พรจากฟ้า (ดูแล้วคิดถึงคนบนฟ้า)

20160512_blessing

วันพ่อที่ผ่านมา ผมได้ไปดูหนังกับที่บ้านกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาครับ

ถือเป็นหนังเรื่องที่สองที่ได้ดูในรอบปี เพราะตั้งแต่มีลูกก็เพิ่งจะมีช่วงนี้แหละที่แฟนยอมออกจากบ้านมานานพอที่จะดูหนังได้

แม่ผมอยากดูพรจากฟ้ามาก อาจเป็นเพราะได้รับข้อความจากทางไลน์ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนไปดูกัน ซึ่งผมก็แปลกใจเล็กน้อยเพราะตอนที่เปิดตัวใหม่ๆ ก็เห็นว่ามีกระแสอยู่พอสมควร แถมหนังเรื่องนี้ยังมีคู่พระคู่นางถึงสามคู่ น่าจะดึงให้คนไปดูได้ไม่ยาก

หนังเรื่องพรจากฟ้าประกอบด้วยสามเรื่องย่อย

เรื่องแรกเกี่ยวกับหนุ่มสาวที่ได้รู้จักกันในงานเลี้ยงนักเรียนทุนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ (มีนาย นภัทร-วี วิโอเล็ตเป็นพระเอก/นางเอก)

เรื่องที่สองเป็นเรื่องราวของลูกสาวที่ต้องมาดูแลพ่อที่เป็นอัลไซเมอร์ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์-มิว นิษฐา)

และเรื่องสุดท้ายพูดถึงพนักงานออฟฟิศที่คิดตั้งชมรมดนตรีที่บริษัท (เต๋อ ฉันทวิชช์-หนูนา หนึ่งธิดา)

โดยตัวละครของทั้งสามเรื่องมีความเชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ

แต่ละเรื่องนั้นกำกับด้วยผู้กำกับคนละคน อารมณ์ความรู้สึกจึงแตกต่างกันอย่างชัดเจน เรื่องแรกหวาน เรื่องที่สองซึ้ง เรื่องสุดท้ายเน้นเฮฮา

หลังจากดูหนังจบแล้ว พวกเราก็ไปนั่งทานข้าวเที่ยงกัน และสิ่งเหล่านี้คือประเด็นที่อยู่ในบทสนทนาบนโต๊ะทานข้าว

1. ไดอะล็อกหรือบทสนทนาของหนังเรื่องแรกเขียนได้ฉลาด เป็นธรรมชาติ ทำให้น้องนายที่หน้าตาดีอยู่แล้วยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ผมเป็นผู้ชายยังเขินแทนนางเอกเลย

2. เพลงยามเย็นที่นำมาเรียบเรียงให้ร้องเป็นเสียงประสานแบบ  A Cappella และทำท่าเต้นแบบ Body Percussion นั้นทำออกมาได้เจ๋งมาก เล่นเอาผมฮัมเพลงนี้ไปตลอดวัน กลับมาถึงบ้านก็ต้องมาเปิดดูเนื้อร้องเพื่อซึมซับเนื้อหาที่ลึกซึ้งและภาษาที่สละสลวยเหลือเกิน

3. มิวที่ต้องเล่นเป็นลูกสาวดูแลคุณพ่อแสดงได้ดีมาก ส่วนตัวผมชอบฉากที่พ่อกำลังจะขับรถออกจากบ้านไปหาแม่ แต่มิวมาหยุดเอาไว้และพยายามอธิบายให้พ่อฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

4. เราคุยกันว่าถ้าใครในบ้านเป็นอัลไซเมอร์นี่คงลำบากน่าดู น้องชายบอกว่าไม่ใช่แค่ลำบากอย่างเดียว แต่ยังอันตรายด้วย (อันตรายยังไงต้องไปดูในหนัง) ผมบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นี่อาจจะป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้ด้วยการนอนให้เพียงพอ เพราะเวลาเรานอนเซลล์ประสาทจะหดตัว และเปิดทางให้ของเหลวที่ไหลมาจากกระดูกสันหลังได้เข้ามาชะล้างโปรตีนที่มักจะมาเกาะตัวกับเซลล์และก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์

5. เรื่องที่สามที่แสดงโดยเต๋อและหนูนานั้น พวกเราเด็กๆ เห็นตรงกันว่ามันล้นไปนิด แต่ผมเชื่อว่านี่น่าจะเป็นการทดลองอะไรบางอย่างของผู้กำกับ (พี่เก้ง จิระ มะลิกุล) ซึ่งก็ต้องขอแสดงความชื่นชมในความกล้าและขอเอาใจช่วยให้ค้นพบจุดที่ลงตัวนะครับ

6. เพลงพรปีใหม่ทำออกมาได้มีสีสันและอลังการมาก แฟนบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นคนแต่งเพลงนี้ (ผมเองก็เพิ่งมารู้เมื่อซักสี่ห้าปีที่แล้วนี่เอง)

7. นางเอกทั้งสามคนหน้าสดเกือบตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ดูแปลกตาและน่ารักไปอีกแบบ

8. ตอนที่ดูหนังในโรง แฟนผมสะกิดให้หันไปดูแม่ ที่นั่งตัวตรงหลังไม่ได้พิงเบาะ ราวกับเด็กนักเรียนที่ตั้งใจแบบสุดๆ ออกจากโรงมาแม่ก็บอกว่าจะไปดูอีกรอบ และบอกผมว่าช่วยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ให้หน่อย คนอื่นๆ จะได้มาดูบ้าง

9. ในหนังมีหลายวาระที่ทำให้น้ำตารินได้ ทั้งด้วยตัวบทหนังเอง เพลงที่ไพเราะจับใจ และความจริงที่ว่าคนที่แต่งเพลงเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว

หนังเรื่องพรจากฟ้า เป็นหนังที่ดูแลมีอะไรให้กลับมาคิดต่อเพลินๆ ได้มากมาย อยากให้ผู้อ่านได้ไปดูกันครับ ผมเชื่อว่า คุณจะได้รับพลังงานบางอย่างที่คีตราชันได้ประทานไว้ให้เป็นของขวัญสำหรับพวกเราชาวไทยทุกคน และเตือนให้พวกเราได้ตระหนักว่า ท่านไม่ได้จากเราไปไหนเลย 


facebook.com/anontawongblog
anontawong.com/archives
Download eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Youtube: พรจากฟ้า

อย่าร้องไห้เพราะมันจบลงแล้ว

20161016_dontcry

จงยิ้มเพราะมันได้เกิดขึ้นดีกว่า

Don’t cry because it’s over.
Smile because it happened.
-Unknown

วันนี้เป็นวันแรกในรอบสี่วันที่ผมไม่เสียน้ำตา

หนึ่ง เพราะตั้งใจเล่นเฟซบุ๊คให้น้อยลง

สอง เพราะออกไปข้างนอกมากขึ้น ทั้งไปจ่ายตลาดให้เจ้าตัวเล็ก และไปกินข้าวกับครอบครัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา

สาม เพราะพระองค์ท่านคงไม่โปรดให้พสกนิกรของพระองค์หม่นหมองจนไม่เป็นอันทำอะไร

Don’t cry because it’s over.
Smile because it happened.

เมื่อเศร้าจนพอแล้ว ก็ขอให้ยิ้มออกมาเถิด

ยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเอง ที่ได้เคยอยู่ภายใต้ร่มเงาของมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐถึงเพียงนี้

พรุ่งนี้วันจันทร์แล้ว ออกไปทำหน้าที่ของเราให้ถึงพร้อม เหมือนที่พ่อหลวงเคยทำให้ดูเป็นแบบอย่างกันนะครับ


ป.ล. นับจากวันเกิดเหตุ ผมเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปสามตอนคือ นิทานปาฏิหาริย์   9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา และ อย่าร้องไห้เพราะมันจบลงแล้ว  จากพรุ่งนี้ไป Anontawong’s Musings จะขอกลับเข้าสู่โหมดเดิมนะครับ อย่าให้เศร้าไปกว่านี้เลย

facebook.com/anontawongblog

anontawong.com/archives

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

9 บทเรียนจากสามวันที่ผ่านมา

20161015_9lessons

ยอมรับว่าชั่งใจอยู่นานครับว่าวันนี้จะเขียนบทความดีหรือไม่

เพราะใจมันหนักจนไม่อยากเขียนอะไรมาตั้งแต่ค่ำวันพฤหัสบดีแล้ว

แต่ตกเย็นใจเริ่มกลับมามีแรง และนึกขึ้นได้ถึงเรื่องพระมหาชนกที่ยังคงว่ายน้ำแม้มองไม่เห็นฝั่ง

จึงขอสรุป 9 บทเรียนที่ได้รับจากสามวันที่ผ่านมาครับ

1. ปัญหาของเรามันจิ๊บจ๊อย
เราทุกคนต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ทำงานหรือปัญหาที่บ้าน แล้วเราก็จะบ่นกับคนโน้นคนนี้ว่าทำไมชีวิตมันถึงยากเย็นนัก

แต่เมื่อมองไปที่พระองค์ท่าน ปัญหาของเราจะกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปทันที

เพราะไม่ว่าเราจะเจอปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องของคนไม่กี่คน อีกปีสองปีต่อจากนี้มันแทบจะไม่มีผลอะไรกับชีวิตเราด้วยซ้ำ ขณะที่ปัญหาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องประสบมาตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์นั้นเป็นเรื่องของประเทศชาติและความเป็นอยู่ของพสกนิกรหลายสิบล้านคน

2. สิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านเหนือกว่าคนอื่น
ด้วยความที่เราเทิดทูนพระองค์ท่านมาทั้งชีวิต เราอาจจะลืมไปว่า จริงๆ แล้วพระองค์ท่านก็มีร่างกายเหมือนกับเรา มีเรี่ยวแรงพอๆ กับเรา มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากับเรา

ถึงเราจะแซ่ซ้องว่าพระองค์ท่านมีอัจฉริยภาพในหลายด้าน แต่ผมเชื่อว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านแตกต่างจากคนทั่วไป คือความวิริยะอุตสาหะ

เพราะอะไรพระองค์ท่านถึงทรงงานดึกๆ ดื่นๆ ไม่มีวันหยุดราชการ ยอมเดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร และทำทุกอย่างเพื่อพสกนิกรของพระองค์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย?

3. เหตุผลของการดำรงอยู่
วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

เหตุผลของพระองค์ท่าน คือการสร้างประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม

เมื่อเหตุผลแข็งแรง บวกกับความวิริยะอุตสาหะเหนือคนธรรมดา ผลลัพธ์จึงน่าอัศจรรย์ใจ

แล้วเหตุผลของเราล่ะ คืออะไร?

4. ความลับของการเป็นที่รัก
เราต่างก็อยากเป็นที่รักของคนอื่นกันทั้งนั้น

และเหตุการณ์นี้ได้เตือนใจผมอีกครั้งว่า การที่คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักและเคารพ ไม่ใช่เพราะหน้าตา ฐานะ หรือฐานันดร

แต่คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักเพราะเขาได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นต่างหาก

5. ถ้าจะขอเป็นเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ก็ต้องทำตัวให้ดีเสียแต่ชาตินี้
เห็นมีคนขึ้นสเตตัสและรูปโปรไฟล์ว่าจะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

แต่ของอย่างนี้ ใช่ว่าโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊คแล้วจะได้ดั่งใจเสียหน่อย

ถ้าเราปรารถนาอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องกลับมาสำรวจตัวเองแล้วว่า วิถีชีวิตของเราในวันนี้มันเอื้อให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิเดียวกับพระองค์ท่านในภายภาคหน้ารึเปล่า

ถ้ายังไม่เอื้อ ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว

6. เรื่องบางเรื่องเอาไว้ทีหลังไม่ได้
น้องคนหนึ่งโพสต์สเตตัสนี้ไว้ในเฟซบุ๊ค

“ทั้งที่ชีวิตนี้โชคดีที่เกิดมาในรัชกาลที่ 9 แต่กลับไม่เคยได้เห็นในหลวงด้วยตาตัวเองหรือพยายามที่จะพาตัวเองไปในจุดที่มีโอกาสจะได้เห็นพระองค์ท่านเหมือนกับหลายๆ คน #เป็นความผิดพลาดที่ไม่มีทางแก้ไขได้อีก #เป็นบทเรียนอันล้ำค่า #เป็นความผิดพลาดที่ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก”

ส่วนน้องอีกคนหนึ่งก็โพสต์ว่า

“เสียใจที่สุดคือ มีโอกาสที่จะพาพ่อไปลงนามถวายพระพรท่านที่ศิริราชหลายครั้ง ทุกครั้งพ่อบอกพาไปหน่อย อยู่ตรงไหน พ่ออยากไป แต่เราเลือกที่จะไม่ไป แล้วบอกพ่อว่า เดือนหน้าก็มา เดี๋ยวค่อยไป

เจ็บใจตัวเอง ที่ครั้งเดียวในชีวิตพ่อเราทำให้เค้าไม่ได้
ไปศิริราชเดือนหน้าก็ไม่มีท่านแล้ว เจ็บใจจริงๆ
ทำไม แค่นิดเดียวถึงเลือกที่จะไม่ไป”

ผมเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน

เป็นสิบปีมาแล้ว ที่ดูทีวีเห็นเขาจุดเทียนถวายพระพรที่สนามหลวง และมีความคิดว่าอยากจะไปยืนอยู่ตรงนั้นบ้างไม่ปีใดก็ปีหนึ่ง

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไป สุดท้ายก็สูญเสียโอกาสนี้ไปตลอดกาล

เรื่องบางเรื่องมัน “เอาไว้ก่อน” ไม่ได้จริงๆ

7. ถึงเวลาต้องโตได้แล้ว
จะว่าไปเราคนไทยก็เหมือนลูกแหง่

เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่เราคิดว่าเริ่มยากเกินแก้ไข เราจะมองหา “พ่อ” ให้เข้ามาช่วยเสมอ

เพราะเราเชื่อว่าพ่อของเราแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เหมือนกับที่ท่านเคยแก้วิกฤติให้บ้านเมืองมาแล้วหลายครั้ง

ตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว จากนี้ไปเราต้องหัดพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น เข้มแข็งให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาให้มากขึ้น

เพื่อจะได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง

เพื่อพ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

8. อย่าให้เหตุการณ์นี้สูญเปล่า
สามวันที่ผ่านมา เราคนไทยอยู่ในหัวอกเดียวกัน ได้แสดงความมีน้ำใจต่อกัน ได้มีเวลากลับไปอ่าน-ไปซึมซับเรื่องราวของพระองค์ท่าน

แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ว่า อีกสามเดือนหรือหกเดือน ผมจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไป และกลับไปใช้ชีวิตด้วยทัศนคติแบบเดียวกับตอนก่อนเกิดเหตุ

ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์นี้จะทำให้ผมได้ทบทวนและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม เข้าใจโลกกว่าเดิม และใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ท่านได้เป็นแบบอย่างให้เรามาตลอดหลายสิบปี

9. ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
เย็นวันนี้ แดดร่มลมตก ผมกับแฟนจึงพาลูกนั่งรถเข็นไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน

เดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ได้ยินนกหลายตัวกำลังส่งเสียงจอแจอยู่ในพุ่มไม้

พอเงยหน้า ก็มองเห็นท้องฟ้าสีครามตัดกับแสงสีทองของพระอาทิตย์

ในวันที่คนไทยทั้งชาติกำลังโศกเศร้ากับการสูญเสีย พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง และนกยังคงร้องเพลง

ราวจะบอกกับเราว่า ถ้าอยากร้องไห้ก็จงร้องไปเถอะ แต่เมื่อร้องจนหนำใจแล้ว ก็จงเช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของเราต่อไป

มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่เพื่อนผมได้แชร์เอาไว้ตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ

“อานนท์ ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก
พุทธะ อยู่ในทุกหนแห่ง
ในใบไม้ ในแม่น้ำ หรือว่าในแสงแดด

ลมที่สัมผัสตัวเจ้าก็คือพรจากเราอานนท์
เรายังอยู่ในดินทรายนี่ด้วยนะ

อานนท์ เราอยู่ในใจเจ้า เราอยู่ในตัวเจ้า
นอกกายเจ้า เราปกคลุมเจ้าจากทุกหนแห่ง”

พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก

ใช่แล้ว พระองค์ท่านไม่เคยจากเราไปไหน และจะไม่จากเราไปไหน

ตราบใดที่คนไทยไม่ทิ้งพระองค์ออกจากใจ บารมีและคุณงามความดีของพระองค์จะอยู่ดูแลแผ่นดินนี้ไปอีกนานแสนนาน

—–

facebook.com/anontawongblog

anontawong.com/archives

นิทานปาฏิหาริย์

20161014_miracle

 

 

 

 

 

 

 

 

Unforgettable conversation

ตอนทานข้าวเย็นวันนี้ ได้อ่านนิตยสารเก่าฉบับหนึ่ง เป็นของเดือนกรกฎาคม 2553 ที่เจ้าของร้านเอามาให้อ่านช่วงรออาหาร หน้าปกเป็นรูปในหลวงครับ และในนั้นก็มีบทความสั้นๆ ที่เขียนถึงในหลวงจากหลายคนเลยทีเดียว ทั้งท่านมุ้ย อ.เฉลิมชัย เสธ.ไก่อู หรือแม้กระทั่งโดม ปกรณ์ ลัม  ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณเกือบสองปีที่แล้ว

เมื่อเดือนตุลาคมปี 2553 ขณะที่ผมเดินทางไปหัวหินเพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงให้กับทางบริษัท ผมมีโอกาสได้คุยกับช่างภาพคนหนึ่งที่มารับจ๊อบถ่ายรูปในงานเลี้ยงนี้

เค้าชื่อดาริโอ้ครับ

ดาริโอ้เป็นชาวอิตาเลียน เป็นตากล้องอิสระ อายุน่าจะสามสิบปลายๆ ช่างพูดช่างคุย และอยู่เมืองไทยมาซักสองสามปีแล้ว

เราคุยกันอย่างออกรสชาติทั้งเรื่องฟุตบอลโลกที่เพิ่งจบไปหมาดๆ และคุยย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ราชประสงค์  ดาริโอ้เล่าว่าเขาก็ได้ไปถ่ายภาพเหตุการณ์ในช่วงเดือนเมษายนนั้นด้วย

“นี่ไงแผลที่โดนยิง”  ดาริโอ้ถลกขากางเกงให้ดู รอยแผลเหมือนคนที่ผ่าตัดขาทั่วๆ ไป ที่จะมีรอยกรีดยาวตรงหน้าแข้ง ต่างกันตรงที่ ระหว่างเส้นกรีดยาวราวสิบเซ็นนั้น ตรงกลางมีแผลเป็นทรงกลมๆ ขนาดประมาณลูกปิงปอง

“คุณรู้มั้ยว่าใครยิงคุณ” ผมถาม

“ทหารน่ะ”  ดาริโอ้ตอบ “แต่ผมไม่โกรธหรอกนะ”

แล้วดาริโอ้ก็ถามความเห็นผมหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในบ้านเรา ซึ่งผมก็ตอบไปแบบงูๆ ปลาๆ แต่ดาริโอ้ก็ดูจะชอบใจทีเดียว เพราะธรรมดาเวลาเขาถามปัญหาเรื่องการเมืองกับคนไทยทีไร คนที่โดนถามมักจะบ่ายเบี่ยง แล้วบอกว่า “มันซับซ้อนเกินไป”

 “ผมหงุดหงิดนะ ที่คนไทยมักจะบอกว่าผมไม่มีวันเข้าใจการเมืองไทยหรอก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอิตาลีกับเมืองไทยมีหลายๆ อย่างที่คล้ายๆ กัน”

“เมืองไทยมีคอรัปชั่น อิตาลีก็มีคอรัปชั่น เมืองไทยมีมาเฟีย อิตาลีก็มีมาเฟีย เมืองไทยมีนักธุรกิจที่มาเล่นการเมืองอย่างทักษิณ อิตาลีก็มีคนอย่างเบอลุสโคนี่”  ดาริโอ้พูดอย่างน่าคิด

“แต่พวกคุณยังดีนะ”  ดาริโอ้พูด หยุดนิดนึง แล้วสบตาผม

“คุณยังมีในหลวงให้รัก”

ผมอึ้งไปนิดนึง และยอมรับว่าประทับใจพอสมควรเลยที่คนอิตาลีที่อยู่เมืองไทยมาไม่กี่ปีจะรู้สึกถึงสิ่งนี้ได้

ผมหยอกดาริโอ้กลับไปแบบทีเล่นทีจริงว่า “พวกคุณก็มีสันตะปาปาให้รักเหมือนกันนี่”

แต่ดาริโอ้ตอบอย่างจริงจังว่า “คุณเอาโป๊ปของพวกผมไปเทียบกับในหลวงไม่ได้หรอก” ผมขออนุญาติไม่เล่าว่าเขาอธิบายความต่อยังไง เอาเป็นว่าช่างภาพชาวอิตาเลียนคนนี้นับถือประมุขของประเทศไทยมากกว่าประมุขศาสนจักรของบ้านเกิดเขา

ผมได้แค่เพียงยิ้มตอบ และหันไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เขาเห็นว่าเราน้ำตาคลอ

 

While I was waiting for my dish at a restaurant this evening, I got a chance to read an old magazine which came out since July 2010.  The cover was a picture of King Bhumibhol. Inside were numerous articles written by prominent figures in Thailand.  Reading their writings reminded me of a conversation I had almost two years ago.

It was October 2010 when I went to Hua Hin to prepare for my company’s party. I got to meet a photographer who was hired to take photographs at this party.

His name was Dario.

Dario was an Italian. He was a talkative, freelance photographer in his late thirties who had been living in Thailand for a few years.

We talked about various topics including the World Cup and the incident at Ratchaprasong.  Dario mentioned that he was on the scene in April to take some photos.

“I was shot in the leg” he pulled up a sleeve of his trousers to show his wound. It was a typical wound you would see in someone who has undergone an operation in his leg, except that in addition to the long gash, there’s also a rounded-shape scar about the size of a table tennis ball that showed exactly where the bullet had hit.

“Do you know who shot you?”  I asked.

“A soldier”. He replied.  “But I’m not mad at him though”.

Dario then asked me more questions on the political turmoil in Thailand. I answered him with limited knowledge but he was nevertheless quite happy to be getting some information. Normally when he tried to ask a Thai about Thai politics, he would be given with just short reply – “It’s too complicated for you to understand”

“It’s really frustrating to hear people treat me as if I will never understand Thai politics.  Actually Italy and Thailand have a lot in common”.

“Thailand has corruption, so does Italy. Thailand has mafias, and of course we have them in Italy! Thailand has businessmen who got involved in politics like Thaksin, we have Berlusconi” Dario remarked.

“But you are lucky” Dario stopped and looked at me in the eyes

“You have your king to love”.

I was lost for words for a few moments. I’d have to say I was very impressed that an Italian who had been living in Thailand for only a few years understood this feeling we had for the King.

I said to him half-jokingly “You have your pope to love too!”

To which Dario replied, with a serious look “You can’t compare our pope to your king”.  I will omit his elaboration here, but in brief, this Italian photographer had more respect for the king from Thailand than the Pope from his homeland.

I could only smile and turn around, so that he wouldn’t see my eyes swelling with tears.