เราชอบคิดว่าเราไม่มีทางเลือก

พอโตเป็นผู้ใหญ่ ประสบการณ์มักจะหล่อหลอมและแช่แข็งให้เรามีชุดความเชื่อว่า สิ่งนี้ทำได้-สิ่งนั้นทำไม่ได้

เมื่อคิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว เราจึงเลิกตั้งคำถาม

พอปิดกั้นความเป็นไปได้ใหม่ๆ แต่ละวันจึงตายตัวและวนลูป

หากเราไม่โอเคกับสภาพที่เป็นอยู่ สิ่งที่ควรถามก็คือ “เราอยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?”

ถ้าคำตอบคือ “ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ตลอดไป” นั่นคือสัญญาณว่าเราควรทำอะไรต่างไปจากเดิม

แล้วเสียงในหัวก็จะเถึยงขึ้นมาอีกว่า ก็มันเลือกไม่ได้นี่

จริงๆ แล้วเราสามารถเลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก ที่คิดว่าเราเลือกไม่ได้ เพราะเรากลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา

สมมติว่างานปัจจุบันนั้นไร้ความสุขและไร้อนาคต แต่เราก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน เพราะว่ามีภาระต้องดูแล เราจึงบอกว่าไม่มีทางเลือก แต่แท้จริงแล้วเราเลือกที่จะเปลี่ยนงานได้ถ้าเราพร้อมรับความเสี่ยง เช่นงานใหม่ไม่เวิร์ค ได้เงินน้อยกว่าเดิม ไม่ได้มีหน้ามีตาเท่าเดิม ไม่สามารถดูแลคนที่เรารักได้ดีเหมือนแต่ก่อน

แน่นอนว่าไม่ได้ง่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นเป็นไปได้ถ้าเราพร้อมเผชิญหน้ากับมัน

โจทย์จึงไม่ได้อยู่ที่เราขาดแคลนทางเลือก โจทย์อยู่ที่เราขาดแคลนความกล้า

เมื่อเรานิยามโจทย์เสียใหม่ ความเป็นไปได้ก็เปิดกว้าง เราจะเริ่มตั้งคำถามและมองหาทางออก แทนที่จะพร่ำบอกตัวเองว่ามันคือทางตัน

คิดให้ดี คิดให้ถี่ถ้วน แล้วถ้าสุดท้ายได้ข้อสรุปเหมือนเดิมก็ไม่เห็นเป็นไร โลกกำลังหมุนไว เดือนหน้ากลับมาคิดใหม่ก็อาจได้ข้อสรุปที่แตกต่าง

เราชอบคิดว่าเราไม่มีทางเลือก

แต่ถ้าเรากล้าตั้งคำถาม และกล้าเผชิญผลลัพธ์ที่ตามมา เราจะรู้ตัวว่าเรามีทางเลือกเสมอครับ

ปราบมังกรตั้งแต่ตอนที่มันยังแบเบาะ

มังกรนั้นมีความหมายที่แตกต่างไปในแต่ละวัฒนธรรม

สำหรับคนจีน มังกรเป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุขและความอุดมสมบูรณ์

แต่สำหรับฝรั่ง มังกรมักเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ดุร้ายที่คอยเฝ้าองค์หญิงหรือสมบัติไม่ยอมให้ใครมากล้ำกราย มีเพียงอัศวินผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะปราบมังกรที่ดุร้ายนี้ได้

ในบทความนี้จะมองมังกรตามความหมายของฝรั่ง

ชีวิตเรามีมังกรอยู่เต็มไปหมด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะออกไปตามหามันถึงในถ้ำแล้วปราบมันหรือไม่ ซึ่งถ้าโชคดี เราอาจจะไปเจอตอนมังกรตอนที่มันยังเล็กและไม่มีพิษสงมากมายนัก เราจึงสามารถจัดการมันได้โดยง่ายดาย

แต่ถ้าเรามัวแต่กลัวมังกร ไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ แล้วหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามังกรจะจากไปเอง วันหนึ่งมันอาจจะกลับมาไล่ล่าเราก็ได้

คอเลสเตอรอลที่สูงเกิน 200 ความสัมพันธ์ที่เริ่มมีรอยร้าว หนี้บัตรเครดิต เหล่านี้ล้วนเป็นมังกรวัยกระเตาะที่รอให้เราเข้าไปจัดการ

แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจหรือขาดความกล้า รีรอจนมังกรเหล่านี้โตเต็มวัยจนบินได้-พ่นไฟได้ วันหนึ่งเราอาจจะไขมันพอกตับ เราอาจมองหน้าไม่ติดกับคนที่สำคัญที่สุด หรือเราอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิตแพงกว่าเงินต้นเสียอีก

จงปราบมังกรตั้งแต่ตอนที่มันยังแบเบาะกันดีกว่าครับ

จะมีความสุขได้ ต้องมีความกล้าเสียก่อน

“The secret of happiness is freedom, and the secret of freedom is courage.”
-Thucydides

หลายคนถูกขังอยู่ในกรงที่เราลงกลอนไว้เอง

เมื่อเคยชินกับ comfort zone การออกไปข้างนอกกรงจึงดูอันตราย

เบื่องานที่ทำอยู่เต็มที แต่ไม่กล้าเปลี่ยนสายงาน

เบื่อคนที่คบอยู่เต็มที แต่ไม่กล้าบอกเขาตรงๆ

เบื่อตัวเองเต็มที แต่ไม่กล้าลุกขึ้นมาทำอะไร

เมื่อไม่มีความกล้า ก็เลยไร้ซึ่งทางเลือก เมื่อเลือกไม่ได้จึงต้องติดหล่มกับสิ่งที่ตัวเราในอดีตได้ทำเอาไว้

แต่หากเราเพิ่มความกล้าขึ้นอีกนิด เสี่ยงขึ้นอีกหน่อย บอกตัวเองว่าถ้าพลาดก็ไม่เป็นไร ยังไงเราคงเอาตัวรอดได้

เราก็จะได้พบหนทางใหม่ๆ ที่นำพาไปสู่วิถีชีวิตที่สอดคล้องกับความเชื่อและตัวตนของเรายิ่งขึ้น และช่วยให้เรามีโอกาสจะพึงพอใจกับชีวิตมากกว่าเดิม

จะมีความสุขได้ต้องมีความกล้าเสียก่อนครับ

คนที่ชอบบอกตัวเองว่าขอศึกษามากกว่านี้ก่อน

บางทีเขาอาจกำลังหลบซ่อนอยู่ก็ได้

กับหลายสิ่งหลายอย่าง เราสามารถลงมือทำและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ไม่จำเป็นต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วค่อยลงมือ

เพราะถึงศึกษามาดีแค่ไหน ยังไงโลกแห่งความจริงมันก็ไม่เหมือนในในตำราอยู่ดี

จริงๆ แล้วถ้าอยากศึกษาให้ถ่องแท้ วิธีที่ดีที่สุดคือลงมือทำ เพราะมันจะเข้าใจและขึ้นใจกว่าการอ่านในหนังสือหรือในเว็บบอร์ดมากมายนัก

“We often avoid taking action because we think “I need to learn more,” but the best way to learn is often by taking action.”
-James Clear

อยากเป็นบล็อกเกอร์ก็แค่ลงมือเขียนบทความลงในเฟซตัวเอง

อยากเป็นนักลงทุนก็แค่เปิดพอร์ตแล้วลองซื้อหุ้นที่เรารู้จัก

อยากทำธุรกิจก็แค่ลองเสนอสิ่งที่เราถนัดให้กับเพื่อนฟรีๆ และดูผลตอบรับ

แทบทุกอย่างเราสามารถลงมือทำโดยจำกัดความเสี่ยงได้ทั้งนั้น

อาจจะยังไม่สำเร็จในเชิงตัวเลข แต่ที่แน่ๆ เราได้ออกมาเผชิญกับความกลัวของตัวเอง

และผลตอบแทนคือคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นคำตอบที่เราอยากเห็นหรือไม่อยากเห็นก็ได้

แต่มันจะมีประโยชน์กว่าสิ่งที่เราเจอจากตำราแน่นอน

หัวใจเต้นแรงที่สุดก่อนลงมือทำ

เวลามี guest speaker มาพูดที่บริษัท แล้วเขาถามคนฟังว่าใครมีคำถามอะไรบ้าง เรามักจะมีคำถามแต่เราไม่กล้ายกมือทันที

ช่วงที่เรากำลังชั่งใจว่าจะยกมือถามหรือไม่ยกมือถามนั้น หัวใจเราจะเต้นแรงมาก คิดไปต่างๆ นาๆ คำถามของเรามันเข้าท่ารึเปล่า เราจะพูดจารู้เรื่องรึเปล่า ถามแล้วเราจะกลายเป็นตัวตลกรึเปล่า

แต่เมื่อเราตัดสินใจยกมือขึ้น หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นระหว่างที่รอไมค์ แต่พอได้ลุกขึ้นพูด หัวใจกลับค่อยๆ เต้นช้าลง


เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นดังๆ ถึงปล่อยให้คนเข้าคิวรอเป็นชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นเมืองไทยหรือเมืองนอก ทำไมเขาไม่ทำให้ process ได้เร็วกว่านี้

ผมเคยอ่านเจอว่า เพราะการเข้าคิว ก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์สำคัญสำหรับสวนสนุก

ระหว่างที่รอคิว เราก็จะเงยหน้าไปมองคนอื่นๆ ที่เขากำลังเล่นกัน ได้ยินเสียงกรีดร้องคลอไปกับเสียงของเครื่องเล่น คนรอคิวได้เห็นได้ยินแล้วก็ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ทั้งอยากเล่นไปพร้อมๆ กัน

เมื่อได้ขึ้นเครื่องเล่นจริง ได้กรี๊ดประมาณ 2 นาทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ประสบการณ์ที่เราตื่นเต้นระหว่างรอนั้นยาวนานกว่าประสบการณ์ตื่นเต้นตอนที่เราเล่นจริงเสียอีก


พี่ป๊อด โมเดิร์นด็อกเคยกล่าวไว้ในโฆษณาว่า ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง

สิ่งที่ทำให้เราหัวใจเต้นแรง คือความปรุงแต่งของเราที่คิดไปก่อนล่วงหน้า ทั้งก่อนที่จะยกมือถามคำถามและก่อนจะก้าวขึ้นรถไฟเหาะ

แต่เมื่อได้ทำจริงๆ แล้ว มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดหรอก

ลองนึกถึงประสบการณ์ adventure ที่ผ่านมาก็ได้ ว่าหัวใจเราเต้นแรงสุดตอนไหน

ไม่ใช่ตอนที่ทำกิจกรรมนั้น แต่เป็นตอนก่อนที่จะลงมือทำ ไม่ว่าจะลงสไลเดอร์ยักษ์ในสวนน้ำ กระโดดหอ หรือบันจี้จัมพ์

ดังนั้น อย่าไปกลัวสิ่งต่างๆ จนเกินไป

รู้ทันถึงความกลัวที่เราสร้างขึ้นมาเอง แล้วลองลุยดูสักตั้งครับ