สูตรความสำเร็จจาก Charlie Munger

“มันง่ายมากเลยนะ ใช้เงินให้น้อยกว่าที่หามาได้ ลงทุนอย่างฉลาดเฉลียว อย่าอยู่ใกล้คน toxic และอย่าทำกิจกรรมที่ toxic พยายามเรียนรู้ตลอดชีวิต และอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ถ้าคุณทำทั้งหมดที่กล่าวมาก็แทบจะการันตีความสำเร็จได้เลย และถ้าคุณไม่ทำสิ่งเหล่านี้ คุณก็จำเป็นต้องเป็นคนดวงดีมากๆ (ถึงจะประสบสำเร็จ) แต่คุณไม่ควรหวังพึ่งดวงหรอกนะ คุณควรลงเล่นเกมที่คุณมีโอกาสชนะมากพอโดยไม่ต้องหวังพึ่งความโชคดี”

ถ้อยคำของ Charlie Munger คู่หูของ Warren Buffett ทำให้ผมนึกถึงหนังสือชื่อ All I Really Need to Know I Learned in Kindergarten ของ Robert Fulgum ที่บอกว่าความรู้ที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตนั้นเราได้เรียนรู้ตั้งแต่ตอนอยู่อนุบาลแล้ว

  • แบ่งปันทุกอย่าง
  • เล่นกันแฟร์ๆ
  • อย่ารังแกคนอื่น
  • เก็บของเข้าที่
  • ถ้าทำเลอะเทอะแล้วต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย
  • อย่าไปเอาของที่ไม่ใช่ของเรา
  • หากทำใครเจ็บก็เอ่ยปากขอโทษ
  • ล้างมือก่อนกินข้าว
  • กดชักโครก
  • ใช้ชีวิตให้มีสมดุล – เรียนรู้บ้าง คิดบ้าง วาดรูปบ้าง ระบายสีบ้าง ร้องเพลงบ้าง เต้นรำบ้าง เล่นบ้าง ทำงานบ้าง
  • แอบงีบตอนบ่าย
  • เวลาออกไปข้างนอก มองซ้ายมองขวาก่อนข้ามถนน และจูงมือกันเอาไว้
  • มองให้เห็นความมหัศจรรย์
  • นึกถึงเมล็ดในแก้วโฟม รากจะแทงลง ลำต้นจะแทงขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้ ทั้งปลาทอง หนูแฮมสเตอร์ และแม้แต่เมล็ดในแก้วโฟม ทุกอย่างล้วนต้องตาย เราเองก็ด้วย
  • นึกถึงคำแรกๆ ที่เราพูดได้ คำที่สำคัญที่สุด – “ดู!” (Look!)

ขอจบท้ายด้วยคำจากหนังสือเจ้าชายน้อย

“ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเคยเป็นเด็กมาก่อน แต่น้อยคนนักที่จะจดจำช่วงเวลานั้นได้”

ตอนเป็นเด็กเราอาจไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียนรู้ตอนอยู่อนุบาลสำคัญอย่างไร กว่าที่เราจะมีสติปัญญพอจะเข้าใจได้เราก็เป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว แต่ผู้ใหญ่ก็มักจะทำให้เรื่องยุ่งยากเกินจำเป็น

บางทีก็แค่มองอะไรให้นานขึ้น (Look!) และระลึกให้ได้ว่าเราไม่ได้อยู่ตลอดไป

แค่นี้ก็อาจเพียงพอที่จะสำเร็จในแบบของเราเองแล้วนะครับ

ขั้วตรงข้ามของความสำเร็จไม่ใช่ความล้มเหลว

จริงๆ แล้วความล้มเหลวเป็น milestone ของความสำเร็จ

เพราะเมื่อเราผิดพลาดหรือคาดการณ์ผิด นั่นคือ mini failures และสิ่งที่ได้กลับมาคือการเรียนรู้

เมื่อรู้แล้วไม่ทำผิดซ้ำ เราก็จะก้าวต่อไปได้อีกขั้น เดินไปต่อได้อีกวัน แล้วเราก็จะเจอโจทย์ใหม่ๆ ให้เราผิดพลาดและล้มเหลวไปเรื่อยๆ

ยิ่งเผชิญและแก้ไขข้อผิดพลาดและล้มเหลวเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าอย่างนั้นแล้วขั้วตรงข้ามของความสำเร็จคืออะไร?

คือการไม่ลงมือทำ

เพราะการไม่ลงมือทำ ก็เหมือนกับการไม่ได้ออกวิ่ง ณ จุดสตาร์ท

ถ้าเปรียบเป็นการวิ่งทางไกล จุด START คือการลงมือ Checkpoints คือความล้มเหลว และจุด FINISH คือความสำเร็จ

ดังนั้น หากได้ออกวิ่ง ไม่รีบร้อนเร่งฝีเท้าจนหมดแรงไปเสียก่อน เราจะค่อยๆ วิ่งผ่าน checkpoints ไปเรื่อยๆ

เก็บ checkpoints ครบเมื่อไหร่ ก็ถึงเส้นชัยได้แน่นอนครับ

สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับว่าเราวัดกันตอนไหน

หนังสือ Atomic Habits ของ James Clear ถือเป็นหนึ่งในหนังสือ non-fiction ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา

แม้จะเปิดตัวมา 4 ปีแล้ว แต่ Atomic Habits ก็ยังติดชาร์ทของ Amazon มีคนเขียนรีวิวไปแล้วเกือบ 100,000 รีวิว และมียอดจำหน่าย 5 ล้านเล่ม

ถ้าคิดเล่นๆ ว่าเล่มนึงราคา 500 บาท และนักเขียนได้เงินเล่มละ 10% ของราคาปกแสดงว่าหนังสือเล่มนี้ทำเงินให้ผู้เขียนไปแล้ว 250 ล้านบาท

ฟังดูเส้นทางโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่เจมส์ เคลียร์บอกว่าที่มันดูสวยหรูเพราะเราเพิ่งมาวัดกันตอนนี้ต่างหาก

จริงๆ แล้วเจมส์เซ็นสัญญาที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ปลายปี 2015

ถ้าวัดกันตอนปี 2016 หนังสือยังเขียนไม่เสร็จ ดังนั้นมันจึงเป็นความล้มเหลว

ถ้าวัดกันตอนปี 2017 หนังสือก็ยังไม่เรียบร้อยเช่นกัน

หรือตอนต้นปี 2018 หนังสือก็ยังไม่พร้อม ยังถือว่ามันยังล้มเหลวอยู่

กว่าหนังสือจะได้วางแผงในเดือนตุลาคม 2018 Atomic Habits เป็น “ความล้มเหลว” มาโดยตลอด

หนังสือเล่มเดิม คนเขียนคนเดิม เพียงแต่วัดผลในเวลาที่ต่างกัน

ดังนั้น การจะตัดสินสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ต้องดูด้วยว่าเราเลือกจะวัดกันตอนไหน

บางทีที่เรากำลังมองชีวิตว่าล้มเหลวอยู่นั้น อาจจะเพราะว่าเราวัดผลผิดจังหวะ

“You’re not failing. You’re just in the middle of succeeding.”
-James Clear

บางทีเราอาจไม่ได้ล้มเหลว

เราแค่กำลังอยู่กลางทางของความสำเร็จเท่านั้นเอง

ไม่ยกยอ-ไม่ต่อว่า

Kim Scott ผู้เขียนหนังสือ Radical Candor และอดีตผู้บริหารของ Google และ Apple เคยเล่าไว้ว่า สมัยที่เธอออกมาตั้งธุรกิจของตัวเองและอยู่ในช่วงที่กำลังย่ำแย่ มีคนที่พูดข้อความนี้กับเธอ

“There is a fine line between success and failure. When you’re succeeding, never think you’re as good as everyone is telling you that you are. And when you’re failing, never think you’re as bad as everyone is telling you that you are.”

เวลาที่ชีวิตไปได้สวย เรามักจะอวยตัวเอง ความมั่นใจพุ่งทะยาน จะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง อดคิดไม่ได้ว่าเรานี่ฉลาดและเก่งกว่าคนอื่น

ทั้งที่จริงแล้ว ความสำเร็จไม่เคยเกิดจากเราคนเดียว มันมีปัจจัยรายล้อมมากมายทั้งที่เรามองเห็นและที่เรามองไม่เห็น เราอาจจะเรียกสิ่งมองไม่เห็นและอธิบายไม่ได้ว่าเป็น จังหวะ โชคชะตา หรือบุญเก่า แต่เราไม่ค่อยมองเรื่องเหล่านี้ เราจะเข้าข้างตัวเองว่าเป็นฝีมือของเราล้วนๆ

ซึ่งความคิดเช่นนี้มันอันตรายตรงที่มันจะทำให้เราคิดว่าเราเก่งกว่าความเป็นจริงเสมอ

เวลาที่คนล้มเหลวหรือพลาดพลั้ง ก็จะแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม

กลุ่มแรกคือโทษข้างนอกไว้ก่อน โทษว่าโดนคนอื่นหลอกลวง โทษตลาด โทษรัฐบาล เล่นบทเป็นผู้เสียหาย ทั้งที่การโทษคนอื่นไม่ได้ทำให้คนอื่นทำตัวดีขึ้นเสียหน่อย

ส่วนอีกกลุ่มคือโทษตัวเอง คิดย้อนกลับไปในอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆ ที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อต่อว่าตัวเองบ่อยๆ ก็พลอยหมดกำลังใจและหมดความมั่นใจไปเลย

ทั้งที่จริงแล้วเราอาจไม่ได้ทำอะไรผิด อาจจะทำอย่างเดียวกับตอนที่เราสำเร็จนั่นแหละ แต่เนื่องจากมีปัจจัยที่มองไม่เห็นอย่างจังหวะ โชคชะตา หรือบุญเก่า(หมด) ผลลัพธ์มันก็เลยออกมาเป็นเช่นนี้

ดังนั้นอย่าทุบตีตัวเองจนเกินเลย เราไม่ได้ห่วยขนาดนั้นสักหน่อย

เมื่อบินสูงอย่าไปยกยอ เมื่อบินต่ำก็ไม่จำเป็นต้องต่อว่า

แล้วเราจะสอดคล้องกับ “เส้นความจริงของชีวิต” มากกว่าเดิมครับ

งานที่ไม่มีใครมองเห็น

ใครเคยวิ่งมาราธอนมาก่อนจะเข้าใจความรู้สึกนี้

ระยะทาง 42.195 กิโลเมตรนั้นเท่ากับการวิ่งจากดาวคะนองไปรังสิต

เป็นระยะทางที่ไกลมาก มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะวิ่งไกลระดับนั้น

แต่จริงๆ แล้วก่อนจะถึงวันแข่ง ต้องซ้อมวิ่งกันอย่างน้อย 20 สัปดาห์ แค่ซ้อมสัปดาห์ละ 4 ครั้ง ครั้งหนึ่งวิ่งเฉลี่ย 10 กิโลเมตร แปลว่าเราต้องซ้อมวิ่งทั้งหมด 800 กิโลเมตร

ซ้อม 800 กิโลเมตรเพียงเพื่อที่จะได้มายืน ณ จุดสตาร์ทในวันแข่งมาราธอน

42.195 กิโลเมตรคืองานที่ทุกคนมองเห็น ส่วน 800 กิโลเมตรคืองานที่ไม่มีใครมองเห็น

Invisible work นั้นมีอยู่ทุกที่ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

กว่าโรนัลโดหรือเมสซีจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกได้ พวกเขาต้องซ้อมหนักแค่ไหน ซ้อมโดยไม่มีใครดู ยิงประตูโดยไม่มีใครปรบมือ

กว่าเพจดังๆ จะมีคนติดตามขนาดนี้ได้ เขาต้องขลุกอยู่หน้าจอคนเดียวกลางดึกไปไม่รู้กี่พันชั่วโมง

กว่าธุรกิจหนึ่งจะประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียง อาจต้องดิ้นรนและไม่มีใครสนใจเป็นเวลาหลายปี

สิ่งที่เราเห็นกันมันเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่อยู่ใต้น้ำนั้นใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า

ถ้าอยากจะไปจุดที่น้อยคนนักจะไปถึง ก็ต้องเผื่อใจกับงานที่ไม่มีใครมองเห็นไว้ด้วยนะครับ