ประมาณวันนี้ เมื่อ 21 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี 2537 ผมมีโอกาสได้ไปเรียนหนังสือชั้นม.ปลายที่ประเทศนิวซีแลนด์
เรียนจนจบม.ปลาย ก็มีเหตุให้ต้องกลับเมืองไทยเนื่องจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้พ่อแม่ไม่มีกำลังจะส่งเสียให้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้
แต่เพียง 3 ปี 3 เดือน ก็เหลือเฟือสำหรับการเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ มากมายจากประเทศนี้
วันนี้เลยมาขอเล่าให้ฟังว่า การส่งเด็กไปเรียนนิวซีแลนด์นั้นดียังไงครับ
1.ได้ฝึกภาษาอังกฤษ
อันนี้ของชัวร์อยู่แล้ว เพราะที่นี่พูดภาษาอังกฤษกันทั้งประเทศ สำเนียงก็ฟังไม่ยากเพราะไม่ต่างจากที่เราได้ยินในหนังฮอลลีวู้ดเท่าไหร่ และถ้าได้โรงเรียนที่ใส่ใจ และตัวเด็กเองก็ใส่ใจ ก็จะสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษได้อย่างก้าวกระโดดแน่นอน
ผมเองเรียนโรงเรียนรัฐบาลมาโดยตลอด ได้เรียนภาษาอังกฤษตอน ป.5 ก่อนจะไปนิวซีแลนด์ก็ยังภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นอยู่มาก แต่ก่อนกลับจากที่นั่นผมไปสอบ IELTS ได้คะแนน 8.5 ครับ
2. ค่าครองชีพถูกกว่าประเทศอื่นๆ ที่พูดภาษาอังกฤษ
ถึงภาษาอังกฤษจะครองโลก แต่มานั่งนึกดูประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลักมีแค่ไม่กี่ประเทศเท่านั้นคืออเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ (ไม่นับประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมอย่างอินเดียและสิงคโปร์ ซึ่งสำเนียงก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย)
ในบรรดาสี่ประเทศที่ว่ามา โดยรวมแล้วที่นิวซีแลนด์ถูกที่สุดครับ
ลองดูได้จากเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดของแต่ละประเทศ
15 Aberdeen, United Kingdom
19 San Francisco, CA, United States
23 Perth, Australia
54 Wellington, New Zealand
3. สภาพแวดล้อมดีเยี่ยม
เมืองที่ผมไปอยู่เป็นเมืองเล็กๆ ชื่อเทมูก้า มีประชากรเพียง 4000 คน แต่สวนสาธารณะของเขาใหญ่กว่าสวนลุมซะอีก แถมใน “ตัวเมือง” ก็มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร ร้านขายจักรยาน ร้าน Fish & Chips คลีนิค หรือร้านตัดผม
ไม่ว่าผมจะไปเที่ยวส่วนไหนของนิวซีแลนด์ ผมก็ไม่เคยเกิดความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” เลยสักครั้ง (ในขณะที่เมืองบางเมืองในอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลีย จะมีบางโซนที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ต้องคอยเหลียวหน้าแลหลังตลอดเวลา)
4. ได้สูดอากาศบริสุทธิ์
ตอน ป.6 – ม.3 ผมเป็นภูมิแพ้หนักมาก จนต้องไปฉีดยาที่โรงพยาบาลทุกสัปดาห์อยู่เป็นปีๆ
หนึ่งในเหตุผลหลักที่แม่ส่งผมไปเรียนที่นี่ก็เพราะหวังว่าถ้าได้ไปเจออากาศดีๆ แล้วอาการภูมิแพ้ของผมจะทุเลาลง ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าคิดไม่ผิด เพราะอยู่ที่นั่นแทบจะไม่เป็นภูมิแพ้เลย และกลับมาแม้จะยังมีอาการอยู่บ้างแต่ก็เบากว่าก่อนไปแบบเทียบกันไม่ได้
5. ได้เห็นวิวสวยๆ
นิวซีแลนด์นั้นมีทิวทัศน์สวยมาก อารมณ์เกือบจะเท่าสวิตเซอร์แลนด์ด้วยซ้ำ (เพียงแต่จะบ้านๆ กว่าหน่อย) มีเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะให้เราเล่นสกี มีธารน้ำแข็งให้เราเดินลัดเลาะขึ้นไปชม มีทะเลสาบน้ำใสแจ๋วให้เราไปพายเรือและตกปลา มีพื้นที่ป่ามากมายให้เราไปเดินป่า (trekking) ถ้าใครชอบอยู่กับธรรมชาติรับรองเลยว่าจะต้องตกหลุมรักประเทศนี้
6. ไม่มีสัตว์ร้าย
เท่าที่ผมเข้าใจ นิวซีแลนด์ไม่มีสัตว์ร้ายประเภทงูเงี้ยวเขี้ยวขออยู่เลย (ขณะที่ออสเตรเลียมีสัตว์อันตรายอยู่เพียบ)
หรือแม้กระทั่งสัตว์ที่น่ารำคาญหรือน่าขยะแขยงอย่าง ยุง แมลงวัน มด แมลงสาบ หรือจิ้งจก ผมก็ไม่เคยเจอตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องที่อเมซซิ่งมากๆ
ถ้าจะมีสัตว์ที่เป็นอันตรายอยู่บ้างคงเป็นแกะที่กำลังหิวมั้งครับ (นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีประชากรแกะหนาแน่นที่สุดในโลก – 30 ล้านตัว)
7. ผู้คนเคารพกฎกติกา
คนปั่นจักรยานทุกคนต้องใส่หมวกกันน็อค และผู้โดยสารทุกคนในรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย แม้ว่าจะนั่งเบาะหลัง
ปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ อาจจะมีเด็กปั๊มแค่สองคน เราต้องเติมน้ำมันเอง แล้วเดินไปจ่ายค่าน้ำมันในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ในปั๊ม
ที่จอดรถบางแห่งไม่มีคนเก็บเงิน เราจอดเสร็จแล้วก็เดินไปซื้อตั๋วที่ตู้ แล้วมาวางไว้ตรงหน้ารถเพื่อให้พนักงานตรวจผ่านมาดูได้ (ถ้าใครไม่จ่ายก็โดนค่าปรับกันไปตามระเบียบ)
ถ้าลูกคุณมาเรียนที่นี่ ผมเชื่อว่าลูกคุณจะเป็นคนที่เคารพกติกา ไม่เบ่ง ไม่กร่างครับ
8. ได้เลือกเรียนอย่างอิสระ
ที่นิวซีแลนด์ไม่มีแบ่งสายวิทย์-สายศิลป์ ดังนั้นเราจะเลือกเรียนวิชาอะไรก็ได้ตามที่ตารางสอนเอื้ออำนวย
ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ ถึงเราจะเรียนม.5 แต่วิชาที่เราเรียนอาจจะไม่ใช่วิชาของม.5 ก็ได้ เช่นถ้าเราเก่งเลขอยู่แล้ว เราก็อาจจะขอข้ามไปเรียนเลขของม.6 เลยก็ได้
เมื่อปี 2539 ผมอยู่ Form 6 แต่เรียนเลขของ Form 7 และเรียนภาษาฝรั่งเศสของ Form 5
9. ไม่ต้องไปแข่งกับใคร
ที่นิวซีแลนด์ไม่มีโรงเรียนกวดวิชา ไม่มีการแบ่งห้องคิง ไม่มีการสอบเข้าโรงเรียนมัธยม
นานๆ ทีจะมีสอบเพื่อวัดความเป็นเลิศทางวิชาการบ้าง แต่ไม่จริงจังเหมือนเมืองไทย
ที่เมืองไทย เราจะต้องคัดเด็กเรียนเก่งมาก่อน จากนั้นก็ให้คุณครูติวเข้ม แล้วถึงวันที่สอบ เด็กกลุ่มนี้ ก็จะต้องหยุดเรียนเพื่อเป็นตัวแทนไปนั่งทำข้อสอบยากๆ ที่โรงเรียนเจ้าภาพที่ใดซักที่หนึ่ง
ส่วนของนิวซีแลนด์ เด็กก็เรียนตามปกติ แต่พอถึงวิชาคณิตศาสตร์ อาจารย์ก็เอาข้อสอบวัดความเป็นเลิศทางวิชาการออกมาให้ทำ โดยให้นักเรียนทุกคนในห้องทำ (ไม่ได้คัดเฉพาะให้เด็กเก่งทำ) ทำเสร็จแล้วก็ไปเรียนวิชาอื่นกันต่อหน้าตาเฉย
ส่วนตัวกระดาษคำตอบก็จะส่งไปที่ส่วนกลางเพื่อตรวจและให้คะแนน ใครที่ได้คะแนนดีๆ ก็จะมีชื่อลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและได้คำชมจากอาจารย์ใหญ่เวลาเข้าหอประชุมครับ
10. ไม่ต้องเจอรถติด
เมืองเทมูก้าที่ผมอยู่นั้น ถ้าค่ำๆ หน่อยผมสามารถไปนั่งกลางถนนซัก 5 นาทีโดยที่ไม่ต้องกลัวรถทับ
ผมเข้านอนสี่ทุ่มครึ่ง ตื่นเจ็ดโมงเช้า ทานข้าวเจ็ดโมงครึ่ง ปั่นจักรยานออกจากบ้านตอนแปดโมง ถึงโรงเรียนตอนแปดโมงสิบนาที เข้าเรียนตอนแปดโมงครึ่ง
เวลาจะเข้าเมืองหรือไปนั่งเล่นบ้านเพื่อนก็ใช้วิธีเดินหรือปั่นจักรยานเอา บ้านเพื่อนเกือบทุกหลังสามารถเดินถึงได้ภายในเวลา 30 นาที
11. ผู้คนจิดใจดี
อาจจะเพราะว่าชีวิตสามารถหาอยู่หากินได้สบาย เขาจึงมีเวลาและน้ำใจเหลือเฟือที่จะแบ่งปันให้คนอื่น
ในช่วงสามปี ผมไปนอนบ้านเพื่อนมาไม่ต่ำกว่า 6 หลัง รวมจำนวนแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 30 คืน และแม่บ้าน-พ่อบ้านของเขาก็ดูแลผมดีราวกับเราเป็นลูกคนหนึ่ง ทำอาหารให้ทาน พาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ หรือแม้กระทั่งอาสามาดูแลเราเวลาที่แม่บ้านไม่สบายต้องไปนอนโรงพยาบาล
12. ได้ใช้ชีวิตแบบสมถะ
ในบรรดาเพื่อนชาวนิวซีแลนด์ที่ผมได้รู้จัก ไม่มีใครติดหรูเลย
ไม่มีใครพูดถึงเสื้อผ้าแบรนด์เนม ไม่มีใครขับรถป้ายแดง ไม่เคยเอาของแพงๆ มาอวดกัน
จะว่าไป ผมไม่ได้สัมผัสกับความเป็นวัตถุนิยมของคนนิวซีแลนด์เลยด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งพวกชาวนาที่รวยมากๆ เขาก็ขับรถญี่ปุ่นและใส่เสื้อขนแกะที่ขาดเป็นรูได้อย่างไม่เก้อเขิน
13. ได้อ่านหน้งสือ
ต้องขอบคุณนิวซีแลนด์ที่ทำให้ผมรักการอ่าน
ก่อนจะไปเรียนผมก็ชอบอ่านอยู่แล้ว แต่อ่านแต่การ์ตูนนะ พวกดราก้อนบอล โดราเอมอน รันม่า อะไรอย่างนั้น
แต่พอไปนิวซีแลนด์ จะเอาการ์ตูนไปก็กระไรอยู่ (เพราะอ่านหมดแล้ว) เลยได้เริ่มอ่านหนังสือที่มีแต่ตัวหนังสือจริงๆ จังๆ
ผมจึงได้อ่านนิยายหลายเล่มของคุณประภัสสร เสวิกุล เช่น ขอหมอนใบน้้นที่เธอฝันยามหนุน ลอดลายมังกร ชี้ค และ ขอให้รักเรานั้นนิรันดร
ได้รู้จักธรรมะผ่านหนังสือของท่านพุทธทาส (ผมจำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว)
ที่สำคัญ แม่ยังสมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ซึ่งใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ถึงจะส่งมาถึงผม และผมก็ติดตามอ่านอย่างเหนียวแน่น จนบางทีเวลาโทร.กลับไปคุยกับเพื่อนที่เมืองไทย ผมรู้สึกว่าตัวเองรู้ความเป็นไปในเมืองไทยดีกว่าเพื่อนซะอีก
14. ได้เล่นดนตรี
ผมอยากเล่นกีตาร์เป็นมานานแล้ว สุดท้ายก็ได้อาจารย์ดนตรีที่นี่สอน
แล้วก็ได้ไปเรียนตีกลอง กับคนที่ไม่ใช่อาจารย์กลอง (แต่น่าจะเป็นมือกลองวงไหนซักวง) โดยไปตีกลองที่โรงเก็บรถของเขา
ได้เล่นกีตาร์คลาสสิคในวงออเคสตรา (แต่เกรงว่าจะไม่มีใครได้ยินเพราะเสียงไวโอลินกลบหมด) แล้วก็ได้ตั้งวงกับคนไทยด้วยกันเองชื่อวง So L อีกด้วย
15. ได้เล่นกีฬา
วันเสาร์ คนไทยไปเดินห้าง แต่คนนิวซีแลนด์เล่นกีฬาครับ!
ถ้าเอาสัดส่วนเหรียญโอลิมปิกหารกับจำนวนประชากรแล้ว ประเทศนิวซีแลนด์ได้เหรียญมากเป็นอันดับ 12 ของโลกเลยทีเดียว (ส่วนพี่ไทยได้อันดับ 105 จีนได้ที่ 106)
ผมอยู่ที่นี่จะได้เล่นกีฬาเกือบตลอดปี โดยเฉพาะหน้าหนาวที่เป็นฤดูกาลเตะบอล ช่วงที่ฟิตจัดๆ วันเสาร์เช้าเตะหนึ่งนัด เสาร์บ่ายเตะหนึ่งนัด อาทิตย์บ่ายเตะอีกหนึ่งนัด (บอล 11 คนนะครับ) ไม่นับซ้อมอีกสามวันต่อสัปดาห์ ให้เวลากับฟุตบอลมากจนแม่บ้านงอนไปเลย
16. ได้ฝึกความอดทน
อยู่เมืองไทย อาจมีแต่คนเอาใจ ไม่ต้องเจออะไรที่ลำบาก
แต่มาอยู่ต่างถิ่น ก็ย่อมต้องเจอสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมหรือเรียกร้องได้
แม่บ้านที่ดูแลผม อยู่ตัวคนเดียว (หย่าร้าง และลูกชายโตๆ กันหมดแล้ว) ทำอาหารไม่ค่อยเป็น แถมยังสูบบุหรี่จัดมาก (วันละ 20-30 มวน) ผมเพิ่งรู้จากแม่ว่าสม้ยนั้น เวลากลับมาเมืองไทยทีไร เสื้อผ้าที่ขนกลับมาด้วยนี่มีแต่กลิ่นบุหรี่เหม็นหึ่ง
การเรียนที่โรงเรียนก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่มีใครจะมาใจดีนั่งติวหนังสือให้เรา
เวลาหน้าหนาวก็หนาวจนทรมาน ห้องผมไม่ได้เปิดฮีทเตอร์ด้วยเพราะต้องช่วยแม่บ้านประหยัดไฟ ก็ต้องอาศัยใส่เสื้อผ้าหนาๆ เอา
เมื่อได้รับมือกับสิ่งที่ไม่เป็นใจบ่อยเข้า เราก็จะมีภูมิคุ้มกันเรื่องนี้มากขึ้นครับ
17. ได้อยู่กับตัวเอง
ผมว่าข้อนี้สำคัญที่สุด
สมัยนั้นนิวซีแลนด์มีฟรีทีวีแค่สามช่องเท่านั้น รายการเดียวที่ผมติดตามดูคือซีรี่ส์เรื่อง Friends นอกนั้นก็แทบไม่มีอะไรให้ดูแล้ว
แม้จะเตะบอลก็แล้ว ซ้อมดนตรีก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว ก็ยังมีเวลาเหลือ!
ผมจึงมีเวลานั่งเขียนไดอารี่ และนั่งเขียนจดหมายหาเพื่อนได้เป็นสิบๆ หน้า
การได้มีเวลานั่งทบทวน ทำให้เรามีความชัดเจนมากขึ้นว่า เราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และอยากใช้ชีวิตแบบไหน
และนิสัยชอบคิดชอบเขียนในวันนั้น ก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผมสามารถมานั่งเขียนบล็อกได้อย่างทุกวันนี้ครับ
—–
แน่นอน นิวซีแลนด์ในวันนี้ คงแตกต่างจากนิวซีแลนด์เมื่อ 21 ปีที่แล้ว
ดังนั้นสิ่งที่ผมเล่ามา คงไม่ได้เป็นจริงทั้งหมดอีกต่อไป
แต่จากที่ผมกลับไปเที่ยวนิวซีแลนด์กับแฟนเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่ามันยังเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก
ผมคุยกับแฟนเอาไว้แล้วว่า เมื่อลูกเราโต และเรามีกำลังพอ ก็อยากจะส่งลูกไปเรียนที่นี่เช่นกันครับ
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com
ขอบคุณข้อมูลจาก:
Numbeo: Cost of Living Index 2015 Mid Year
Wikipedia: Sheep Farming in New Zealand
Medals Per Capita
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
Pingback: 5 เหตุผลที่เราควรเก็บเตียงทุกเช้า | Anontawong's Musings
Pingback: จะทำสไลด์ อย่าเปิด Powerpoint | Anontawong's Musings