สูตร 1-3-5 สำหรับทำ To Do List

ผมเพิ่งอ่านเจอสูตรนี้มา ยังไม่เคยลอง แต่เห็นว่าน่าสนใจ เลยขอนำมาถ่ายทอดให้อ่านกันก่อนครับ

ในแต่ละวันให้ทำ To Do List ไม่เกิน 9 ชิ้น

1 Big Thing – งานชิ้นใหญ่ 1 ชิ้นที่สำคัญที่สุดและต้องออกแรงมากที่สุด

3 Medium Things – งานขนาดกลาง 3 ชิ้นที่สำคัญพอสมควรและใช้เวลาไม่นานเกินไปนัก

5 Little Things – งานขนาดเล็กอีก 5 ชิ้นที่สามารถทำให้เสร็จได้อย่างรวดเร็ว

ถ้าวันไหนเรามีประชุมเยอะๆ เราอาจต้องลดจำนวนงานลง และถ้าเรามักจะเจองานแทรกระหว่างวันอยู่บ่อยๆ ก็อาจต้องเว้นสล็อตว่างไว้สำหรับงานเหล่านี้ด้วย

อาการอย่างหนึ่งของคน(อยาก) productive คือสร้าง To Do List ที่งานเยอะเกินไป พอจบวันเลยทำไม่เคยหมดซักที

นี่คืออีกหนึ่งทางเลือก ตัดสินใจเสียแต่ต้นว่าจะทำแค่ 9 อย่างนี้ prioritize เสียตั้งแต่หัววันจะได้ไม่ต้องรู้สึกเฟลในภายหลัง

เดี๋ยววันนี้ผมว่าจะลองดู ใครได้ลองแล้วมาแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ


ขอบคุณเนื้อหาจาก A Better To-Do List: The 1-3-5 Rule

3 ไอเดียจากหนังสือ Healthy Always

1.กฎเหล็กเพื่อสุขภาพที่ดี 6 ข้อ ได้แก่ ห้ามสูบบุหรี่ ดื่มไวน์เพียงวันละ 1-2 แก้ว ออกกำลังกายวันละ 30 นาที กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้รอบเอวใหญ่กว่าครึ่งนึงของส่วนสูง และนอนคืนละ 7-8 ชั่วโมง ซึ่งเหล่านี้เป็นการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ เลิกสูบบุหรี่และงดมื้อเย็นหรือกินอาหารเย็นให้น้อยที่สุด แล้วใช้เวลานั้นไปออกกำลังกายแทน

2. ร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างเพื่อกินอาหารทั้งวันทั้งคืน แต่ควรกินเฉพาะเวลาที่มีแสงแดดเป็นหลัก จากการทดลอง หนูที่จำกัดการกินอาหารวันละ 8 ชั่วโมงจะมีน้ำหนักน้อยกว่าหนูที่กินทั้งวันทั้งคืนถึง 28% แม้ว่าหนูทั้งสองกลุ่มจะได้รับปริมาณแคลอรีต่อวันเท่ากัน เมื่อไม่กินพร่ำเพรื่อ ร่างกายจะย่อยและใช้อาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงควรจำกัดช่วงเวลาในการกิน และปล่อยให้ตัวเองมีเวลาหิวเล็กน้อยทุกวัน แต่ละมื้ออย่าใช้เวลากินเกิน 40 นาที และถ้ามีเวลาเดินหลังมื้ออาหารสัก 20 นาทีจะดีมากเพราะกล้ามเนื้อจะเรียกใช้น้ำตาลในร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูง

3. แม้ในอนาคตจะมีวัคซีน COVID-19 ออกมาก็อย่าคิดว่าไวรัสจะถูกกำจัดราบคาบ เราต้องไม่ลืมว่าปัจจุบันมนุษย์ไม่มีวัคซีนป้องกันไข้หวัด และโคโรนานั้นก็เป็นไวรัสไข้หวัดชนิดหนึ่ง แม้จะมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก็ไม่ได้มีประสิทธิผล 100% เรารู้กันดีว่าโอกาสในการเสียชีวิตจากโคโรนาไวรัสก็คืออายุและโรคประจำตัว เราเปลี่ยนอายุเราไม่ได้ แต่เราสามารถดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้มีโรคประจำตัวได้


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ Healthy Always สุขภาพดีตลอดไป โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ สำนักพิมพ์ openbooks

จะคิดบวกได้ก็ต่อเมื่อเราคิดลบไปแล้วเท่านั้น

จะให้อภัยได้ก็ต่อเมื่อเราโกรธเขามาแล้วเท่านั้น

จะเรียกรถดับเพลิงก็ต่อเมื่อไฟไหม้บ้านแล้วเท่านั้น

คิดบวกจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เป็นการพยายามดับไฟไม่ให้ลุกลามไปกว่านี้

วิธีที่ดีกว่า คือฝึกจิตใจให้ไม่ต้องคิดลบตั้งแต่ต้น

เมื่อไม่คิดลบ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดบวก เมื่อไม่โกรธ ก็ไม่จำเป็นต้องยกโทษ เมื่อไฟไม่ไหม้บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องดับไฟ

เมื่อเราสามารถมองทุกอย่างด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ไปให้คุณค่าหรือความหมายกับสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นจนเกินควร ใจของเราก็จะไม่สวิงขึ้น-ลงไปตามโลก และไม่สูญเสียพลังงานไปกับเรื่องชั่วคราวครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากธรรมบรรยายของพี่พศิน อินทรวงค์ บน Youtube

นิทานกากับเหยี่ยว

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ฝูงกากับฝูงเหยี่ยวทำข้อตกลงกันว่า หากใครล่าอะไรมาได้จะแบ่งกันคนละครึ่ง

วันหนึ่งกาและเหยี่ยวพบหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เพิ่งหนีพ้นจากการล่าของนายพราน แต่ก็บาดเจ็บจนอาการร่อแร่มานอนซมอยู่ใต้ต้นไม้

ฝูงกาบอกว่า “พวกเราจะเอาท่อนบนของหมาจิ้งจอกตัวนี้แล้วกัน”

ฝูงเหยี่ยวจึงตอบว่า “ตกลง งั้นพวกเราจะเอาท่อนล่างของมัน”

หมาจิ้งจอกหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า

“ข้าเข้าใจมาตลอดว่าเหยี่ยวนั้นเป็นสัตว์ที่เหนือชั้นกว่ากา เหยี่ยวจึงควรจะได้ท่อนบนของข้าไป เพราะมีทั้งมันสมองและอวัยวะที่สำคัญอีกหลายอย่าง”

“จริงด้วย งั้นพวกเราขอท่อนบนแล้วกัน” ฝูงเหยี่ยวกล่าว

“ไม่ได้สิ พวกเจ้าต้องเอาท่อนล่างอย่างที่บอกไว้ตอนแรก” ฝูงกาประท้วง

เมื่อไม่มีใครยอมใคร ฝูงกาและฝูงเหยี่ยวจึงยกพวกตะลุมบอนกันยกใหญ่จนทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ที่เหลือรอดก็บินหนีหัวซุกหัวซุน

หมาจิ้งจอกยังคงอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั้นไปอีกหลายวัน ได้กินทั้งเนื้อเหยี่ยวและเนื้อกาเป็นอาหารจนเริ่มมีกำลังวังชาและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกล่าวว่า

“ผู้อ่อนแอย่อมได้ประโยชน์จากการทะเลาะกันของผู้แข็งแกร่ง”


ขอบคุณนิทานอินเดียจากหนังสือ The 48 Laws of Power by Robert Greene

กฎ No Silo ของ Elon Musk

Silo อ่านว่า ไซโล แปลตรงตัวว่า ยุ้งฉางเก็บข้าว

การทำงานแบบ silo คือการที่พนักงานไม่คุยข้ามแผนก เพราะนี่คือยุ้งของฉัน นั่นคือยุ้งของเธอ ถ้าจำเป็นต้องคุยก็จะคุยผ่านหัวหน้าเท่านั้น ถ้าพนักงานคุยข้ามแผนกกันเองจะถือว่าผิดมารยาทและเป็นการไม่ให้เกียรติหัวหน้า

ในขณะที่ผู้นำบางคนอาจจะยังเคยชินกับการรับงานและสั่งงานผ่านผู้บังคับบัญชา ผู้นำสมัยใหม่จะเน้นไปที่ผลงานและความรวดเร็วมากกว่า

Elon Musk แห่ง SpaceX และ Tesla ก็เป็นหนึ่งในคนที่เชื่อเรื่องการลด silo ให้เหลือน้อยที่สุด

นี่คืออีเมลที่อีลอนส่งหาพนักงานทุกคนใน Tesla

Subject: การสื่อสารในเทสล่า

มีความเชื่ออยู่สองแบบว่าข้อมูลควรไหลเวียนในองค์กรแบบไหน

ความเชื่อในองค์กรส่วนใหญ่คือข้อมูลต้องไหลผ่านสายบังคับบัญชา นั่นก็คือคุณต้องส่งข้อมูลผ่านหัวหน้าของคุณเสมอ ปัญหาก็คือแม้ว่ามันจะทำให้หัวหน้ามีพาวเวอร์มากขึ้น แต่มันกลับไม่ได้สร้างประโยชน์ให้องค์กร

แทนที่จะแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วด้วยการให้พนักงานในหนึ่งแผนกได้คุยกันตรงๆ กับพนักงานอีกแผนกหนึ่งเพื่อจะได้ลงมือทำในสิ่งที่เหมาะสม พนักงานกลับถูกบังคับให้คุยกับหัวหน้า ซึ่งต้องไปคุยกับหัวหน้าของหัวหน้า ซึ่งต้องไปคุยกับหัวหน้าของหัวหน้าของหัวหน้าเพื่อที่จะไปคุยกับอีกแผนกหนึ่งได้ แล้วแผนกนั้นก็ต้องส่งข้อมูลลงมาหาลูกน้องของตัวเองอีกครั้ง อันนี้ถือเป็นเรื่องโง่บัดซบ (this is incredibly dumb) หัวหน้าคนไหนก็ตามที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้หรือสนับสนุนแนวคิดนี้ก็จะได้ไปทำงานให้กับบริษัทอื่นในเร็ววัน อันนี้ผมไม่ได้ล้อเล่น

พนักงานทุกคนสามารถและสมควรจะส่งเมลหาหรือคุยกับใครก็ได้ที่น่าจะช่วยเขาแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด คุณสามารถคุยกับหัวหน้าของหัวหน้าโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตหัวหน้าของตัวเองก่อน คุณจะคุยกับ VP ของอีกแผนก หรือจะมาคุยกับผม หรือจะคุยกับใครก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครเลย ยิ่งกว่านั้น คุณต้องถือว่ามันเป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องคุยกับคนต่างๆ จนกว่าจะเกิดแอคชั่นที่เหมาะสม ประเด็นไม่ใช่การคุยสะเปะสะปะแต่คือการหาออกให้รวดเร็วที่สุด ถ้าเราจะแข่งกับบริษัทรถที่ใหญ่กว่าเราหลายเท่าก็ต้องแข่งด้วยความฉลาดและความว่องไวเท่านั้น

ประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะเน้นก็คือหัวหน้าต้องออกแรงเพื่อเมคชัวร์ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคอขวดในการสื่อสารหรือสร้าง silo ขึ้นมาจนเกิดความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเรา ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายเพราะธรรมชาติมนุษย์นั้นชอบแบ่งพรรคแบ่งพวกอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จะมีประโยชน์อะไรที่จะสร้างกำแพงขึ้นมาระหว่างฝ่ายและมองความสำเร็จเป็นเพียงการเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งได้? เราทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว ขอให้มองตัวเองว่าเรากำลังทำเพื่อองค์กร ไม่ใช่ทำเพื่อแผนกของตัวเอง

ขอบคุณครับ
อีลอน


ขอบคุณเนื้อหาจาก Inc Magazine: This Email From Elon Musk to Tesla Employees Describes What Great Communication Looks Like