ลึกๆ เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า แม้วิธีการทำงานแบบโรงงานได้นำพาเรามาถึงจุดนี้ แต่มันไม่สามารถพาเราไปจุดที่เราอยากไป
เรากำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน และหากเราทำสำเร็จ สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้น
– ทุกองค์กรทั้งเอกชนและรัฐบาลจะปรับปรุงตัวเองทุกวันด้วยการเปลี่ยนแปลงแบบมีส่วนร่วมของทุกคน (continuous participatory change)
– ความมุ่งหมายและความเจริญของมนุษย์เป็นจุดประสงค์หลักขององค์กร การเจริญเติบโตเป็นเพียงผลลัพธ์ ไม่ใช่เป้าหมาย
– ทีมส่วนใหญ่จัดการตัวเอง (self management) พนักงานทุกคนได้รับการสนับสนุนให้ทำงานอย่างมีอิสรภาพและมีความรับผิดชอบ
– พนักงานมีส่วนเป็นเจ้าของในองค์กร กำไรบริษัทได้รับการกระจายอย่างทั่วถึง
– มีองค์กรมากขึ้นที่คงความเป็นเอกชนเอาไว้ ไม่เข้าตลาดหุ้นเป็นมหาชน เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกรับความกดดันจากภายนอก จนทำอะไรแบบคิดสั้นรายไตรมาส
– เพราะใช้เทคโนโลยีมากขึ้นและมีความเป็นข้าราชการน้อยลง พนักงานจึงใช้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่ ส่งผลให้องค์กรมีขนาดเล็กลงและคล่องตัวกว่าเดิม
– ผู้บริโภคซื้อของจากในพื้นที่ (shop locally) เพื่อให้เงินหมุนเวียนอยู่ในชุมชนที่เขาอาศัยอยู่
– การศึกษาจะช่วยเตรียมความพร้อมให้เด็กสำหรับงานแห่งอนาคต โดยเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และสปิริตผู้ประกอบการ
– บล็อคเชนและสกุลเงินดิจิตัลจะเอื้อให้เกิดองค์กรที่ขับเคลื่อนได้โดยไม่ต้องมีศูนย์บัญชาการ
เข็มหมุดและความบ้าคลั่ง
นักปรัชญาอย่าง Bertrand Russel เคยกล่าวไว้ว่า
“ลองจินตนาการว่ามีคนกลุ่มหนึ่งทำงานผลิตเข็มหมุด พวกเขาผลิตเข็มหมุดมากเท่าที่โลกต้องการด้วยการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
จากนั้นก็มีคนคิดค้นนวัตกรรมที่ช่วยให้ผลิตเข็มหมุดได้มากขึ้น 2 เท่า โดยใช้คนเท่าเดิม
เข็มหมุดนั้นราคาถูกมากอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เข็มหมุดราคาถูกลงก็จะไม่ขายดีไปกว่านี้
ในโลกที่มีเหตุผล (in a sensible world) คนทุกคนที่ผลิตเข็มหมุดจะลดเวลาการทำงานเหลือเพียงวันละ 4 ชั่วโมง และเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนหรือทำสิ่งอื่นๆ
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง คนกลุ่มนี้ก็ยังทำงานวันละ 8 ชั่วโมงเหมือนเดิม แล้วเข็มหมุดก็ล้นตลาด แล้วโรงงานบางแห่งก็ต้องปิดตัว แล้วครึ่งหนึ่งของคนที่ผลิตเข็มหมุดก็จะต้องตกงาน
แทนที่ทุกคนจะมีเวลาว่างมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนครึ่งหนึ่งไม่มีงานทำในขณะที่คนอีกครึ่งหนึ่งทำงานหนักเกินไป
แทนที่ความเจริญจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น มันกลับทำให้ทุกคนมีความทุกข์ยิ่งกว่าเดิม
จะมีอะไรที่บ้าคลั่งไปกว่านี้?”
องค์กรรูปแบบใหม่
องค์กรแบบเก่านั้น ผู้บริหารมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องยึดประโยชน์ผู้ถือหุ้นไว้สูงสุด โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม องค์กรจำเป็นต้องทำร้ายธรรมชาติถ้ามันสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้ แม้สุดท้ายแล้วผู้ถือหุ้นจะต้องดื่มน้ำและสูดอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษก็ตาม
แต่องค์กรรูปแบบใหม่กำลังเกิดขึ้น มันมีชื่อเรียกว่า public benefit corporation – องค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ ที่เป็น “ลูกผสม” ระหว่าง องค์กรแสวงหากำไร (for-profit) และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (non-profit) ที่สามารถสร้างกำไรและทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อสังคมไปพร้อมๆ กัน (profit & purpose)
34 รัฐในอเมริกาได้ผ่านกฎหมายให้จดทะเบียนบริษัทในรูปแบบนี้ได้แล้ว และหลายองค์กรที่เราเคยได้ยินชื่ออย่าง Kickstarter และ Patagonia ก็ได้ประกาศตนเป็น public benefit corporation ไปเรียบร้อย
คอนเซปต์องค์กรอีกรูปแบบหนึ่งที่อยู่ในช่วงตั้งไข่มีชื่อว่า DAOs – Decentralized Autonomous Oraganizations
ลองคิดภาพตู้ขนมหยอดเหรียญ (vending machine) ที่นอกจากจะขายขนมให้เราแล้วยังสามารถสั่งขนมมาเติมได้เอง นอกจากนั้นยังเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดและจ่ายค่าเช่าที่ได้เองอีกด้วย แถมคนซื้อยังมีสิทธิ์โหวตได้ด้วยว่าอยากให้ขายขนมอะไรและอยากให้ทำความสะอาดบ่อยแค่ไหน ตู้นี้ไม่ต้องมีคนดูแล ทุกอย่างถูกตั้งโปรแกรมไว้หมดแล้ว
คนที่ศึกษา Blockchain และ Cryptocurrencies กำลังออกแบบองค์กรที่สามารถทำงานได้คล้ายๆ กับตู้หยอดเหรียญที่ว่านี้ ผู้ก่อตั้งองค์กรสามารถใช้ smart contracts สร้างและ operate องค์กรทั้งองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องมี CEO ทีมผู้บริหาร หรือสำนักงานใหญ่เลย ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า DAOs จะเวิร์คหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าเราจะได้ยินชื่อของมันบ่อยขึ้นในอนาคตอันใกล้
ในฝั่งของนักลงทุนเองก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยมีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า impact investing ที่ลงทุนแต่ในองค์กรที่สร้างสาธารณประโยชน์ โดยดู triple bottom line – กำไรสามมิติ ทั้งกำไรการเงิน กำไรสังคม และกำไรสิ่งแวดล้อม
มูลค่ากองทุนประเภท impact investing นี้มีมูลค่าถึง 250,000 ล้านเหรียญและจะเพิ่มเป็นสองเท่าภายในสิบปีข้างหน้า โดยกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า Rise Fund ที่มีกรรมการบริษัทอย่าง Bono นักร้องวง U2, Richard Branson แห่ง Virgin และ Reid Hoffman ที่เป็น Co-founder ของ LinkedIn
Eric Ries ผู้เขียนหนังสือ The Lean Startup อันโด่งดังก็กำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า Long Term Stock Exchange (LTSE) ที่แตกต่างจากตลาดหุ้นที่เรารู้จักในหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่นอำนาจในการโหวตของผู้ถือหุ้นจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่คุณถือหุ้นนั้นๆ องค์กรที่ต้องการจดทะเบียนใน LTSE ต้องผูกรายรับของผู้บริหารไว้กับผลประกอบการระยะยาวของบริษัท และองค์กรต้องเปิดเผยข้อมูลต่อ LTSE มากกว่าที่เปิดเผยให้กับตลาดหลักทรัพย์ทั่วไปเสียอีก ผลก็คือองค์กรที่อยู่ใน LTSE นี้จะได้โฟกัสกับ “เกมยาว” โดยไม่ต้องมาคอยพะวงกับผลประกอบการรายไตรมาสอีกต่อไป
สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่
หลายคนกำลังกลัวว่า AI จะมาแย่งงานมนุษย์ ซึ่งงานที่ complicated นั้น AI ก็ทำได้มากขึ้นเรื่อยๆ อเมริกามีคนขับรถบรรทุกถึง 3.5 ล้านคน แต่คนเหล่านี้อาจตกงานเมื่อ self-driving car ครองถนน ส่วนงานด้านกฎหมายจะหายไปราว 39% เมื่อคนตกงานก็จะย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ เพราะเขาก็จะไม่มีเงินมาซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณเช่นกัน
ข่าวดีก็คือ แม้ AI ทำงานที่ complicated ได้ก็จริง แต่มันยังทำงานที่ complex ไม่ได้
โดรนอาจจะรดน้ำสวนองุ่นได้ แต่จัดการโรงกลั่นไวน์ไม่ได้ แอปพลิเคชันอาจช่วยให้คุณนัั่งสมาธิได้ แต่ไม่สามารถให้คำปรึกษาด้านชีวิตคู่ได้ AI อาจออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายได้ แต่การผิดนัดออกกำลังกายกับไอโฟนนั้นง่ายดายกว่าการผิดนัดกับเทรนเนอร์ที่รอเราอยู่ที่ฟิตเนสมากนัก
AI จะเปลี่ยนรูปแบบงานของเรา แต่เราจะยังมีงานทำอยู่แน่นอน งานที่ต้องสร้างสรรค์ยิ่งกว่าเดิม complex ยิ่งกว่าเก่า และท้าทายยิ่งกว่างานใดๆ ที่เราเคยประสบมา
ระบบการศึกษาเองก็ต้องการการปฏิรูปเช่นกัน การศึกษาแบบเก่านั้นทนทายาดมาก ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้วก็ยังเหมือนเดิม ยังคงผลิตคนที่เหมือนๆ กันออกมาป้อนเครื่องจักรที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
แต่ก็มีโรงเรียนหัวก้าวหน้าอย่าง ESBC ในเยอรมันนีหรือ Ricardo Semler’s Lumiar ในบราซิลที่กำลังคิดใหม่ทำใหม่เรื่องการศึกษา ไม่มีวิชา ไม่มีการสอนหน้าชั้น ไม่มีการให้เกรด แต่เป็นการเรียนรู้แบบองค์รวมที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและความอยากรู้อยากเห็น นักเรียน อาจารย์ และผู้ปกครองถูกคาดหวังให้ออกแบบหลักสูตรร่วมกัน
คิดดูว่ามันจะเจ๋งแค่ไหน ถ้าทุกคนแข่งขันกันไม่ใช่เพื่อจะเป็นองค์กรที่ดีที่สุดในโลก แต่เป็นองค์กรที่ดีที่สุดเพื่อโลก เราอาจจะยังอยู่ในระบบทุนนิยม แต่เกณฑ์การนับแต้มจะไม่เหมือนเดิม แทนที่จะมีผู้ชนะเพียงคนเดียว ทุกคนจะได้เป็นผู้ชนะในเกมนี้
ผมรู้ว่าหนังสือของผมไม่เพอร์เฟค ผมอาจจะตกหล่นอะไรบางอย่างที่สำคัญสุดๆ ไป แต่ไม่เป็นไร เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมได้นำเสนอไปนั้นมันเพียงพอ
เพียงพอที่จะสะกิดบางอย่างในใจคุณ ว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันไม่น่าจะใช่วิธีที่ดีที่สุด
เพียงพอที่จะให้เราได้เริ่มต้น เพียงพอที่จะลองผิดลองถูกกันต่อไป และนั่นแหละที่สำคัญ ไม่เพอร์เฟคไม่เป็นไร แต่ขอให้เราได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ขอให้ทุกคนมีความหาญกล้าในการนำพาตัวเองและสังคมเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของการทำงานครับ
<<จบบริบูรณ์>>
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม Brave New Work Series ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาครับ
ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ Brave New Work ของ Aaron Dignan
Brave New Work ตอนที่ 1 – ไฟแดงหรือวงเวียน?.
Brave New Work ตอนที่ 2 – หนี้กรรมขององค์กร
Brave New Work ตอนที่ 3 – เชื่อมั่นในมนุษย์
Brave New Work ตอนที่ 4 – จุดมุ่งหมายสำคัญ
Brave New Work ตอนที่ 5 – เส้น Waterline
Brave New Work ตอนที่ 6 – Red Team
Brave New Work ตอนที่ 7 – Loosely Coupled, Tightly Aligned
Brave New Work ตอนที่ 8 – ทำงานในที่แจ้ง
Brave New Work ตอนที่ 9 – คู่มือการทำงานกับผม
Brave New Work ตอนที่ 10 – เงินซื้อความสุขไม่ได้
Brave New Work ตอนที่ 11 – Culture เปรียบเหมือนเงา
Brave New Work ตอนที่ 12 – เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง
Brave New Work ตอนที่ 13 – Transform ด้วยวิธี Looping
Brave New Work ตอนที่ 14 – คนเราไม่ได้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง