ปีนี้เราจะเหลือเงินเท่าไหร่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ปีนี้เราจะเหลือเงินเท่าไหร่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว / Anontawong’s Musings

เมื่อหลายเดือนก่อน ผมได้ฟังพอดแคสต์ที่ชื่อว่า KO$HER MONEY ซึ่งสัมภาษณ์รับบี Manis Friedman

รับบี (ภาษาอังกฤษออกเสียงว่า “แรบาย”) คืออาจารย์สอนศาสนายิว

มีคอนเซ็ปต์หนึ่งที่รับบีฟรีดแมนกล่าวเอาไว้ที่ผมรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อแต่ก็น่าสนใจเกินกว่าจะโยนทิ้ง

รับบีกล่าวว่า ปีนี้คุณจะมีเงินเท่าไหร่นั้น มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ของชาวยิวแล้ว

วันขึ้นปีใหม่ยิวนั้นมีชื่อเรียกว่า Rosh Hashanah ซึ่งในปี 2022 นี้คือช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายนถึงค่ำวันอังคารที่ 27 กันยายน

เมื่อพระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่าปีนี้คุณจะทำเงินได้เท่าไหร่ จึงไม่จำเป็นต้องไปกังวลหรือเอาเป็นเอาตายเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้มากเกินไป เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเลย

ความฉลาดไม่ได้ทำให้ร่ำรวย เราก็เห็นอยู่ว่ามีคนรวยหลายคนที่ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น

ขณะเดียวกันเราก็เห็นคนยากจนมากมายที่ทั้งฉลาด ทั้งขยัน ทั้งทดลองทำแล้วทุกอย่าง แต่ก็ไม่รวยขึ้นเสียที

เราอาจจะเถียงว่า อ้าว ถ้าวันนี้เราทำงาน OT เราก็จะได้เงินเพิ่มไม่ใช่เหรอ หรือถ้าเปิดร้านเกินเวลาก็ได้รายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

แต่รับบีบอกว่า อย่าดูแค่ขาเข้าอย่างเดียว ต้องดูขาออกด้วย ถ้าคุณเปิดร้านเกินเวลา อาจได้เงินมาเพิ่มก็จริง แต่ถ้าต้องเสียค่าปรับหรือต้องขึ้นโรงขึ้นศาลก็อาจจะเหลือเงินน้อยกว่าเดิมก็ได้

หรือถ้าคุณทำงานเยอะๆ อดหลับอดนอนจนล้มหมอนนอนเสื่อ เงินส่วนต่างที่ได้มาอาจต้องเอาไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลอยู่ดี

ดังนั้นเงินที่คุณจะได้ในปีนี้นั้นได้ถูกกำหนดไว้แล้ว อย่าไปซีเรียสกับมันนัก

พิธีกรจึงถามต่ออีกว่า ถ้าเงินถูกกำหนดไว้แล้ว อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำอะไรเลยน่ะสิ เพราะยังไงพระเจ้าก็จะให้เงินเราใช้เท่านี้อยู่แล้ว

รับบีบอกว่าเป็นคำถามที่ดี การทำมาหาเลี้ยงชีพนั้นเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ เป็นการอำนวยพรของพระเจ้า แต่ปาฎิหาริย์ไม่อาจเกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มี่ขลุ่ย มันต้องอาศัยช่องทางของเรื่องปกติธรรมดานี่แหละ

เราอาจจะเคยได้ยินนิทานของชายผู้เชื่อมั่นในพระเจ้า:

วันหนึ่งน้ำท่วมหนัก รถบรรทุกลุยน้ำมาเพื่อมารับชายคนนั้นออกจากพื้นที่

“ไม่เป็นไร ผมเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะมาช่วยผมอย่างแน่นอน”

ระดับน้ำยังสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงชั้นสอง ชายคนนั้นต้องมาอยู่บนหลังคาบ้าน มีเรือของหน่วยกู้ภัยเข้ามาช่วย

“ไม่เป็นไร ผมเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะมาช่วยผมอย่างแน่นอน”

น้ำยังคงสูงขึ้นไม่หยุด แม้จะยืนบนหลังคาน้ำก็ท่วมอกขายคนนั้นแล้ว มีเฮลิคอปเตอร์บินมาช่วยชายคนนั้น

“ไม่เป็นไร ผมเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะมาช่วยผมอย่างแน่นอน”

แล้วชายคนนั้นก็จมน้ำตาย เมื่อเขาไปถึงสวรรค์และได้พบกับพระเจ้า เขาก็ต่อว่าพระเจ้าเป็นการใหญ่

“ทำไมท่านไม่มาช่วยผม?”

“ไม่ได้ช่วยตรงไหน เราส่งทั้งรถบรรทุก เรือ และเฮลิคอปเตอร์ไปให้เจ้าแล้วนะ”

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ แต่ต้องเกิดผ่านเรื่องที่เป็นธรรมชาติและเรื่องที่เป็นธรรมดา

ถ้าคุณเปิดร้านขายของ ยอดขายเดือนละ 500,000 บาท แล้วตอนนี้คุณอยากได้ยอดขายเดือนละ 1,000,000 บาท คุณก็ต้องทำอะไรสักอย่าง เช่นขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น มีสินค้าให้เลือกเยอะกว่าเดิม เพิ่มช่องทางออนไลน์ ฯลฯ

เมื่อเราต้องการจะมีรายได้มากขึ้น เราก็ต้องขยาย “ภาชนะ” เพื่อจะรองรับมันเช่นกัน

แต่ถ้าเราบอกว่า อยากมีรายได้มากขึ้นสองเท่า แต่ทำทุกอย่างเหมือนเดิม แล้วพระเจ้าจะช่วยเราได้อย่างไร หากเราอยากได้เงิน แต่เราไม่ยื่นมือออกมา คิดเหรอว่าจะมีใครเอาเงินมายัดใส่กระเป๋ากางเกงให้เรา

ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด เราต้องยื่นมือออกมาก่อน แสดงให้คนอื่นเห็นก่อนว่าเราพร้อมจะรับแล้ว

แน่นอนว่าสิ่งที่รับบีพูดมาอาจจะยังมีช่องโหว่ คนช่างคิดและเต็มไปด้วยตรรกะคงเถียงกันได้ไม่จบสิ้น

แต่ผมก็ยังเชื่อว่าบางแง่มุมของเรื่องนี้ยังมีประโยชน์อยู่ดี จึงตัดสินใจนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้

ข้อสรุปที่ผมได้สำหรับตัวเอง คือเราควรทำตามหน้าที่ของเราไปด้วยความซื่อตรงและขยันขันแข็ง เพื่อเป็นการเปิดทางให้พระเจ้าได้แสดงปาฏิหาริย์ผ่าน “ภาชนะ” ที่เราตระเตรียมเอาไว้แล้ว

แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดการณ์เอาไว้ ก็ไม่เป็นไร ให้นึกถึงสุภาษิตจีนที่ว่า ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดินครับ


ขอบคุณเนื้อหาจาก The Secret to Becoming TRULY Rich (with Rabbi Manis Friedman)| KOSHER MONEY Episode 20 นาทีที่ 25-30

เอาชนะความขี้เกียจด้วยเคล็ดลับจากหน่วย SEAL

Sean Kernan เป็นนักเขียนที่มีผู้ติดตามมากที่สุดคนหนึ่งใน Quora

มีคนเคยตั้งคำถามไว้ว่า มีเทคนิคไหนบ้างที่จะเอาชนะความขี้เกียจได้

นี่คือคำตอบของ Sean Kernan ครับ


พ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่า วันที่หนักหนาที่สุดของ Hell Week คือวันอังคาร

(Hell Week คือการฝึกซ้อมของหน่วย SEAL ที่ขึ้นชื่อว่าหฤโหดสุดๆ)

“สัปดาห์นรก” เริ่มต้นในเช้าวันอาทิตย์ และเต็มไปด้วยบททดสอบที่ทรมานทั้งกายและใจ ทุกคนต้องอยู่กันแบบอดหลับอดนอนไปจนถึงวันศุกร์

วันอาทิตย์คุณจะถูกปลุกด้วยเสียงปืนกล ทั้งวันทั้งคืนคุณต้องวิ่ง คุณต้องแบกขอนไม้ คุณจะโดนดุด่าสารพัด คุณต้องอยู่ในน้ำเย็นยะเยือก

ส่วนวันจันทร์ก็เช่นกัน

น้ำเย็นเฉียบ บทดทดสอบ ขอนไม้ วิ่งลงทะเล

มีแบบฝึกหัดท้าทายมากมายที่ต้องทำตามคำสั่งเป๊ะๆ ถ้าไม่ทำตามก็จะโดนลงโทษ

นี่คือสิ่งที่นักเรียนทหารต้องเจอตลอดทั้งวันจันทร์

พอคืนวันจันทร์มาถึง ในขณะที่คนอื่นกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอุ่นๆ คุณกลับต้องมานอนอย่างหนาวสั่น หลังปวด แขนร้าว ขาก็เกร็งราวกับไม้กระดาน

แล้ววันอังคารก็มาถึง

คุณอ่อนล้าเหลือเกิน อ่อนล้ามากที่สุดเท่าที่เคยล้ามาทั้งชีวิต

แล้วคุณก็เริ่มคิดคำนวณในใจ ผ่านมาแค่สองวันยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วนี่ยังมาไม่ถึงครึ่งทางเลย วันศุกร์ช่างดูห่างไกลเหลือเกิน

ในวันอังคาร ตารางการฝึกที่รอคุณอยู่นั้นดูยากเย็นเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้

แล้วนักเรียนทหารก็จะเริ่มรู้สึกสงสารตัวเอง เริ่มรู้สึกว่าทำไมชีวิตต้องยากเย็นขนาดนั้น ทำไมต้องมาเจ็บปวดและเหน็ดเหนื่อยกันขนาดนี้

วันอังคารจึงเป็นวันที่มีคนสั่นระฆังเพื่อลาออกจากหน่วย SEAL เป็นจำนวนมาก

แล้วพ่อผมและคนที่ได้อยู่ต่อเขารับมือได้อย่างไรน่ะเหรอ?

พวกเขาใส่ใจกับการฝึกที่อยู่ตรงหน้าเพียงอย่างเดียว

ไม่มองไปไกลกว่านั้น ไม่คิดถึงวันศุกร์ ไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้ ไม่คิดถึงชั่วโมงถัดไปด้วยซ้ำ

แค่อยู่กับปัจจุบัน กับภารกิจเล็กๆ ตรงหน้า กับงานทีละชิ้น

เราสามารถประยุกต์เทคนิคนี้ได้กับหลายสิ่งในชีวิต

ไปฟิตเนส: โฟกัสกับการใส่รองเท้า ใส่ข้างหนึ่งก่อน แล้วก็อีกข้าง แล้วดูว่าเป็นยังไง

จากนั้นก็หยิบกุญแจ แล้วเดินขึ้นรถ แล้วโฟกัสไปที่การสตาร์ทรถ แล้วก็ขับรถไปที่ฟิตเนส

เตรียมสอบ: แค่ไปนั่งที่โต๊ะ ลองเปิดหนังสือ แล้วดูว่ารู้สึกยังไง

ลองอ่านสักหนึ่งหรือสองประโยค ลองดูว่าเป็นยังไง จากนั้นก็ค่อยอ่านสักหนึ่งย่อหน้า

ถ้าเราลดการมองเห็นของเราให้เหลือแค่ไม่กี่ขณะต่อจากนี้ เราก็จะลดภาระทางจิตใจที่จะเกิดขึ้นด้วย

แค่เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็สามารถลดแรงต้านที่ก่อให้เกิดความขี้เกียจและการผัดวัดประกันพรุ่งได้มากมายแล้ว


ขอบคุณเนื้อหาจาก Quora: Sean Kernan’s answer to What are some subtle behavioral tactics that defeat laziness?

นิทานพระจันทร์ในบ่อน้ำ

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ณ คืนวันเพ็ญ มีพ่อค้าจากต่างแดนเดินทางไกลมายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ที่ใจกลางหมู่บ้านนั้นมีบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเหล่าช่าวบ้านซึ่งล้วนแต่ถือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อยู่ครบมือ และชาวบ้านต่างก็ดูวุ่นอยู่กับบางสิ่งบางอย่างตรงใจกลางบ่อน้ำนั้น

พ่อค้าสงสัยว่าชาวบ้านกำลังทำอะไรอยู่ เขาจึงเอ่ยถามกับชาวบ้านคนหนึ่งว่า

“พวกท่านกำลังจะทำอะไรกัน”

ชาวบ้านคนนั้นจึงตอบว่า

“พระจันทร์ตกลงไปในบ่อน้ำของพวกข้า และตอนนี้พวกข้าก็กำลังพยายามช่วยพระจันทร์ขึ้นมาอีกครั้ง”

เมื่อได้เช่นนั้พ่อค้าก็หัวเราะและพูดออกไปว่า

“ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…สิ่งที่พวกท่านเห็นเป็นเพียงเงาสะท้อนของพระจันทร์จากฟากฟ้าเท่านั้นแหละ พวกท่านไม่น่าเสียเวลามาทำเรื่องไร้สาระนี้เลย

แต่ไม่มีชาวบ้านคนใดเชื่อที่พ่อค้ากล่าว ซ้ำยังนำข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในมือไล่ตีพร้อมขับไล่พ่อค้าออกไปจากหมู่บ้านในทันที


ขอบคุณนิทานจากหนังสือ นิทานอีสป 50 เรื่องสอนหนูน้อยให้เป็นเด็กดี 2 ภาษา อังกฤษ-ไทย สำนักพิมพ์ เอ็มไอเอส