และลงมือสังหารลูกของเธอทั้งสี่คน

เธอทำความสะอาดร่างกายลูกๆ บรรจงวางพวกเขาลงนอนบนเตียงอย่างนุ่มนวล จากนั้นจึงปลิดชีวิตของตัวเอง

พอล สามีของเธอกลับบ้านมาจากการทำงานในฟาร์ม และพบว่าทั้งครอบครัวเสียชีวิตอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงน้อยๆ นี่คงจะเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้เผชิญ

Brian Klaas ผู้เขียนหนังสือ Fluke เล่มนี้ เฉลยว่า “พอล” ผู้น่าสงสาร เป็นปู่ทวดของเขาเอง

หลังจากเสียคลาร่าและลูกทั้งสี่ไป พอลจึงแต่งงานกับภรรยาใหม่ในเวลาต่อมา ซึ่งภรรยาใหม่คนนั้นก็คือย่าทวดของไบรอันนั่นเอง

ตอนไบรอันอายุยี่สิบปี พ่อของไบรอันเปิดแฟ้มหยิบคลิปข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับปี 1905 ที่พาดหัวว่า “การกระทำอันเลวร้ายของหญิงวิกลจริต” มาให้ไบรอันดู

ข่าวชิ้นนั้นเปิดเผยเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูล Klaas ในภาพข่าวคือหลุมฝังศพ ด้านหนึ่งเป็นของเด็กๆ ทั้งสี่คน อีกด้านเป็นของคลาร่า วันตายของพวกเขาถูกจารึกไว้บนหลุมศพเดียวกัน

แน่นอนว่ามันทำให้ไบรอันช็อคที่เคยมีเรื่องราวเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นกับตระกูลของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ไบรอันช็อคยิ่งกว่า ก็คือการได้รับรู้ว่า ถ้าคลาร่าไม่ฆ่าตัวตาย และไม่ได้ฆ่าลูกๆ ของเธอ ตัวเขาเองก็คงไม่ได้เกิดมา

ชีวิตของไบรอันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้เพราะการฆาตกรรมหมู่ที่น่าสยดสยอง เด็กไร้เดียงสาสี่คนต้องเสียชีวิต ในขณะเดียวกันไบรอันกลับได้มีชีวิตอยู่ และได้เขียนหนังสือ Fluke เล่มนี้

(ซึ่งถ้าไบรอันไม่ได้เขียน Fluke คุณผู้อ่าน Anontawong’s Musings ก็จะไม่ได้มานั่งอ่านบทความชิ้นนี้เหมือนกัน)

ทุกสิ่งดีๆ ในชีวิตเรา เกิดขึ้นจากทั้งเรื่องดีงามและเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ผ่านมาในอดีต

และสิ่งที่เราทำวันนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็จะนำไปสู่เรื่องดีงามและโศกนาฎกรรมในอนาคตเช่นกัน


เรื่องราวทั้งหมดที่ผมกล่าวมา เป็นเพียงเนื้อหา 15 หน้าแรกของหนังสือ Fluke

ผมคงไม่คิดที่จะสรุปหนังสือเล่มนี้ออกมาทั้งเล่ม เพราะทำไม่ได้และไม่ควรทำ นี่คือหนังสือที่เนื้อหาแน่นและหลากหลายที่สุดเล่มหนึ่งที่ผมเคยได้อ่านในชีวิต จนผมเสียดายว่าทำไมหนังสือถึงไม่ดังกว่านี้ จริงๆ แล้วมันมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสังคมและชีวิตในระดับเดียวกับ Sapiens ของ Yuval Harari และ Four Thousand Weeks ของ Oliver Burkeman เลยด้วยซ้ำ

และนี่คือเหตุผลที่ทำไมผมขอยกให้ Fluke เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2024

หนังสือเพิ่งออกมาในเดือนมกราคม 2024 จึงยังไม่มีแปลไทย แต่ใครที่ชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ไปหาซื้อมาอ่านกันได้แล้วครับ ผมเห็นว่า AsiaBooks เริ่มนำมาวางเป็นหนังสือแนะนำแล้ว ส่วนที่คิโนะยังไม่เห็นวางโชว์ แต่เช็คทางเว็บก็มีขายแล้วเหมือนกัน

ผมยังไม่ขอเฉลยว่า Fluke ทำให้มุมมองและการกระทำของผมเปลี่ยนไปอย่างไร แต่อยากให้ผู้ที่ติดตามบล็อกนี้ไปลองไปหามาอ่านดู แล้วอีกสองเดือนผมอยากนัดเจอแบบ online meeting เพื่อมาแชร์สิ่งที่เราได้จากหนังสือเล่มนี้กัน ใครสนใจ สามารถลงชื่อผ่านลิงค์ในช่องคอมเม้นท์ได้เลย

ขอรับรองว่าอ่าน Fluke แล้ว เราจะมองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปครับ


ลงทะเบียน Waiting List สำหรับ Anontawong’s Musings Online Book Discussion ได้ที่ลิงค์นี้ครับ https://forms.gle/h77SPoXEKZ7Y35h78

ถ้าเราเครียดเรื่องงานถือเป็นสัญญาณที่ดี

หนึ่ง แปลว่าเรามีงานทำ

สอง เครียดเรื่องงาน ดีกว่าเครียดเรื่องคน ปัญหาเรื่องงานมักมีทางออก ปัญหาเรื่องคนหาทางออกได้ยากกว่า

สาม การที่เราเครียดเรื่องงานเป็นหลัก แสดงว่าเรื่องอื่นๆ ในชีวิตค่อนข้างราบรื่น เช่นเรื่องเงินทอง เรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว เพราะถ้าเรามีปัญหาใดในสามเรื่องนี้ เราจะไม่ค่อยเหลือแรงมานั่งเครียดเรื่องงานแล้ว

เวลารู้สึกว่าชีวิตกำลังแย่กับปัญหาใด ถ้ามองเห็น “ปัญหาที่เราไม่มี” กำกับไว้ด้วย ก็น่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยครับ

เราอาจหลงลืมไปว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้ว

Jimmy Carr นักแสดงตลกชื่อดังชาวอังกฤษวัย 51 ปี เพิ่งให้สัมภาษณ์กับ Steven Barlett วัย 31 ปีในพ็อดแคสต์ The Diary of a CEO ไว้ว่า

“หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ผมก็ได้ข้อสรุปว่า ‘การรู้คุณค่า’ (gratitude) น่าจะเป็นคุณธรรมตัวแม่ของคุณธรรมทั้งมวล

และผมขอเดาว่า คุณน่าจะยอมแลกทุกอย่างที่คุณจะมีในครอบครองในอีก 30 ปีข้างหน้า เพื่อให้คุณได้กลับมาอายุเท่าตอนนี้ และมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนตอนนี้

ผมว่ามันเป็นการทดลองทางความคิดที่น่าสนใจดีนะ

ลองจินตนาการถึงตัวเองในอีก 30 ปีข้างหน้า และถ้าตอนนั้นคุณมีของวิเศษที่สามารถเสกให้คุณกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเท่าตอนนี้ รู้สึกดีขนาดนี้ และมีอายุเท่าตอนนี้ ผมว่าคุณน่าจะยอมสละสมบัติทางวัตถุทั้งหมดที่คุณมี เพื่อจะได้กลับมานั่งอยู่ตรงนี้

ลองหยุดคิดดูสักครู่ แล้วมันอาจเปลี่ยนความรู้สึกและการกระทำของคุณในวันนี้ก็ได้

ผมคิดว่าพวกเราในโลกตะวันตกกำลังเจ็บป่วยด้วยภาวะ “การมองชีวิตที่ผิดเพี้ยน” (life dysmorphia)

คนไม่น้อยคิดว่าชีวิตของตนนั้นแย่มาก เพราะมนุษย์เราคุ้นชินกับชีวิตดีๆ ได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

ลองคิดดูนะ คนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นจนกระทั่งเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

เพื่อนคนนึงเคยบอกผมว่า ตอนที่คุณกำลังอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว ให้ลองหยุดนึกดูสักครู่ ว่าไม่มีบุคคลใดที่มีชีวิตอยู่ 100 ปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือมีชีวิตน่าอิจฉาแค่ไหน ไม่มีใครเคยได้รับความสุขอันแสนธรรมดาอย่างการอาบน้ำอุ่นจากฝักบัวเลย

โลกใบนี้เคยมีมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 1 แสนล้านคน คนในยุคปัจจุบันจัดอยู่ใน Top 1% ในแง่ของคุณภาพชีวิต เรามีอาหารให้กินโดยแทบไม่เคยต้องกังวล ลูกหลานของเราไม่เสียชีวิตในขวบปีแรก เรามีการแพทย์สมัยใหม่ เรามีความบันเทิงให้เลือกเสพมากมาย

เรามีชีวิตที่สุขสบายยิ่งกว่าเจ้าหญิงและเจ้าชาย และแม้ว่าคุณภาพชีวิตของเราจะดีกว่ายุคก่อนอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่ความรู้สึกทางจิตใจของเรากลับย่ำแย่”


Jimmy Carr พูดถึงความโชคดีในสองระดับ

หนึ่งคือความโชคดีทางอายุ สองคือความโชคดีของยุคสมัย

เริ่มจากความโชคดีทางอายุก่อน

เราเองถูกสังคมคาดหวังให้ “สร้างอนาคต” ให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ให้พัฒนาตนเองเพื่อที่จะสุขสบายในวันข้างหน้า

แต่เมื่อเลยวัย 40 มาแล้ว ผมเริ่มคิดว่า “ภาพฝันของอนาคต” มันเป็นเหมือนมิราจกลางทะเลทราย ที่ล่อหลอกให้เราเดินไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีอยู่จริง

ผมเคยเขียนบทความ “วัยสี่สิบกว่าคือนาทีทอง” หลังจากได้นั่งพูดคุยกับ “พี่อ้น” วรรณิภา ภักดีบุตร mentor ของผมในโครงการ IMET MAX

พี่อ้นบอกว่าวัยสี่สิบคือช่วงที่ดี เพราะเรามีประสบการณ์มากพอ ยังมีกำลังวังชา ลูกยังฟังเราอยู่ คนรอบตัวยังไม่เจ็บไม่ตาย นี่คือช่วงชีวิตที่เราสามารถทำอะไรได้อย่างเต็มที่

จะว่าไป วัยสี่สิบกว่านี่อาจจะเป็น “ช่วงพีคสุด” ของชีวิตแล้วก็ได้ เพราะแม้ร่างกายจะเริ่มโรยราแต่ก็ยังดูแลตัวเองและคนรอบข้างไหว หน้าที่การงานก็ยังมีความก้าวหน้าและมีความหวังว่ามันจะยังไปต่อได้อีก

ถ้าเราไม่หัดพอใจในปัจจุบัน เพียงเพราะภาพฝันในอนาคตมันดีกว่าตอนนี้ เราก็อาจจะผ่านพ้นช่วงที่ดีที่สุดไปโดยได้แต่กลับมานั่งเสียดายภายหลัง

อีก 30 ปีข้างหน้า คงยังไม่มีของวิเศษชิ้นใดที่จะพาเรากลับมาอยู่ในร่างกายแบบตอนนี้ได้ ดังนั้นจงเห็นคุณค่าของวัยหนุ่มสาวและใช้มันให้เต็มที่ในการสร้างอนาคตโดยไม่ละเลยที่จะมีความสุขในวันนี้ด้วย


ส่วนความโชคดีของยุคสมัย Jimmy Carr ยกตัวอย่างการมีน้ำอุ่นให้ใช้ ซึ่งอากาศร้อนแบบนี้คนไทยคงไม่อิน ผมเลยลองไปค้นข้อมูลว่าคนไทยเริ่มมีแอร์ใช้เมื่อไหร่ ก็พบว่าเมื่อประมาณ 40-50 ปีที่แล้วนี้เอง

แค่เทียบกับสมัยที่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรายังหนุ่มสาว ชีวิตเราก็สุขสบายกว่าในหลายมิติแล้ว อยากหาข้อมูลก็ไม่ต้องเข้าห้องสมุด อยากเดินทางไปไหนก็ไม่ต้องกลัวหลง ทำงานได้จากทุกที่ ทางเลือกในการหาเลี้ยงชีพก็เปิดกว้าง ขนาดมีโรคระบาดหนักไปทั่วโลก มนุษยชาติก็ยังผ่านมันมาได้ไวกว่าที่คิด ถ้าเกิดโรคระบาดระดับเดียวกันเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ผมว่า Homo Sapiens อาจถึงขั้นสูญพันธุ์เลยด้วยซ้ำ

ยิ่งถ้าย้อนกลับไปเทียบกับชีวิตเจ้าหญิงเจ้าชายเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ต่อให้ภาพจำจากในหนังจะสวยงามเพียงใด เพียงแค่คิดว่าสมัยนั้นเขาไม่มีส้วมและน้ำประปาให้ใช้เหมือนตอนนี้ ก็รู้สึกว่าอยู่ยากแล้ว

แน่นอนว่ายุคนี้ก็มีปัญหาที่คนยุคก่อนไม่เคยต้องเจอ ทั้งเรื่องโลกร้อนและภูมิรัฐศาสตร์อันผันผวน แต่ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ในยุคนี้แล้วก็ต้องปรับตัวและเดินหน้ากันต่อไป

การตระหนักว่าเราโชคดีแค่ไหน ทั้งในแง่อายุและยุคสมัย จึงไม่ใช่การปลอบประโลมหรือหลอกตัวเอง แต่เป็นการมองให้เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราเคยมองข้ามมาโดยตลอด เพื่อจะได้ตระหนักว่าเรามีทรัพยากรอะไรให้หยิบใช้บ้าง

ชีวิตตอนนี้คือชีวิตที่ดีที่สุด และสิ่งเดียวที่เราทำได้ คือทำมันให้ดีที่สุดตามกำลังที่เรามีครับ