Wilbur Wright และ Orville Wright เป็นผู้สร้างเครื่องบินลำแรกของโลก
เที่ยวบินแรกในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 1903 ในเมืองเล็กๆ ชื่อ Kitty Hawk รัฐนอร์ธ แคโรไลนา
เราคงคิดว่า สิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้มนุษย์เดินดินกลายเป็นนกเหินเวหา ย่อมจะทำให้สองพี่น้องกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน
แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หากคุณอ่านหนังสือพิมพ์ The New York Times ในวันที่ 18 ธันวาคม 1903 คุณจะไม่เห็นข่าวเครื่องบินของตระกูลไรท์เลย
วันที่ 19, 20, 21 ธันวาคมก็เช่นกัน ไม่มีนักข่าวคนไหนเขียนถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้แม้แต่ย่อหน้าเดียว
ผ่านไป 5 วันก็แล้ว 5 สัปดาห์ก็แล้ว 5 เดือนก็แล้ว ความสำเร็จของสองพี่น้องตระกูลไรท์ก็ยังคงไม่มีใครกล่าวถึง
ต้องใช้เวลาเกือบ 5 ปี คือเดือนพฤษภาคมปี 1908 กว่าที่จะมีนักข่าวถูกส่งไปสังเกตการณ์การทดสอบเครื่องบินของสองพี่น้อง และทำให้ทั้งวิลเบอร์และออร์วิลเริ่มเป็นที่รู้จัก
ลองคิดภาพว่าเราคิดค้นอะไรที่มันจะเปลี่ยนโลกได้ แต่ไม่มีใครเห็นและให้คุณค่ามันเลยเป็นเวลาเกือบ 5 ปี…
รอคอยมาเนิ่นนานจนถึงวันที่มีคนเห็นคุณค่า เรื่องราวมันควรจะ Happy Ending แต่ปรากฎว่าวิบากของสองพี่น้องยังไม่จบ
แม้ว่าโลกจะเริ่มเข้าใจศักยภาพของการบิน แต่สองพี่น้องตระกูลไรท์แทบไม่ได้ร่ำรวยขึ้น แถมยังกลายเป็นคน “ตกยุค” ไปเสียด้วยซ้ำ
เพราะในขณะที่คู่แข่งเริ่มเรียนรู้และพัฒนาเครื่องบินให้ดีขึ้นเรื่อยๆ สองพี่น้องตระกูลไรท์กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฟ้องร้องคู่แข่งในข้อหาละเมิดสิทธิบัตร
ในปี 1916 ออร์วิลเรียกร้องว่า ใครก็ตามที่ผลิตเครื่องบินไม่ว่าที่ใดบนโลกใบนี้ จะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้เขาลำละ $10,000 (ถ้าคิดเป็นค่าเงินปัจจุบันก็คือ $250,000 หรือ 8.5 ล้านบาท) ซึ่งแพงเกินกว่าที่ผู้สร้างเครื่องบินสมัยนั้นจะจ่ายไหว คู่แข่งทั้งในฝรั่งเศสและเยอรมันนีจึงต่างเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องนี้
สองพี่น้องตระกูลไรท์ใช้เวลาไปกับการขึ้นโรงขึ้นศาล ขณะที่คู่แข่งใช้เวลาไปกับการออกแบบเครื่องบินที่ดีกว่าเดิม
กว่าคดีความทั้งหลายจะสิ้นสุด เครื่องบินของสองพี่น้องตระกูลไรท์ก็ล้าหลังจนไม่สามารถแข่งขันกับใครได้อีกต่อไป
เรื่องราวของสองพี่น้องตระกูลไรท์ให้บทเรียนกับเราอย่างน้อยสามข้อ
หนึ่ง แม้ว่าเราจะทำสิ่งที่เจ๋งสุดยอด แต่ถ้ามันมาก่อนกาล เราก็อาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนแวนโก๊ะที่ตายไปอย่างคนยากจน เหมือนพี่น้องตระกูลไรท์ที่ไม่มีใครพูดถึงเป็นเวลาเกือบห้าปี
สอง แม้ว่าเราจะเป็น “ผู้บุกเบิก” แต่ถ้าเราไม่ได้รักษาความเป็น “ที่หนึ่ง” เอาไว้ เราก็อาจถูกคลื่นลูกใหม่แซงได้เสมอ
และสาม อย่าปล่อยให้ “การเอาชนะ” และ “การเป็นคนถูก” เข้าครอบงำจนลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญคืออะไรครับ
ขอบคุณข้อมูลจากบล็อก Collaborative Fund by Morgan Housel: When You Change the World and No One Notices and Dangerous Feelings
Like this:
Like Loading...