ถ้าเราเตรียมตัวเราจะกลัวน้อยลง

เมื่อคืนวันก่อน ใกล้จะถึงเวลาเข้านอน “ปรายฝน” ลูกสาววัย 8 ขวบ บอกกับผมว่า “แด๊ดดี้ ปรายฝนกลัว พรุ่งนี้ปรายฝนมีเทสต์ภาษาจีน”

ลูกสาวผมเป็นสายชิล ไม่ค่อยเตรียมตัวเท่าไหร่ แล้วค่อยมากังวลตอนจวนตัว

ผมเองก็เป็นสายชิล ไม่ได้คาดคั้นให้ลูกต้องสอบได้คะแนนดี แต่ก็ถือโอกาสนี้สอนปรายฝนว่า “ที่กลัวเพราะว่าเราไม่ได้เตรียมตัวไง ถ้าปรายฝนเตรียมตัวปรายฝนก็จะกลัวน้อยลง”

พอเอ่ยประโยคนี้จบ ผมก็คิดขึ้นได้ว่านี่คือคำสอนใจสำหรับตัวเองเช่นกัน

ถ้าเราเตรียมพรีเซนต์มาดี เราจะพูดได้อย่างมั่นใจ

ถ้าเราซ้อมวิ่งมาดี ถึงจะใกล้วันแข่งเราก็ไม่เครียด

ถ้าเราจัดการเรื่องการเงินไว้ดี เราจะไม่ค่อยกังวลเรื่องอนาคต

แต่ถ้าเราไม่ได้เตรียมตัว ถ้าเรามัวแต่คิดว่าเอาไว้ก่อน เมื่อสิ่งนั้นใกล้เข้ามาเราก็จะกลัวและกังวลอย่างช่วยไม่ได้ เพราะจะทำอะไรก็ไม่ทันแล้ว

บางสิ่งยิ่งอยู่ไกล เรายิ่งไม่ค่อยเตรียมตัว เช่นการดูแลสุขภาพในวันนี้ เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยชรา แต่การมีสุขภาพที่ดีต้องใช้เวลาเป็นสิบปี ถ้าไม่เริ่มเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ก็ดูประมาทเกินไปหน่อย

หรือความกลัวตัวแม่อย่างความกลัวตาย น้อยคนนักที่จะสบตากับมันตรงๆ และคิดเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ

ความชรานั้นยังพอกะเวลาได้ แต่ความตายนั้นเรากะเวลาไม่ได้เลย

ลองสำรวจตัวเองว่ามีความกลัวอะไรอยู่ และมีอะไรที่เราพอจะทำได้ตั้งแต่วันนี้

กลัวไม่สบาย กลัวตกงาน กลัวสูญเสียคนที่เรารัก

กับหลายสิ่งในชีวิต ถ้าเราเตรียมตัว เราจะกลัวน้อยลงครับ

จดหมายถึงใกล้รุ่ง

20171204_neardawn

ถ.อ่อนนุช เขตประเวศ

กรุงเทพมหานคร

5 นาฬิกา จันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560

สวัสดีใกล้รุ่ง

ถ้าลูกยังไม่เกิด วันนี้จะเป็นวันที่ลูกอยู่ในท้องแม่ครบ 40 สัปดาห์พอดี

แต่เนื่องจากลูกเกิดตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 วันนี้ลูกจึงมีอายุครบ 11 วัน

เกือบสองสัปดาห์ที่เรารู้จักกันมา ใกล้รุ่งเป็นเด็กเลี้ยงง่าย กินนมเก่ง โชคดีที่ใกล้รุ่งไม่งอแง การเลี้ยงลูกคราวนี้จึงเหนื่อยน้อยกว่าคราวก่อนมาก

ใกล้รุ่งเป็นลูกคนที่สองของแม่ผึ้งกับพ่อรุตม์ และเป็นลูกชายคนแรกของบ้านหลังนี้

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฟ้าส่งพี่สาวของลูกมาให้ช่วงปลายหน้าฝนพอดี พ่อกับแม่เลยตั้งชื่อให้เขาว่า “ปรายฝน” (พ่อมีเขียนจดหมายถึงพี่ปรายฝนด้วยนะ)

มีแต่คนบอกว่า งั้นคนต่อไปก็ต้องชื่อต้นหนาวสิ

พ่อก็ได้แต่คิดในใจว่าคงไม่ใช่ เพราะถ้าเกิดได้ลูกชายขึ้นมา เวลาพูดว่า “ต้นหนาวๆๆ” มันจะฟังดูเป็นผู้ชายอ่อนแอไปหน่อย

แล้วชื่อใกล้รุ่งมาได้ยังไง พ่อจะเล่าให้ฟัง

ตอนที่พ่อรู้ตัวว่าแม่ผึ้งตั้งครรภ์ และเมื่อนับวันแล้วจะครบ 40 สัปดาห์ในวันที่ 4 ธันวาคม มันก็ทำให้เรานึกถึงคนๆ หนึ่ง

ในช่วงเวลาที่พ่อกับแม่โตมา วันที่ 5 ธันวาคมเป็นวันที่มีความหมายกับคนไทย เพราะเป็นวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นที่รักยิ่งของคนทั้งประเทศ (ลูกคงงงว่า คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักของคน 70 ล้านคนได้อย่างไร ไว้ลูกโตอีกหน่อยพ่อจะเล่าให้ฟังนะ)

เมื่อรู้ว่าวันเกิดของลูกจะใกล้กับวันเกิดของในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อกับแม่ก็คิดว่า ถ้าชื่อของลูกมีความเชื่อมโยงกับพระองค์ท่านบ้างก็น่าจะดี

ทุกครั้งที่เรียกชื่อลูก พ่อกับแม่จะได้ระลึกถึงพระองค์ท่านด้วย

ช่วงนั้นแม่เขากำลังหัดเล่นเปียโนเพลง “ยามเย็น”  เวอร์ชั่นที่วี วิโอเล็ตร้องในหนัง “พรจากฟ้า” แต่พ่อคิดว่าถ้าตั้งชื่อลูกว่ายามเย็น ต้องโดนเพื่อนตัวแสบเรียกสั้นๆ ว่า “ยาม” แน่ๆ

โชคดีที่ยังมีเพลงพระราชนิพนธ์อีกเพลงที่ใกล้เคียงกับยามเย็น นั่นก็คือ ใกล้รุ่ง

ซึ่งก็สอดคล้องกับ ปรายฝน คือมีสองพยางค์ ใช้คำไทยแท้ และมีความเชื่อมโยงกับ “เวลา” ทั้งคู่

(พ่อเป็นคนให้ความสำคัญกับเวลามาก เพราะสิ่งที่เราเรียกว่า “ชีวิต” นั้น จริงๆ แล้วก็คือ “เวลา” ที่เราได้มาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้)

แม่ถามพ่อว่า ถ้าชื่อใกล้รุ่ง จะไม่โดนเพื่อนล้อเหรอว่า “ใกล้รุ่งๆ แล้วเมื่อไหร่จะรุ่งล่ะ?”

จริงๆ พ่ออยากให้ลูกรู้สึก “ใกล้รุ่ง” อยู่ตลอดเวลานะ เพราะมันจะทำให้ลูกมีความหวังและมีความเพียร เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดว่าตัวเอง “รุ่งแล้ว” นั่นแสดงว่าลูกกำลังตกอยู่ในความประมาท

พ่อกับแม่เก็บชื่อ “ใกล้รุ่ง” ไว้เป็นความลับ ไม่บอกใครเลย ขนาดพี่ปรายฝนก็ยังไม่รู้ แต่เวลาคุยกับลูกตอนอยู่ในท้อง พ่อกับแม่จะเรียกลูกว่า “หนวดขาว”

หนวดขาวคือชื่อตัวละครใน One Piece การ์ตูนเรื่องโปรดของพ่อ เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

อีกเหตุผลที่พ่อเลือกหนวดขาวมาตั้งเป็นโค้ดเนมให้ลูก ก็เพราะว่าหนวดขาวสามารถควบคุมแผ่นดินได้ พูดง่ายๆ ก็คือเขามีพลังแผ่นดินนั่นเอง

ถ้าปรายฝนเป็นลูกฟ้า ใกล้รุ่งก็น่าจะเป็นลูกดิน

ก่อนที่ใกล้รุ่งจะคลอด พ่อกับแม่ก็กังวลเล็กน้อยว่า ปรายฝนจะรู้สึกว่ารึเปล่าว่าน้องมาแบ่งความรักจากพ่อและแม่ไป

แต่ความกังวลนี้ก็คลี่คลาย เพราะพอพี่ปรายฝนเห็นหน้าใกล้รุ่งครั้งแรก เขาก็เอามือลูบหัวลูกเบาๆ แถมยังค่อยๆ ก้มลงมาหอมแก้มใกล้รุ่งตั้งหลายครั้ง

ช่วงแรกพี่ปรายฝนเขาหวงใกล้รุ่งขนาดที่ว่า ถ้าคนอื่นจะอุ้มใกล้รุ่ง ปรายฝนจะทักท้วงทันทีว่า “ไม่อุ้มๆ” ยอมให้อุ้มได้คนเดียวเท่านั้นคือแม่ผึ้ง

พี่ปรายฝน มีชื่อจริงว่า “วลีรัตน์” ซึ่งผู้ใหญ่ที่บ้านพ่อเคารพนับถือตั้งให้

7 วันก่อนที่ใกล้รุ่งจะคลอด พ่อก็ขอให้ผู้ใหญ่ท่านเดิมตั้งชื่อให้เช่นกัน พอวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ย.พ่อก็ได้รับคำอวยพรมาว่า

“ทายาทแห่งธรรมนามสอดคล้องผู้เป็นพี่ ด้วยวาจาอันซื่อสัตย์ แลเป็นวาจาอันทรงฤทธิ์ ด้วยบุญที่กำเนิดเกิดเป็นทายาทของลูก นามนั้นชื่อ สัจจรัตน์”

ขอให้ลูกเป็นคนมีสัจจะ

ขอให้ลูกเป็นคนติดดิน

ขอให้ลูกแข็งแรง

ขอให้ลูกมีจิตใจที่ดีงาม

ขอบคุณที่มาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้

พ่อขอให้สัจจะว่าจะดูแลใกล้รุ่งให้ดีที่สุดครับ

 

รักลูกเสมอ
แม่ผึ้ง-พ่อรุตม์-พี่ปรายฝน

อย่าเอามือเปื้อนสบู่ไปขยี้ตา

20170628_handfullofbubble

ปรายฝน ลูกสาวของผมอายุได้ขวบ 8 เดือนแล้ว

ทุกคืนก่อนเข้านอน ผมจะมีหน้าที่พาปรายฝนเปลี่ยนผ้าอ้อม แปรงฟัน แล้วก็ล้างมือ

ปรายฝนโปรดปรานการล้างมือมาก ผมจะเป็นคนอุ้มเขาขึ้นมาแล้วเอียงตัวไปใกล้ๆ ก๊อกน้ำให้เขาเปิดน้ำเอง จากนั้นปรายฝนก็จะเรียกร้องให้ผมกดฟองสบู่คิเรอิใส่มือให้เขาได้ถูมือไปมา เดาว่าเขาคงชอบความรู้สึกลื่นๆ และกลิ่นที่หอมติดมือ

แต่เมื่อคืนก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อปรายฝนนึกสนุกตบมือในขณะที่ฟองสบู่ยังเต็มมืออยู่ ฟองก็เลยกระเด็นไปโดนกระจกและโดนหน้าผม ก่อนที่จะห้ามไว้ทันฟองก็กระเด็นใส่ตาปรายฝนเสียแล้ว

ปรายฝนรีบเอามือซ้ายไปขยี้ตา ผมก็รีบคว้ามือปรายฝนออก (แต่เค้าขยี้ไปทีสองทีแล้วนะครับ) พอจับมือซ้ายเขาไว้ เขาก็เอามือขวาขึ้นมาขยี้ตาแทน (ตอนนั้นมือผมว่างแค่มือเดียวเพราะอีกมืออุ้มปรายฝนอยู่) ผมเลยต้องรีบวางปรายฝนลงแล้วจับมือเขาไว้ทั้งสองข้าง พาไปล้างมือให้สะอาดในห้องอาบน้ำก่อน แล้วค่อยเอาน้ำมาล้างหน้าล้างตาให้พอหายปวดแสบปวดร้อน

ระหว่างที่เช็ดตัวให้ปรายฝนที่กำลังยืนงงๆ ว่า ทำไมยิ่งขยี้ตาก็ยิ่งแสบตา ผมก็คิดได้ว่าบางทีผู้ใหญ่เราก็มีอาการอย่างนั้นเหมือนกัน

อาการของคนที่รีบขยี้ตาทั้งๆ ที่มือยังเปื้อนสบู่อยู่

ไม่ว่าจะเป็นคู่รักที่มานั่งถกกันว่าใครถูกใครผิด ทั้งๆ ที่อารมณ์ยังคุกรุ่น

หรือคนมีชื่อเสียงที่ออกมาแถลงข่าวเพื่อพยายามกลบเกลื่อนเรื่องที่คนสงสัย

หรือปัญหาอะไรก็แล้วแต่ที่เรารีบร้อนแก้ไขแต่พอทำไปแล้วสถานการณ์กลับเลวร้ายกว่าเดิม

เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝุ่นละอองในชีวิตทำให้เราแสบตา

ก่อนจะทำอะไร อย่าลืมล้างมือ-ล้างใจก่อนทุกครั้งนะครับ


facebook.com/anontawongblog
anontawong.com/archives

 

ลิเกการศึกษา

20170618_ligae

[ถาม]: โทษนะคะ ตอนนั้นจิตวิญญาณความเป็นครูหายไปไหมคะ ?”
[ตอบ]: ไม่ถึงขนาดนั้น แต่มาสะดุดใจตอนปี พ.ศ. 2531 ตอนนั้น อ.อารี สัณหฉวี อาจารย์ใหญ่ ร.ร.สาธิต เชิญ Professor Hotchkis, G.D. จากมหาวิทยาลัย Macquarie ประเทศออสเตรเลีย มาเลกเซอร์เรื่องการสอนแบบ mastery learning ให้พวกครูสาธิต

ตอนนั้นผมอยากสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กอัจฉริยะ อ.อารีรู้เรื่องนี้เลยชวนผมมานั่งฟัง แต่ผมหยิ่ง ฝรั่งจะมาสอนอะไร วิธีสอนของเขาจะมาสู้อะไรเรา

ที่ไหนได้ สิ่งที่เขาสอนทำให้เราเห็นว่า ไอ้ที่เราสอนกวดวิชา สรุปให้เด็กจำเพื่อนำไปสอบ เราควรจะสอนไหม หรือควรจะสอนความรู้ที่ติดตัวเด็กไป

สอนกวดวิชาเหมือนใส่ชุดลิเก เป็นเทพ เป็นเจ้า แต่พอเล่นเสร็จ เราถอดชุดออกใช่ไหม ถอดออกมันก็ไม่ใช่เทพแล้ว เนี่ยเราสอนเด็กเหมือนเล่นลิเก คนนี้เก่ง รำสวย ชฎาสวย แต่มันใช้กับชีวิตจริงตรงไหน

ความรู้ที่เราสอนพอสอบเสร็จทิ้งหมดนะ ผมเรียกคณิตศาสตร์ลิเก วิทยาศาสตร์ลิเก
พอแสดงเสร็จ คนดูกลับ จบ วันรุ่งขึ้นเก็บเงินคนดูเข้ามาดูใหม่

ถ้าคุณเป็นพระเอกในลิเกคุณต้องเป็นพระเอกในชีวิตจริงได้ด้วยสิ แต่ชีวิตจริงไม่ได้เอาลิเกมาใช้เลย

เราลืมเรื่อง “ความทั่วถึง”

ไอ้ที่เราสอนเด็กติดแพทย์ ติดวิศวะ เราคิดว่าเราเก่ง โถ..จะไม่ติดได้ยังไง เราสอนตั้งปีกว่า แต่เด็กที่เราทิ้งไปคือเด็กที่มาเรียนกับเราแล้วไม่รู้เรื่อง

เรียนกับ อ.พูลศักดิ์ยังไม่รู้เรื่องก็ทิ้งวิชาคณิตศาสตร์ไปเลย แต่จริงๆ คณิตศาสตร์ที่ต้องใช้กับชีวิตประจำวัน มันควรจะแปะติดตัวเราไป ไม่ใช่คณิตศาสตร์ลิเก

แล้วพอเจอ professor เรารู้เลยว่า ที่ผ่านมาเวลาเราสอนเราพูดวิธีเดียว เราคิดว่าพูดแค่นี้นักเรียนต้องรู้ พอนักเรียนไม่รู้เราบอกว่า “คนนี้ต้องมีอะไรผิดปกติ” แต่จริง ๆ แล้ว “เราเองผิดปกติ”

เหมือนคนเป็นหมอ คนไข้มารักษาไม่หาย เราโทษคนไข้ไหม ไม่ เพราะจริงๆ เราผิด

เรามีหน้าที่มองนักเรียนแต่ละคนในจุดเล็กๆ

คนเก่งทำได้ ใช้เวลาสั้นแล้วมาดูแลเพื่อน คนอ่อนใช้เวลาเรียนมากหน่อย

เพราะฉะนั้นเวลาทำแบบฝึกหัด สมมติโจทย์มี 30 ข้อ คนเก่งให้ทำไปเลย 30 ข้อ คนอ่อนทำได้ 5 ข้อ พอแล้ว นักเรียนทุกคนรู้เท่าเทียมกัน เขาเรียก “เต็มที่” และ “ทั่วถึง” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ไม่มีในระบบการศึกษาไทย

– อาจารย์พูลศักดิ์ เทศนิยม
อดีตติวเตอร์กวดวิชาที่ได้ค่าสอนวันเดียว 20 ล้าน
นิตยสารคู่สร้างคู่สม ฉบับเดือนมกราคม 2554
นำมาถ่ายทอดออนไลน์โดย ไชยยศปั้น OKNation Blog 

—–

ผมเองเคยเรียนโรงเรียนกวดวิชาอยู่ครั้งหนึ่งตอนเตรียมตัวสอบเข้ามัธยม 1 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ

ช่วงนั้นเตรียมพัฒน์ฮอตมาก เพราะปีนั้นเด็กที่จบม.6 จากที่นี่เอนทรานซ์ติดเยอะเป็นอันดับสองของประเทศ เป็นรองแค่โรงเรียนเตรียมใหญ่ฯ จนส่งผลให้รุ่นผมมีนักเรียนถึง 1000 กว่าคนและห้องเรียน 20 ห้อง

พอจบม.3 เทอมแรก ก็ไปเรียนนิวซีแลนด์ จึงไม่เคยมีโอกาสได้กวดวิชาอีกเลย

มานั่งนึกดู ผมอยู่ที่นิวซีแลนด์สามปี ไม่เคยเห็นใครกวดวิชาเลย

—–

คำพูดของอาจารย์พูลศักดิ์ที่ว่าสอนกวดวิชาเหมือนสอนเล่นลิเกนี่ฟังแล้วจี๊ดหัวใจ

และถ้าผมเป็นอาจารย์กวดวิชาเองก็คงจี๊ดกว่านี้อีกหลายเท่า

ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็ไม่คิดว่าเราควรโทษอาจารย์กวดวิชานะครับ เพราะเขาก็แค่เติมเต็มความต้องการของตลาดเท่านั้นเอง

ยิ่งอาจารย์กวดวิชามีรายได้มากเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการศึกษาในบ้านเรามากเท่านั้น

การศึกษาก็เหมือนการเล่นเกม กติกาก็ง่ายๆ  คือมาเรียนให้ครบชั่วโมงและสอบให้ผ่านคุณก็จะได้ไปต่อ พอคุณผ่านด่านครบ 16 ด่าน (ประถม มัธยม อุดมศึกษา) คุณก็จะได้ใบที่เรียกว่าปริญญาตรีเพื่อไปเริ่มเกมใหม่ที่เรียกว่าชีวิตการทำงาน

ประเด็นก็คือชีวิตการทำงานเรากำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก วิธีการทำงานของเราในวันนี้แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่หลักสูตรการศึกษา(บางส่วน)ของเราอาจจะเก่ากว่า 20 ปีด้วยซ้ำ

ผมคงไม่คิดจะเรียกร้องให้ปฏิรูปการศึกษา เพราะเชื่อว่ามีคนตั้งใจจะทำอยู่แล้ว เพียงแต่มันยากมากและคงต้องใช้เวลาอีกซักพัก

และโลกแห่งการศึกษาก็คงยากที่จะตามโลกแห่งความจริงได้ทัน แค่ลองจินตนาการว่าโลกของเราจะเป็นอย่างไรตอนที่ลูกสาวผมจบปริญญาตรีในอีก 20 ปีข้างหน้า หัวผมก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า

ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ถ้าเกมการศึกษายังบังคับให้ลูกเราเป็นนางเอกลิเกอยู่ ก็คงต้องว่าไปตามนั้น

แต่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง คงต้องไม่ลืมสอนลูกให้เป็นนางเอกในชีวิตให้ได้ด้วยเช่นกันครับ

——

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารคู่สร้างคู่สม ฉบับเดือนมกราคม 2554 (ถ่ายทอดออนไลน์โดย ไชยยศปั้น OKNation Blog )

พรปีใหม่จากปรายฝน

20170101_newyear

เช้านี้มีโอกาสได้อยู่กับลูกสาวตามลำพัง เพราะพี่เลี้ยงลากลับบ้าน ส่วนภรรยาก็ออกไปจ่ายตลาด ผมเลยมีเวลาได้นั่งสังเกตปรายฝนอย่างใกล้ชิดและคิดได้ว่าจริงๆ เด็กวัยนี้ก็สอนอะไรเราได้เยอะเหมือนกันนะ

ปี 2560 นี้ จึงขอพรให้ตัวเอง

มองโลกด้วยความกระตือรือล้น เด็กๆ เวลาเห็นอะไรก็จะตื่นเต้นไปหมด เห็นเครื่องบินบินผ่านก็ชี้ เห็นกระรอกก็ชี้ เห็นไส้เดือนยังชี้ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับเขา แต่ความกระตือรือล้นของเราดูจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น หลายครั้งที่สิ่งมหัศจรรย์อยู่ตรงหน้าเราแท้ๆ เรายังมัวแต่เล่นมือถืออยู่ได้

ไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ลูกสาวผมให้ลองกินอะไรก็กินหมด เห็นบันไดก็จะปีน เห็นจักรยานก็จะขี่ คำว่ากลัวกับคำว่าอันตรายยังไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเขา ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราแม้จะไม่ได้ใช้คำว่า “อันตราย” อยู่บ่อยๆ แต่เราก็มักจะมีคำที่เป็นญาติกันอย่าง “กังวล” “คิดดีๆ” “แน่ใจแล้วเหรอ” เวลาที่เจอโอกาสใหม่ๆ แล้วส่วนใหญ่เราก็จะปล่อยให้ความกังวลหรือความรอบคอบของเราทำหน้าที่มากเกินไปจนเราพลาดโอกาสดีๆ ไป

ทำสิ่งเดิมๆ ให้ดีกว่าเดิม เด็กเล็กๆ นั้นสามารถมีความสุขกับเรื่องเดิมๆ ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นการเล่นจ๊ะเอ๋หรือเล่นของเล่นชิ้นเดิม แต่ผู้ใหญ่นั้นเบื่อง่าย เพียงแค่ต้องคิดว่าต้องทำงานเดิมๆ เราก็เบื่อแล้ว แต่งานเกือบทุกชิ้นนั้นมีแง่มุมที่เราจะสามารถหามุมสนุกกับมันได้เสมอ ขอเพียงแต่เราเติมความสร้างสรรค์เข้าไป หรือมองเสียว่ามันคือโอกาสสำหรับการฝึกปรือทักษะบางอย่างให้เก่งยิ่งขึ้น

อยู่กับปัจจุบัน เวลาปรายฝนเล่นอะไรหรือกำลังสนใจอะไรบางอย่าง ความจดจ่อของเขาทั้งหมดจะพุ่งตรงไปยังสิ่งนั้น กลับมามองตัวผมเองที่เตลิดไปทางความคิดและการกระทำทุกๆ สองสามนาที ซึ่งต้นเหตุอาจจะมาจากความเบื่อในการทำสิ่งเดิมๆ นั่นเอง (ต้องกลับไปอ่านข้อก่อนหน้านี้ใหม่)

เข้าใจว่าหกล้มเป็นเรื่องธรรมดา ปรายฝนยังเดินไม่ค่อยคล่อง แต่ก็ยังซ่าชอบเดินเร็วๆ และพอเดินเร็วเกินไปก็มักจะเสียการทรงตัวจนล้มลงหลายครั้ง แต่ล้มเสร็จแล้วก็ยิ้มหวานแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ผู้ใหญ่อย่างเราก็น่าจะหัดยิ้มหวานและลุกขึ้นมาเดินใหม่ให้บ่อยขึ้นเช่นกัน

ไม่หยุดอยู่กับที่ ถ้าเด็กนั้น “ซนอย่างกับลิง” ผู้ใหญ่ก็อาจจะ “นิ่งอย่างกับทาก” ไม่ค่อยมีความกระฉับกระเฉงเท่าไหร่ ยิ่งเราทำงานออฟฟิศด้วยแล้ว เรามักจะนั่งอยู่กับที่ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราควรจะเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งถ้าคำนึงถึงความจริงที่ว่าร่างกายของคนเราไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อการการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์

ขอความช่วยเหลือเมื่อเจอเรื่องที่ทำไม่ได้ เวลาปรายฝนอยากได้ของที่ไกลเกินเอื้อม เขามักจะจับมือผม (หรือมือแฟนผม) แล้วชี้ไปตรงทิศทางนั้นเพื่อให้เราหยิบให้ แต่ผู้ใหญ่เราเองเวลาทำอะไรไม่ได้มักจะไม่บอก เพราะกลัวจะถูกมองว่าไม่เก่งหรือไม่พยายาม หรือบางทีเราก็อีโก้เกินไปที่จะยอมรับว่าคนอื่นเก่งกว่าเรา ไอ้ความปากหนักตรงนี้เองที่บางทีก็ทำให้เสียงานและทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย

อย่าทำให้มันซับซ้อน ถ้าหิวก็กิน ถ้าเหนื่อยก็พัก ถ้าชอบก็แสดงออก ถ้าไม่ชอบก็ไม่ฝืนทำ เด็กเขาไม่มีจริตจะก้าน คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ผู้ใหญ่อย่างเรานี่แหละที่มักทำให้เรื่องมันซับซ้อนเกินกว่าเหตุ

สร้างความสุขให้ผู้อื่น เมื่อวานนี้ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่เพิ่งผ่าตัด พาเจ้าปรายฝนไปด้วย ปรากฎว่าตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงที่อยู่ในห้องพักคนไข้ ปรายฝนทำตัวโก๊ะๆ ทักคนนั้นที อ้อนคนนี้ที เต้นระบำ ออกท่าออกทาง จนสร้างรอยยิ้มให้ผู้ใหญ่ 10 กว่าคนในห้องได้อย่างถ้วนทั่ว คนวัยเราอาจจะไม่สามารถทำตัวน่ารักน่าชังได้เหมือนเด็กหนึ่งขวบ แต่ความสามารถในการสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนอื่นนั้นมีอยู่ในทุกคน แค่วางฟอร์มให้น้อยหน่อย เป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น และให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เท่านี้ก็น่าจะช่วยให้ชีวิตของเราและคนรอบข้างรื่นรมย์ขึ้นได้ไม่น้อย

การเรียนรู้จากเด็กหนึ่งขวบในวันขึ้นปีใหม่ 2560 ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกตลอดปี 2560 นี้

เรามาเติบโตไปด้วยกันนะครับ


facebook.com/anontawongblog
anontawong.com/archives
Download eBook – เกิดใหม่