เมื่อวานนี้อาจารย์นภดล ร่มโพธิ์เพิ่งรีวิวหนังสือ “ช้างกูอยู่ไหน” ลงในพอดคาสท์ Nopadol’s Story และระบุว่าช้างกูอยู่ไหนเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่อ่านจบในปี 2019
วันนี้ผมก็เลยอยากจะมาบอกว่า หนังสือเล่มแรกที่ผมอ่านจบในปี 2020 คือ “ความสุขปัจจุบันสุทธิ” ของอาจารย์นภดลนี่แหละครับ อ่านจบวันปีใหม่พอดีเลย
ผมได้รู้จักอาจารย์นภดลในงานที่ PMAT จัดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งทั้งอาจารย์และผมได้พูดใน session เดียวกันว่าด้วยเรื่อง OKR
ก่อนถึงวันงานผมก็เลยค้นประวัติของอาจารย์ดู แล้วก็ amazing มากเพราะอาจารย์นภดลได้เป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุสี่สิบกว่าๆ ซึ่งหลายคนน่าจะรู้ว่าการได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ในเมืองไทยเป็นเรื่องที่ยากมาก ยากกว่าการเป็น Professor ในเมืองนอกเสียอีก
ชื่อหนังสือ “ความสุขปัจจุบันสุทธิ” เป็นชื่อที่ชวนให้ค้นหาว่ามันคืออะไร ดังนั้นตอนที่ผมเปิดหนังสือขึ้นมา ผมก็รีบตรงไปที่หน้าสารบัญแล้วพลิกไปดูเรื่องนี้เป็นบทแรกเลย
ใครที่พอจะเข้าใจเรื่องการเงินอยู่บ้าง ย่อมจะเคยได้ยินคำว่า NPV หรือ Net Present Value
เพราะเงิน 100 บาทในอนาคต ย่อมมีมูลค่าน้อยกว่าเงิน 100 บาทในตอนนี้ ดังนั้นวิชาการเงินจึงมีสูตรเพื่อคำนวณว่าเงิน 100 บาทใน 10 ปีข้างหน้านั้นจะมี “มูลค่าปัจจุบันสุทธิ” หรือ NPV เท่าไหร่นั่นเอง ซึ่งถ้าให้ผมกะๆ เอาก็น่าจะประมาณ 60-70 บาท
มันก็เลยเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ Net Present Happiness หรือ “ความสุขปัจจุบันสุทธิ” ของอาจารย์นภดล ที่บอกว่าความสุขในอนาคต ไม่เท่ากับความสุขในตอนนี้ เราจึงยังไม่ทำสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าดีกับตัวเราในระยะยาว และเลือกสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุข “ที่นี่เดี๋ยวนี้” เลยมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น ฉันก็อยากหุ่นดีนะ แต่ความสุขที่จะได้หุ่นดีในอนาคตอาจจะมีมูลค่า 100 แต้ม พอคำนวณ NPH แล้วเหลือแค่ 70 แต้ม ขณะที่ถ้าฉันอยากกินชานมไข่มุกแล้วต้องอดใจไว้ คะแนนความสุขฉันจะลดฮวบทันที 100 แต้ม
70-100 = -30
พอค่าความสุขปัจจุบันสุทธิเป็นติดลบ ฉันเลยขอเลือกกินชานมไข่มุกดีกว่า
ดังนั้น ถ้าอยากจะให้ชีวิตเราดีขึ้น เราควรทำให้ค่า NPH ของเราเป็นบวกในทุกการตัดสินใจ อันจะนำมาซึ่งพฤติกรรมที่เป็นคุณกับเราในระยะยาว โดยอาจารย์นภดลก็ได้ให้คำแนะนำไว้ 3 ข้อ ส่วนจะมีวิธีใดบ้างลองไปหาอ่านดูนะครับ 🙂
—–
ผมขอยกตัวอย่างอีก 3 เรื่องที่ผมชอบเป็นพิเศษในหนังสือเล่มนี้
เรื่องแรกคือการผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งนับเป็นศัตรูของเรามาโดยตลอด เพราะมันทำให้เราไม่ได้เริ่มอะไรซักอย่าง
แต่เราสามารถใช้นิสัยนี้ให้เป็นคุณกับเราได้ ด้วยการ “ผัดผ่อนการทำไม่ดี” ออกไป
ยกตัวอย่างเช่น เราอยากจะกินข้าวให้เยอะกว่านี้ แต่ก็บอกตัวเองว่า พรุ่งนี้ค่อยกินดีกว่า จะกินให้เต็มที่เลย แล้วพอพรุ่งนี้มาถึงเราก็ผัดผ่อนการกินเยอะๆ ไปอีกรอบ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ผอมเสียแล้ว
หรือถ้าเวลาไปเดินห้างแล้วเห็นเสื้อที่อยากซื้อ ก็บอกตัวเองว่าเอาไว้ก่อน ไว้กลับถึงบ้านแล้วถ้ายังอยากซื้อค่อยมาซื้อใหม่ก็ยังไม่สาย ซึ่งมันจะทำให้เรารู้ว่าเราต้องการเสื้อตัวนั้นจริงๆ อยู่รึเปล่า
—–
เรื่องที่สองคือประโยคสั้นๆ แต่กินใจมาก
คำว่ารักสะกดว่า “เ-ว-ล-า”
เป็นคำแนะนำในการเลี้ยงลูกแต่จริงๆ มันก็ใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์
พ่อแม่สมัยนี้ภารกิจมากมายเหลือเกิน ขนาดวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังไม่ค่อยได้พัก (เช่นผมที่มานั่งเขียนบล็อกเป็นต้น!)
แต่ของขวัญที่มีค่าที่สุด และวิธีที่จะทำให้ลูกรับรู้ได้ดีที่สุดว่าเรารักเขาก็คือการให้เวลากับเขานั่นเอง
ส่วนจะไปจัดการยังไงก็ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของแต่ละคน ขอแค่ให้เราระลึกเสมอว่าลูกจะเป็นเด็กอยู่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เมื่อผ่านช่วงนี้ไป มันก็คือโอกาสที่ไม่อาจย้อนกลับ
—–
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะนำมาฝากจากหนังสือเล่มนี้คือคำถามสำคัญ:-
“ถ้าตัวเราในอีก 5 ปี ข้างหน้ามาคุยกับตัวเราตอนนี้ คิดว่าเขาจะบอกอะไรเรา”
เขาจะขอบคุณหรือเขาจะโกรธเคือง เขาจะเตือนหรือเขาจะชมเชย
เป็นคำถามที่อาจต้องใช้เวลาคิดค่อนข้างนาน แต่ผมเชื่อว่าคำถามที่ดีที่มาถูกที่ถูกเวลามันมีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนทิศทางของชีวิตคนคนหนึ่งได้เลย
—–
ยังมีอีกหลายข้อความที่ชวนให้คิดให้ค้นต่อในหนังสือเล่มนี้ เช่น
– บางทีเราก็ไม่ควรมีความอดทน
– เราไม่เคยยุ่งจนไม่ได้กินข้าวติดต่อกัน 3 วัน
– ที่มันยากเพราะมันยังไม่ใช่นิสัย ถ้าเป็นนิสัยมันก็ไม่ยาก
และอาจารย์นภดลได้แชร์เทคนิคที่ช่วยให้อาจารย์ทำงานวิจัยออกมาได้มากมาย ไขข้อสงสัยของผมว่าทำไมถึงได้ตำแหน่งศาสตราจารย์รวดเร็วเช่นนี้
โดยสรุป ความสุขปัจจุบันสุทธิจึงเป็นหนังสือที่ดี อ่านง่าย ควรแก่การซื้อเป็นของขวัญให้ตัวเองและคนรักในปีใหม่นี้ครับ
ป.ล. ถ้าเข้าเว็บของซีเอ็ด แล้วหาหนังสือความสุขปัจจุบันสุทธิ จะเห็นว่าคนที่ซื้อหนังสือเล่มนี้ มักจะซื้อหนังสือช้างกูอยู่ไหน และหนังสือ วิธีแก้ปัญหายากให้ง่ายฯ ไปอ่านด้วยกันครับ 😉