องค์กรยุคนี้ควรมีผู้นำ On-Demand

ศัพท์คำหนึ่งที่เราเห็นบ่อยขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาคือคำว่า on-demand

On-demand printing คือธุรกิจที่รับผลิตสิ่งของตามจำนวนที่เราสั่งในเวลาอันรวดเร็วและในจำนวนที่พอดีกับความต้องการ ต้นทุนจึงไม่จม และเราไม่ต้องแบกสต๊อคเยอะ

On-demand transportation คือบริการเรียกรถเพื่อไปส่งเราให้ถึงที่หมาย

ส่วน On-demand delivery ก็อย่างเช่น food delivery ที่รับสั่งอาหารและส่งให้ถึงบ้าน

คำว่า on-demand คืออะไรที่ทันใจ ตอบโจทย์ และไม่ได้มีภาระผูกมัด

องค์กรยุคใหม่ก็ควรมี on-demand leadership เช่นกัน

องค์กรยุคเดิม จะมีลำดับขั้นและขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้มีมาเป็นร้อยปีแล้ว

แต่ในยุค New Normal ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไว มีโจทย์ใหม่ๆ ให้แก้ โดยที่เราไม่แน่ใจว่าโจทย์นี้ใครควรเป็นคนดูแล จนเกิดเป็น grey area และอาจกลายเป็นปัญหาคาราคาซัง

On-demand leadership จะเข้ามาเติมคำในช่องว่างได้

คนที่เป็น on-demand leader จะมองเห็นว่างานนี้ยังไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นจึงอาสาขึ้นมาเป็น project manager/project coordinator โดยที่ไม่มีใครแต่งตั้ง

เขาแต่งตั้งตัวเองเพราะสถานการณ์มันจำเป็น และเพราะทนไม่ได้ที่เห็นปัญหาอยู่ตรงหน้าโดยไม่มีใครทำอะไร

On-demand leader ก็เลยสวมบทบาทเป็น owner ของปัญหานี้ นัดคุยกับคนที่เกี่ยวข้อง สรุป actions ที่ชัดเจน และสร้างความคืบหน้าให้กับการหาทางออก

เมื่อถึงจุดที่การแก้ปัญหาเริ่มมีโมเมนตัม หรือผู้บริหารได้มอบหมายให้มีคนดูแลอย่างเป็นทางการ on-demand leader ก็จะลดบทบาทตัวเองลงมาเป็นทีมงานธรรมดาคนหนึ่งเหมือนเดิม

ผู้นำสมัยเก่า ต้องรอการแต่งตั้งจากเบื้องบน และแม้เมื่อผ่านพ้นก็ยังปล่อยวางบทบาทตัวเองไม่ได้

ผู้นำสมัยใหม่ ไม่ต้องรอให้ใครแต่งตั้ง และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็พร้อมจะเดินลงจากเวที

On-demand leadership จึงเป็นอะไรที่ทันใจ ตอบโจทย์ และไม่ได้มีภาระผูกมัด

ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยโจทย์ใหม่อันท้าทายและปัญหาที่ไม่มีใครเคยพบเจอ หากองค์กรใดมีพนักงานที่พร้อมจะเป็น on-demand leader ในจำนวนที่มากเพียงพอ ก็ย่อมจะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ดีกว่าองค์กรอื่นๆ ครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ Impact Players by Liz Wiseman

สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำให้ลูกได้

ตอนที่ฉันยังเด็ก โรงเรียนจะคืนสมุดพกมาให้เราทุก 6 สัปดาห์

พวกเราทั้งสี่คนจะเอาสมุดพกไปให้แม่ เพราะพ่อนั้นออกไปรีดนมวัวอยู่

สมุดพกของพี่น้องของฉันทั้งสามคนนั้นดูดีมาก มีแต่เกรด A เต็มไปหมด นานๆ จะมี B โผล่มาสักที แต่มีพี่สาวคนนึงที่ได้ A ทุกวิชาตลอดช่วงชีวิตการเป็นนักเรียน

สมัยนั้นพวกเราจะได้รายงานความประพฤติด้วย ซึ่งพี่น้องของฉันก็ได้รับแต่คำชมเต็มไปหมด

ส่วนสมุดพกของฉันนั้น แค่มี C ติดมาบ้างก็โชคดีมากแล้ว ส่วนเรื่องคะแนนความประพฤติยิ่งไม่ต้องพูดถึง

คุณคงสงสัยว่าพ่อแม่ฉันมีปฏิกิริยายังไง คำตอบก็คือท่านไม่พูดอะไรเลย ไม่มีการเปรียบเทียบอะไรทั้งสิ้น ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแกะดำเลย พอโตมาถึงได้เข้าใจว่าฉันโชคดีแค่ไหน

เกมมาพลิกตอนฉันขึ้นป.6 เพราะอยู่ๆ ฉันก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่คุณครูสอนขึ้นมา แม้เกรดในสมุดพกของฉันจะไม่ได้เริดหรูเท่าของคนอื่น แต่ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ฉันยังจำเหตุการณ์นั้นได้ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แม่เปิดดูสมุดพกทีละเล่ม แล้วแม่ก็ไม่พูดอะไรเช่นเดิม แต่พอแม่เปิดสมุดพกของฉัน ฉันเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก แต่แม่ก็ไม่พูดอะไรเลยเหมือนกัน ตอนที่พ่อกลับมาถึงบ้าน พ่อก็ทำสิ่งเดียวกับแม่ คือเปิดดูสมุดพกต่างๆ โดยไม่พูดอะไร แต่พอถึงสมุดพกของฉันพ่อก็ยิ้มน้อยๆ เช่นกัน

สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำให้ลูกได้ คือการไม่ตัดสินลูกจากผลการเรียน


ขอบคุณเนื้อหาจาก Quora: Kathy Pennell’s answer to What was the most life-changing realization of your childhood?

ความเจ็บปวดในวัยเด็กของ Will Smith

ธรรมดาผมจะไม่ค่อยเขียนเรื่องดารา
 
แต่วันนี้เห็นข่าว Will Smith ตบ Chris Rock บนเวทีออสการ์ หลังจากที่ Chris Rock พูดจาล้อเลียนภรรยาของเขาที่โกนหัว ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบทที่ 1 ของหนังสือ “Will” อัตชีวประวัติที่ Will Smith ร่วมกันเขียนกับ Mark Manson
 
ผมขอยกบางส่วนมาไว้ตรงนี้ครับ
 
—–
 
บทที่ 1 – ความหวาดกลัว
 
ผมมองตัวเองว่าเป็นคนขี้ขลาดมาโดยตลอด ความทรงจำวัยเด็กของผมเกือบทั้งหมดมักจะเป็นตอนที่ผมกลัว กลัวเด็กคนอื่น กลัวเจ็บ กลัวอับอาย กลัวถูกมองว่าอ่อนแอ
 
แต่ส่วนใหญ่ในความทรงจำนั้น คือผมกลัวพ่อผมเอง
 
ตอนที่ผมอายุ 9 ขวบ ผมยืนมองพ่อต่อยแม่อย่างแรงจนแม่ล้มลงไปกองกับพื้น และแม่ถ่มน้ำลายออกมาเป็นเลือด
 
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องนอนคืนนั้น คือห้วงขณะที่หล่อหลอมตัวตนของผมมากกว่าห้วงขณะใดในชีวิต
 
ทุกอย่างที่ผมทำนับตั้งแต่วันนั้น ทั้งรางวัลและเกียรติยศ สปอตไลท์และความสนอกสนใจ บทบาทการแสดงและเสียงหัวเราะ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคำขอโทษทางอ้อมที่ผมมีให้แม่ที่คืนนั้นผมไม่ได้ทำอะไรเลย ที่ผมทำให้แม่ผิดหวัง ที่ผมไม่กล้าประจันหน้ากับพ่อ
 
ที่ผมขี้ขลาด
 
คนที่คุณได้รู้จักในนามของ Will Smith ผู้กำราบมนุษย์ต่างดาว ดาราหนังอันน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นแค่เพียงสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างระมัดระวังเพื่อปกป้องตัวผมเอง เพื่อซ่อนตัวผมจากโลกภายนอก เพื่อซ่อนไอ้ขี้ขลาดคนนี้
 
—–
 
ผมมีชื่อเต็มๆ ว่า Willard Carroll Smith II
 
พ่อก็ชื่อ Willard เหมือนกัน
 
พ่อเกิดในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) และเคยรับราชการทหาร ดังนั้นเขาจึงมองทุกอย่างเป็น mission และเข้มงวดกับทุกคนในครอบครัว
 
ครั้งหนึ่งพ่อเคยใช้ผมไปซื้อบุหรี่ แต่ขากลับผมเจอเพื่อนที่มีของเล่นใหม่ เลยแวะคุยอยู่นานจนพ่อมาตาม
 
“แกทำอะไรอยู่เนี่ย? ฉันบอกให้แกมาทำอะไร?”
 
“ผมรู้ครับพ่อ แต่ผม-“
 
“บ้านเราใครคุม?”  (Who’s in charge?)
 
“พ่อหมายความว่าไงครับ”
 
“บ้านเราใครคุม ฉันหรือแก?”
 
“…พ่อเป็นคนคุมครับ”
 
“ถ้ามีผู้คุมสองคน ทุกคนจะตายกันหมด!! ถ้าแกจะเป็นคนคุมก็บอกฉันด้วย ฉันจะได้ให้แกเป็นหัวหน้า”
 
แล้วพ่อก็พูดต่อ
 
“เวลาฉันส่งแกมาทำภารกิจ มันมีทางออกได้แค่สองทาง หนึ่งคือแกทำภารกิจเสร็จสมบูรณ์ หรือสองก็คือแกตาย แกเข้าใจฉันมั้ย?”
 
“เข้าใจครับพ่อ”
 
แล้วพ่อก็ลากคอผมกลับบ้าน

—–
 
แม้ทุกคนในครอบครัวต้องเจ็บปวดกับความรุนแรงของพ่อ แต่แม่นั้นต้องรับมือกับพ่อมากกว่าใครทั้งหมด ถ้ามีสองคนเป็นผู้คุม ทุกคนจะตาย ดังนั้นแม่จึงไม่สามารถคุมอะไรในบ้านได้เลย
 
แต่แม่ของผมไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาสั่งได้ง่ายๆ แม่มีการศึกษาและหัวรั้น มีครั้งหนึ่งที่พ่อตบแม่ แล้วแม่ก็พูดกับพ่อว่า
 
“โอ้ พ่อชายชาตรี คิดว่าตบผู้หญิงแล้วจะทำให้เธอเป็นลูกผู้ชายหรือไง?”
 
แล้วพ่อก็ตบแม่อีกครั้งจนแม่ล้มลงไปกอง
 
แม่ลุกขึ้นมาสบตากับพ่อและพูดอย่างสงบว่า
 
“เธอจะตบจะตีฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าคิดว่าจะทำให้ฉันเจ็บได้นะ” (“Hit me all you want, but you can never hurt me.”)
 
—–
 
พี่น้องทุกคนต่างจำคืนที่พ่อต่อยแม่ในห้องนอนได้ และแต่ละคนก็มีปฏิกิริยาแตกต่างออกไป
 
แฮร์รี่ ซึ่งแม้ตอนนั้นจะอายุแค่ 6 ขวบ แต่เขาก็พยายามจะเข้ามาขวางและปกป้องแม่ เขาจะทำอย่างนี้อีกหลายครั้งตลอดหลายปี ซึ่งบางครั้งเขาก็ทำสำเร็จ แต่สำหรับคืนนั้น แค่พ่อผลักแฮร์รี่ก็กระเด็นแล้ว
 
แฮร์รี่ได้เรียนรู้บทเรียนที่แม่ค้นพบเกี่ยวกับความเจ็บปวด เขาเจอสิ่งหนึ่งในตัวเขาที่ไม่อาจมีใครแตะต้องได้ นั่นก็คือต่อให้คุณจะตบจะตีเขาเท่าไหร่ คุณก็ไม่มีทางทำให้เขาเจ็บได้
 
แฮร์รี่เคยตะโกนใส่พ่อว่า “ถ้าอยากให้ผมหยุด พ่อต้องข้ามศพผมไปก่อน”
 
ในคืนเดียวกันนั้น เอลเลนพี่สาวของผมวิ่งไปซ่อนอยู่บนเตียง นอนตัวขด เอานิ้วอุดหูและร้องไห้ เธอจำได้ว่าคืนนั้นพ่อเดินผ่านมาที่ห้องนอนของเธอ พอได้ยินเสียงร้อง พ่อก็ถามว่า “จะร้องหาพระแสงอะไร”
 
หลังจากนั้นเอลเลนก็ตีตัวออกห่างจากทุกคน พอเริ่มโต เธอจะออกตระเวนราตรี กินเหล้าและสูบบุหรี่และไม่เคยโทรบอกใครว่าเธออยู่ที่ไหน
 
ส่วนผม หลังจากคืนนั้น ผมก็กลายเป็นคนชอบเอาอกเอาใจ เพราะผมเชื่อว่าถ้าทำให้พ่อหัวเราะและยิ้มได้ พวกเราทุกคนจะปลอดภัย เด็กชาย 9 ขวบในตัวผมตีความว่าความรุนแรงของพ่อนั้นเป็นความผิดของผมเอง
 
และไอ้ความต้องการอย่างยิ่งยวดที่จะเอาใจคนอื่น ทำให้คนอื่นหัวเราะ และดึงความสนใจออกห่างจากสิ่งที่อัปลักษณ์ และมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่สวยงาม นั่นแหละคือจุดกำเนิดของ entertainer ในตัวผม
 
แต่ในคืนวันนั้น ในห้องนอนห้องนั้น ที่ผมยืนตรงทางเดินแล้วเห็นกำปั้นของพ่อกระแทกกับใบหน้าของผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก ผมเห็นแม่ล้มลงไปกองกับพื้นและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมได้แค่ยืนตัวแข็งทื่อ
 
ผมเป็นคนขี้กลัวมาตลอด แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตระหนักถึงการไม่ทำอะไรเลยของตัวเอง ผมเป็นลูกชายคนโต ผมยืนห่างจากตรงนั้นไม่ถึง 10 เมตร ผมเป็นเพียงคนเดียวที่จะช่วยแม่ได้
 
แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
 
นั่นคือจุดที่อัตลักษณ์นั้นฝังแน่นอยู่ในใจ เข้าไปในชั้นล่างสุดของตัวตน เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจสลัดทิ้ง
 
ไม่ว่าผมจะทำอะไร ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ไม่ว่าจะมีเงินเยอะเท่าไหร่ มีเพลงฮิตติดชาร์ตกี่เพลง หรือทำลายสถิติไปแล้วกี่ครั้ง มันก็ยังมีความรู้สึกอันเงียบงันที่สั่นไหวอยู่ลึกๆ ในใจผม ว่าผมมันเป็นไอ้ขี้ขลาด ผมมันล้มเหลว
 
ผมขอโทษ – แม่ครับ ผมขอโทษ
 
“รู้มั้ยว่าเวลามีคนคุมสองคนจะเกิดอะไรขึ้น? เวลามีคนคุมสองคน ทุกคนจะตายกันหมด!”
 
ค่ำคืนนั้น ในห้องนอนห้องนั้น ในวัยเพียง 9 ขวบ ผมเฝ้ามองแม่ล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับครอบครัวที่พังทลายลง
 
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ผมได้ตัดสินใจ และผมได้ให้คำมั่นสัญญาอันเงียบงันกับแม่ กับคนในครอบครัว และกับตัวผมเอง
 
ซักวันหนึ่ง ผมจะเป็นคนคุมเกม (One day, I would be in charge.)
 
และผมจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด (And this would never, ever happen again.)
 

ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ Will by Will Smith and Mark Manson

แด่คนดีที่ชอบตัดสิน

เมื่อวันเสาร์ผมได้ไปเดินงานสัปดาห์หนังสือที่สถานีกลางบางซื่อมาครับ

บู๊ธที่ได้หนังสือเยอะที่สุดคือบู๊ธ A58 ของสำนักพิมพ์เป็ดเต่าควาย / PTK Studio

จริงๆ ผมไม่รู้จักชื่อสำนักพิมพ์นี้ เดินผ่านโดยบังเอิญและเห็นว่าน่าสนใจเพราะมีหนังสือการ์ตูนหมีแพนด้าเต็มไปหมด พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงเห็นปกหนังสือที่คุ้นตา เป็นรูปปลาวาฬสีขาวบนแบ็คกราวด์สีน้ำเงิน หนังสือชื่อ “ยอดมนุษย์ดาวเศร้า” เขียนโดย องอาจ ชัยชาญชีพ

ชื่อคุ้นมาก…พอไล่ดูปกหนังสือถึงเห็นว่าเป็นคนเดียวกับที่เขียนเรื่อง “หมูบินได้” หนังสือเล่มโปรดที่ผมเคยอ่านเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วและซื้อเป็นของขวัญให้คนอื่นหลายเล่ม

ผมอ่านยอดมนุษย์ดาวเศร้าจบตั้งแต่อยู่ในงาน แม้จะเป็นการ์ตูน แต่ก็หนาเกือบสี่ร้อยหน้า และมีข้อความชวนให้คิดเยอะมาก

หนึ่งในตอนที่ผมประทับใจเป็นพิเศษคือบทสนทนาระหว่าง “น้ำ” เด็กผู้หญิงเจ้าชู้ กับ “ป้อม” เจ้าของสำนักพิมพ์เซอร์ๆ ที่ครองความโสดมาโดยตลอด

น้ำ: พี่ว่าหรูแรดปะวะ? โอ๊ย…ไม่รู้จะถามทำไม…หนูแม่งแรดอยู่แล้วเห็นๆ…แย่ว่ะ ใครที่รู้เรื่องหนูก็คงบอกว่าหนูแม่งโคตรชั่วแน่ๆ

ป้อม: คนเรามันก็ตัดสินคนอื่นจากมุมมองของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ อะไรที่มันต่างจากขอบเขตศีลธรรมของตัวเอง เค้าก็ตัดสินว่าชั่วทั้งนั้นแหละ

น้ำ: แล้วมุมมองของพี่ล่ะ?

ป้อม: …เฮ้อ…แกก็รู้…คนอย่างพวกเราจะไปตัดสินใครได้วะ…นั่นอาจจะเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของคนชั่วๆ อย่างพวกเรามั้ง

น้ำ: แล้วทำไมคนอื่นเค้าถึงกล้าตัดสินคนกันวะพี่ ทั่งที่ไม่รู้ว่าชีวิตคนนั้นต้องเผชิญอะไรมาบ้าง

ป้อม: คนพวกนั้นมันอยู่คนละจักรวาลกับพวกเรา ฉันถึงกลัวพวกที่คิดว่าตัวเองมีศีลธรรมสูงกว่าใครไง ถ้าใช้มาตรฐานศีลธรรมตัวเองมาตัดสินคนอื่นมันก็จอมปลอมทั้งนั้นแหละ…คนมีศีลธรรมจริงๆ แม่งจะไม่ตัดสินใครง่ายๆ หรอก…เพราะเขาต้องหมั่นตรวจสอบศีลธรรมของตัวเองก่อน โดยเฉพาะในเวลาที่เขาคิดจะตัดสินคนอื่น…

น้ำ: แรงนะพี่ ถ้าออกสื่อพี่โดนถล่มแน่

ป้อม: ใครจะไปพูดวะ ก็อยู่ให้เป็นสิ อีกอย่างไอ้พวกออกตัวว่ามีศีลธรรมสูงเพราะไม่ได้ทำอะไรที่มันขัดต่อศีลธรรมตัวเองน่ะ…เค้านึกว่าตัวเองมีความอดกลั้น มีความละอายไง แต่จริงๆ หลายคนแม่งก็แค่ไม่มีโอาส ถ้ามีโอกาสนะแกเอ๋ย…คนพวกนี้แม่ง…บรื๋อ ขนลุก


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ ยอดมนุษย์ดาวเศร้า โดย องอาจ ชัยชาญชีพ สำนักพิมพ์เป็ดเต่าควาย

กฎ 48 ข้อจากภูมิปัญญา 2,000 ปี

Ryan Holiday เป็นผู้เขียนหนังสือ bestsellers หลายเล่ม อาทิเช่น The Obstacle is the Way และ Ego is the Enemy และยังเป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิของ Robert Greene ผู้เขียนหนังสือสุดคลาสสิคอย่าง 48 Laws of Power อีกด้วย

Holiday เคยเขียนบทความชื่อ “50 Very Short Rules for a Good Life From the Stoics – The best pieces of wisdom gathered from a body of work that spans 2,000 years.

ผมเห็นว่ากระชับและมีประโยชน์ เลยขอนำมาแปลไว้ตรงนี้นะครับ

  1. โฟกัสในเรื่องที่เราควบคุมได้
  2. เราควบคุมได้ว่าเราจะตอบสนองสิ่งต่างๆ อย่างไร
  3. ถามตัวเองว่า “เรื่องนี้จำเป็นรึเปล่า?”
  4. คิดถึงความตายของตัวเองทุกวัน
  5. ให้คุณค่ากับเวลามากกว่าเงินตราหรือสิ่งของ
  6. เราคือผลผลิตของอุปนิสัย
  7. จำไว้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่มีความเห็น
  8. เอาช่วงเช้าให้อยู่หมัด
  9. ตรวจสอบตัวเอง สอบสวนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
  10. อย่าทุกข์ใจไปกับปัญหาที่มโนขึ้นมาเอง
  11. พยายามมองให้เห็นแง่ดีในผู้คน
  12. อย่าให้ใครได้ยินว่าเราบ่น รวมถึงตัวเราเองด้วย
  13. มันมีเหตุผลแหละที่เรามีสองหู-หนึ่งปาก
  14. ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายว่าคนดีเป็นอย่างไร ทำให้ดูเป็นตัวอย่างไปเลย
  15. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร
  16. ใช้ชีวิตราวกับว่าเราได้ตายไปแล้วและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ (ทุกนาทีคือโบนัส)
  17. การแก้แค้นที่ดีที่สุดคืออย่าเป็นเช่นนั้นเสียเอง -มาร์คัส ออเรลิอุส
  18. เข้มงวดกับตัวเอง อดทนกับผู้อื่น
  19. ตรวจสอบความรู้สึกให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไปเพราะความรู้สึกนั้น
  20. เรียนรู้อะไรบางอย่างจากทุกคน
  21. โฟกัสกับกระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์
  22. นิยามให้ชัดว่าสำหรับเราแล้วความสำเร็จคืออะไร
  23. อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วก็หาทางชอบมันเสีย
  24. แสวงหาความท้าทาย
  25. อย่าเฮโลตามฝูงชน
  26. ทุกคนที่เราพบคือโอกาสในการแสดงน้ำใจ
  27. ปฏิเสธให้บ่อย
  28. อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ
  29. หาอะไรที่ทำให้เราฉลาดขึ้นทุกวัน
  30. อะไรที่แย่ต่อรังผึ้งย่อมแย่ต่อตัวผึ้ง
  31. ไม่ตัดสินคนอื่น
  32. ศึกษาชีวิตของคนที่ยิ่งใหญ่
  33. ให้อภัย ให้อภัย ให้อภัย
  34. สร้างความก้าวหน้าเล็กๆ น้อยๆ ในทุกวัน
  35. จดบันทึก
  36. เตรียมใจว่ายังไงชีวิตก็ต้องเจอเรื่องผิดหวัง
  37. มองหาบทกวีในเรื่องธรรมดา
  38. ทำผิดกับใครก็ย่อมเท่ากับทำผิดกับตัวเอง
  39. จงเลือก “เวลาที่มีชีวิต”
  40. เกี่ยวดองแต่กับคนที่ทำให้เราดีขึ้น
  41. ถ้าใครทำให้เราโกรธ ให้รู้ตัวว่าเราเองก็มีส่วน
  42. จงอย่าลืมว่าโชคชะตานั้นเอาแต่ใจ
  43. อย่าทำให้ปัญหาแย่ลงด้วยการบ่น
  44. รับมือกับความสำเร็จโดยปราศจากความโอหัง รับมือกับความล้มเหลวด้วยใจเป็นกลาง
  45. กล้าหาญ ชั่งใจ ยุติธรรม ใช้ปัญญา
  46. อุปสรรคคือมรรคา
  47. อัตตาคือศัตรู
  48. ความนิ่งคือกุญแจ

ขอบคุณบทความจาก Ryan Holiday: 50 Very Short Rules for a Good Life From the Stoics – The best pieces of wisdom gathered from a body of work that spans 2,000 years

มีกฎ 2 ข้อที่ผมละไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะแปลได้ถูกต้องหรือไม่ครับ

  • Grab the “smooth handle.”
  • Possessions are yours only in trust.