พูดไปเถอะครับพี่

20150401_MenExpectTooMuch

Men expect too much, do too little
– Allen Tate

คนเราคาดหวังมากเกินไป ลงมือทำน้อยเกินไป
– อัลเลน เทท

—–

ใครเป็นเด็กกิจกรรมน่าจะเคยเจอคนประเภท “นาโต้”

NATO – No Action. Talk Only.

เราจะเจอคนประเภทนี้ปะปนอยู่ในกลุ่ม “อาสาสมัคร” ที่จะมาช่วยกิจกรรมเสมอๆ

ถึงนาโต้จะมีอยู่ไม่เยอะ แต่มักจะเสียงดังและพูดมากที่สุด เลยมักจะครอบงำ (dominate) การประชุมอยู่เรื่อย

พวกนาโต้ จะบอกว่าทีมงานควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงความรู้ที่พกมาเต็มกระเป๋า

แต่พอถามว่า ใครจะรับงานไปทำบ้าง นาโต้มักจะออกตัวว่าช่วงนี้ยุ่งมาก

หรือถ้ารับปากว่าจะเอาไปทำ ก็ทำออกมาแล้วไม่ได้ครึ่งอย่างที่คุยไว้

เวลาประชุม ผมจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพวกนาโต้มากนัก สิ่งที่ผมสนใจมากกว่า คือคนที่อาสาจะรับผิดชอบงานแต่ละชิ้น ว่าทำกันไหวมั้ย มีแรง-มีทักษะ-มีเวลาพอที่จะทำรึเปล่า

เพราะทำงาน “การกุศล” มันเหนื่อยนะครับ

เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมยังได้กระดูกมาแขวนคอเป็นประจำ

ถ้างานชิ้นไหนดูลำบากเกินไป ก็ต้องหาคนช่วย หรือไม่ก็ปรับเนื้องานให้มันน้อยลง อาจจะไม่เจ๋งอย่างที่พวกนาโต้คาดหวัง แต่ที่แน่ๆ คือ “คนทำงานจริงๆ” เขาสบายใจ

ส่วนพวกนาโต้ ก็ปล่อยให้เขาได้พูดไปเถอะ

แต่ตราบใดที่เขาไม่พร้อมจะลงแรง ก็อย่าไปให้น้ำหนักเขามากนักเลย

ให้เขาสุขใจในหอคอยของเขาต่อไป

วันหนึ่ง ถ้าคิดได้ คงจะปีนลงมาเอง

ทำก่อน เชื่อทีหลัง

20150330_DoFirstBelieveSecond

We don’t take action because we believe.
We believe because we take action.
Do first. Believe second
-Seth Godin

—–
เรื่องบางเรื่องเราไม่รู้หรอกว่าทำได้หรือไม่ได้ จนกว่าจะลองลงมือทำ

ชีวิตผมจะว่าไปก็จับพลัดจับผลูมาตลอด

อยากเรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ แต่มหาวิทยาลัยเปิดสอนไม่ได้เพราะเด็กน้อยเกินไป เลยต้องไปเรียนวิศวะไฟฟ้า

จนวิศวะไฟฟ้ามา ดันเผลอไปสมัครงานบริษัทซอฟต์แวร์ แล้วก็ได้มาเป็น software engineer ทั้งๆ ที่เคยเรียนวิชา Programming แค่เทอมเดียว

ทำงานด้านซอฟท์แวร์มาได้ 6 ปี ตำแหน่ง communication manager ก็ว่างขึ้นมา เลยลองสมัครดู ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้ดีมั้ย แต่เห็นงานแล้วมันน่าทำเลยขอลอง ก็ทำมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็มั่นใจในวิชาชีพนี้พอสมควร

ผมเขียนบล็อกลง Anontawong.com ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2555

ณ วันที่ 31 ธ.ค.2557 Anontawong.com มีบทความแค่ 15 บทความเท่านั้น

หรือปีหนึ่งเขียนประมาณ 5 บทความ (จริงๆ ไม่ถึงด้วย เพราะมีหลายโพสต์ที่ผมแค่อัพรูปเฉยๆ)

จนวันที่ 2 ม.ค. 2558 หลังจากกลับมาจากไปเที่ยวปีใหม่ แล้วมีเวลาอยู่กับบ้านว่างๆ ก็เลยคิดสนุกว่า ไหนเราลองมาเขียน anontawong.com จริงๆ จังๆ ดูซิ

แต่ผมก็มีคำถามกับตัวเองว่า จะมีเรื่องเล่าซักแค่ไหนกันเชียว และจะมีคนเห็นประโยชน์มันบ้างมั้ย

ตอนแรกผมเลยตั้งเป้าง่ายๆ ให้ตัวเองว่า จะเขียนบล็อกติดต่อกันให้ได้สามวันเสียก่อน

พอครบสามวัน ผมก็เลยขยับเป้าหมายเป็นเขียนติดต่อกันจนกว่าจะครบหนึ่งสัปดาห์

เมื่อทำได้ ก็เลยบอกตัวเองให้เขียนทุกวันจนกว่าจะจบเดือนมกราคม

และเดือนกุมภาพันธ์…

และเดือนถัดไป

เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ผมก็ได้รับแจ้งจาก WordPress ว่าผมเขียนบล็อกครบ 100 ตอนแล้ว

20150337_100Posts

สามปีแรก 15 ตอน

สามเดือนถัดมา 85 ตอน

ความแตกต่างไม่น้อยเลย

หลังจาก “ทำ” มาร่วมสามเดือน ตอนนี้ผมเริ่ม “เชื่อ” แล้วว่า ผมน่าจะเอาดีทางนี้ได้

จึงขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่า Anontawong.com จะมีบทความใหม่ไปทุกวันนะครับ!

อยู่นานๆ ได้ไหม

20150329_GiveAndTake

“คนเราถ้าคิดอยากจะได้อย่างเดียว รับรองเลยว่าอยู่ได้ไม่นาน”
– เจ๊จง

เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อของ “หมูทอดเจ๊จง” มาก่อน

ผมเองยังไม่เคยได้ไปลิ้มลองอาหารของที่นี่ แต่เท่าที่ได้อ่านความคิดของเจ๊จง ผ่านหนังสือ Dare to Do กล้าลุย ไม่กลัวล้ม ของคุณกรณ์ จาติกวณิชแล้ว ยิ่งอยากไปดูให้เห็นบรรยากาศกับตา

ข้าวเติมได้ไม่อั้น ไม่อิ่มก็มีกล้วยให้เด็ดไปกินฟรีๆ หมูทอดเจ๊จงจึงร้านขวัญใจคนจนอย่างแท้จริง

แม้จะมีร้านอยู่หลายสาขา แต่เจ๊จงก็ไม่ยอมไปเปิดร้านในห้าง เพราะมันจะทำให้เธอต้องตั้งราคาอาหารแพงขึ้น ถึงแม้คนเดินห้างจะมีกำลังซื้อก็ตาม

เพราะเจ๊จงถือคติที่ว่า แม้แต่ลูกค้าที่มีรายได้น้อยที่สุด ก็สามารถเข้าร้าน “หมูทอดเจ๊จง” ได้ทุกสาขา

“คนเราถ้าคิดอยากจะได้อย่างเดียว รับรองเลยว่าอยู่ได้ไม่นาน” เป็นคำพูดของเจ๊จงที่อยู่ในบริบทของธุรกิจ ว่าถ้าธุรกิจคุณเอาเปรียบลูกค้า ธุรกิจคุณก็ย่อมไม่ยั่งยืน

แต่มันก็อาจสามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราได้เหมือนกัน

คนที่คิดเอาแต่ได้ ไม่เอื้อเฟื้อแบ่งปัน หรือแม้กระทั่งไปโกงเขามา ก็คงโดนสาปแช่งให้อยู่ได้ไม่นานเช่นกัน

เจอใครที่เค็มเป็นทะเล ก็อาจเตือนสติเขาว่า ได้มาเยอะแล้ว ลองให้ดูบ้างมั้ย?

จะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ

—–

Credits:

Wongnai: หมูทอดเจ๊จง (JAE JONG) หลังโลตัสพระราม 4

Thai Publica: กรณ์ จาติกวณิช” อีกก้าวกับ “Dare to do – กล้าลุย ไม่กลัวล้ม

กรุณาฟังให้จบ

 20150328_Listen

Listen more if someone is in pain. Don’t solve. Just listen.
– James Altucher

หากใครกำลังทุกข์หนัก จงฟังเขาให้มาก
ไม่ต้องเสนอทางแก้ แค่ฟังอย่างเดียวพอ
– เจมส์ อัลทูเช่อร์

เวลาแฟนมาบ่นอะไรให้ฟัง ผู้ชายอย่างเรามักจะถามว่า “ทำไมไม่ทำอย่างนี้ล่ะ”

แล้วเราก็จะโดนงอน

เพราะโดยธรรมชาติผู้ชายชอบแก้ปัญหา

และยิ่งถ้าเรียนจบสายวิทย์มา อาการนี้จะหนักกว่าผู้ชายทั่วไป

เพราะเรามองอะไรก็เป็นโจทย์ให้เราแก้ไปหมด

ทำไมคนเรามักจะตัดบท แล้วเสนอทางออก ทั้งๆ ที่เค้ายังพูดไม่ทันจบ?

ก.เราอยากช่วยเหลือ
ข.เราเบื่อจะฟังคำบ่น
ค.เรามองว่าปัญหานี้ไม่เห็นมีอะไรยากเลย
ง.เราอยากแสดงความฉลาด
จ.ถูกทุกข้อ

บางที ที่ผู้หญิงมาบ่นกับเรา ไม่ใช่เพราะว่าเธอต้องการคนช่วยหาทางออก

แต่เธอต้องการเล่าความอัดอั้นกับคนที่เธอเชื่อว่า เขาจะใจเย็นและมีความอดทนพอที่จะฟังปัญหาของเธออย่างตั้งใจ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากช่วยเหลือเธอจริงๆ (ตามข้อ ก.) เราต้องฝึกทักษะการ “ฟังเพื่อจะฟัง” ไม่ใช่ “ฟังเพื่อหาทางออก” หรือ “ฟังเพื่อตัดสิน”

เมื่อเธอระบายเสร็จแล้ว เธอจะถามคุณเองแหละว่า มีข้อแนะนำอะไรมั้ย

นั่นแหละคือจังหวะที่เราควรเสนอความเห็น

แต่หากเธอไม่ถามคุณเลยว่ามีข้อแนะนำอะไรมั้ย ก็ไม่ต้องเสียใจ

เพราะ “ทางออก” อาจจะผุดขึ้นมาระหว่างที่เธอกำลังบ่นอยู่

หรือไม่อย่างนั้น เธออาจจะรู้ทางออกอยู่แล้วก็ได้

แต่ก็ยังอยากมาเล่าให้คุณฟังเท่านั้นเอง

ระวังแก่เกินเรียน

20150327_LearnBusy

Learn as much as you can while you are young, since life becomes too busy later.
– Dana Stewart Scott

เมื่อตอนเจ้ายังหนุ่มสาว จงเรียนรู้ให้มากเข้าไว้ เพราะโตมาแล้วชีวิตเจ้าจะวุ่นวายเกินกว่าจะเรียนรู้อะไรได้
-ดาน่า สจ๊วต สก๊อต

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอ่านประโยคนี้ก็คงเฉยๆ

เพราะคิดว่า ยังไงเราก็สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว

งานที่เราทำทุกวันก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง

คนที่เราต้องพบปะพูดคุย หรือทะเลาะเบาะแว้ง ก็เป็นการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่ง

มีบทเรียนในทุกวัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นมันรึเปล่า

แต่บางทีเราก็อยากมีสิทธิ์เลือกเรื่องที่เราจะเรียนรู้ได้มากกว่านี้

—–

สมัยหนุ่มๆ ผมนั่งรถไฟมาทำงาน

ผมไม่ได้หมายถึงรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินนะครับ

ผมหมายถึงรถไฟหวานเย็นที่เค้าให้นั่งฟรีๆ นี่แหละ (ก่อนที่มันจะฟรีก็เก็บค่าขึ้นรถไฟแค่ 2 บาทเท่านั้น จะถูกไปถึงไหน)

เป็นช่วงชีวิตที่สบายสุดๆ ขอบอก

ผมจะเดินจากคอนโดมาขึ้นรถไฟที่สถานีหัวหมาก มาลงรถไฟตรงที่หยุดรถอโศก แล้วค่อยขึ้นรถใต้ดินสถานีเพชรบุรีมาลงสถานีลุมพินีเพื่อเดินมาออฟฟิศที่ตึกอื้อจื่อเหลียง

ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงพอดี

และเพราะตอนนั้นผมยังไม่มีสมาร์ทโฟนและเฟ๊ซบุ๊ค ช่วงที่เดินทางตอนเช้าผมจึงมีเวลาอย่างน้อย 30 นาทีในการอ่านหนังสือบนรถไฟทั้งสองขบวน

ส่วนตอนเย็นจะได้อ่านเยอะกว่าหน่อย เพราะรถไฟชอบมาช้า

สรุปคือในหนึ่งวันผมจะได้อ่านหนังสือที่ผมอยากอ่าน ไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง

เฉลี่ยผมเลยอ่านหนังสือจบสัปดาห์ละหนึ่งเล่ม ปีหนึ่งก็ 50 เล่ม

ผมใช้รถไฟมาทำงานไม่ต่ำกว่า 8 ปี ดังนั้นผมน่าจะได้อ่านหนังสือ 400 เล่มเพราะรถไฟหวานเย็น

มาเดี๋ยวนี้ มีคู่ชีวิตแล้ว จะพาโหนรถไฟก็กระไรอยู่ ผมจึงขับรถมาทำงาน การอ่านหนังสือในช่วงเวลาเดินทางจึงหมดไป ทำได้อย่างมากก็ฟัง audiobook

ตอนเย็นกว่าจะฝ่ารถติดกลับถึงบ้าน ก็มานั่งเขียนบล็อก Anontawong’s Musings ก็เลยไม่ได้อ่านหน้งสือ

ในอนาคตหากมีลูก เวลาในการหาความรู้แบบเดิมๆ ก็คงจะยิ่งน้อยลงไปอีก

แน่นอน หนังสือไม่ใช่แหล่งความรู้ที่ดีที่สุด แต่มันก็ยังเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดที่เราจะเรียนรู้ในเรื่องที่เราสนใจ

แต่พอเราอายุมากเข้า มีหน้าที่ที่เยอะขึ้น (ตอนแรกจะเรียกว่า “ภาระ” แต่ผมว่าคำนี้มันดูลบเกินไปหน่อย) เวลาที่จะมีให้ตัวเองย่อมน้อยลงไปอย่างช่วยไม่ได้

จึงอยากขอเตือนคนที่ยังโสดและยังมีเวลาเหลือเฟือ ให้ตักตวงช่วงเวลานี้ให้เต็มที่

เพราะวันหนึ่งคุณจะคิดถึงมันแน่นอนครับ