สิ่งที่เกิดขึ้นหลังอ่าน Four Thousand Weeks ครบ 1 ปี

Four Thousand Weeks | Time Management for Mortals เป็นหนังสือที่เขียนโดย Oliver Burkeman ชาวอังกฤษ ตีพิมพ์เมื่อปี 2021

Four Thousand Weeks ได้รับการแปลเป็นไทยโดยอมรินทร์ How to ภายใต้ชื่อ “ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์” เมื่อปลายปี 2022 และติดอันดับ Bestseller อย่างรวดเร็ว

ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่คนไทยได้อ่านหนังสือเล่มนี้กันมากขึ้น เพราะตอนที่ผมคิดจะอ่าน Four Thousand Weeks ฉบับภาษาอังกฤษ ผมหาซื้อในเมืองไทยไม่ได้ ต้องสั่งออนไลน์จากเว็บ Book Depository และต้องรออยู่หลายเดือนกว่าหนังสือจะมาส่ง

ผมอ่าน Four Thousand Weeks จบภายใน 2 สัปดาห์เมื่อเดือนมีนาคม 2022 และใช้เวลาอยู่นานนับเดือนกว่าจะตกผลึกพอที่จะเขียนบทความ “17 บทเรียนจาก Four Thousand Weeks หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2022

เวลาล่วงเลยมา 1 ปีแล้ว มีเวลาว่างช่วงหยุดสงกรานต์ จึงนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากเขียนรีวิว

ไม่ใช่รีวิวหนังสือ แต่รีวิวชีวิตตัวเอง เพื่อให้ผู้ติดตาม Anontawong’s Musings ได้พอเห็นภาพว่า Four Thousand Weeks นั้นได้เปลี่ยนมุมมองและการกระทำของผมไปอย่างไรบ้างในรอบ Fifty Two Weeks ที่ผ่านมาครับ

1.กระบวนการ “ถอนพิษ” ที่บังคับให้เราสบตากับความจำกัดของชีวิต

คนที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างยิ่ง คือคนที่หลงใหลหรือหมกมุ่นกับการเป็นคน productive เพื่อจะได้มี work-life balance ที่ดี

ถ้าคุณอ่านหนังสืออย่าง Eat That Frog, Getting Things Done, The 7 Habits of Highly Effective People, Atomic Habits คุณควรอ่าน Four Thousand Weeks มากกว่าใครเพื่อน

เพราะมันจะช่วย “ถอนพิษ” และ “ปรับสมดุล” ให้กับมายด์เซ็ตของคุณ

เพื่อนร่วมงานชาวสิงคโปร์ของผมคนหนึ่งเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมาก ตอนที่เขามาเริ่มงานใหม่ๆ ผมเล่าให้เขาฟังว่าผมเพิ่งอ่าน Four Thousand Weeks จบ เพื่อนร่วมงานคนนี้บอกว่าเขาก็ได้อ่านแล้วเหมือนกัน

แล้วเขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ผมจำได้ไม่มีวันลืม:

“He’s basically saying that everything you know about time management is wrong.”

อาจฟังดูโอเวอร์ไปนิด แต่ก็เป็นบทสรุปรวบยอดที่เหมาะสมสำหรับหนังสือ Four Thousand Weeks

Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือชี้ให้เราเห็นว่า ที่เราพยายามจะ productive กันอยู่นี้ เพราะว่าเราไม่อยากสบตากับความจริงที่ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย

ความจริงของชีวิตคือความจำกัดของมัน (finitude) แต่เราไม่สบายใจกับความจริงข้อนี้ เราเลยพยายามสร้างความไม่จำกัด (infinite) ด้วยการหาวิธีทำอะไรให้ได้เยอะที่สุด ภายในเวลาที่น้อยที่สุด

.

2.เกิดอาการ “ช็อคน้ำ”

ประเด็นที่ทำให้ผม “สลดใจ” ได้มากที่สุดในหนังสือเล่มนี้ ก็คือเมื่อเราพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่า ไม่ว่าจะกับเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวก็แล้วแต่ เราก็กำลัง “ใช้ชีวิตเพื่อวันพรุ่งนี้” อยู่

สำหรับคน productive ที่พยายามใช้เวลาไปกับ “สิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” (Q2) ทุกอย่างที่เราทำในวันนี้ ก็เพื่อให้เรามีอนาคตที่ดียิ่งขึ้น เราทำงานเพื่อจะได้เก็บเงินสร้างอนาคต เราซ้อมวิ่งเพื่อจะทำลายสถิติเดิม เราอ่านหนังสือเพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเอง เราใช้เวลากับลูกเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี

แต่เมื่อเราทำทุกอย่างเพื่อวันพรุ่งนี้ตลอดเวลา เราก็กำลังตัดโอกาสที่ตัวเองจะได้มีความสุขในวันนี้เช่นกัน

เหมือนคนอดเปรี้ยวไว้กินหวานจนเคยตัว ทุกวันของชีวิตเขาเลยอดเปรี้ยวไปเรื่อยๆ พอวันสุดท้ายมาถึง คิดจะกินหวานก็ไม่ทันการแล้ว

ที่ผมสลดใจ เพราะว่าผมใช้ชีวิตแบบนี้มาโดยตลอด พยายามสร้าง routine/habits ที่ลงตัวที่สุด หา time management system ที่ดีที่สุดเพื่อจะได้ทำงานอย่าง productive และจะได้สร้างอนาคตที่ดีอย่างที่วาดภาพเอาไว้

“วันนี้” จึงกลายเป็นเพียงเครื่องมือของการสร้าง “วันพรุ่งนี้” ที่ดีกว่าเรื่อยไป – จนกว่าเราจะไม่มีวันพรุ่งนี้เหลืออีกแล้ว

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบใหม่ๆ ผมจึงมีอาการ “ช็อคน้ำ” อยู่ร่วม 2 เดือน – routine และ time management techniques ต่างๆ ที่ผมเคยมั่นใจ ผมทิ้งมันไปเกือบหมด

ถ้าจะเปรียบชีวิตช่วงนั้นให้เห็นภาพก็น่าจะเหมือนคนตกงานที่ไม่โกนหนวดโกนเครา ไม่ออกจากบ้าน นอนแฉะๆ สั่งจั๊งก์ฟู้ดมากินทุกมื้อ (อันนี้แค่เปรียบเปรยนะครับ ไม่ได้ทำจริงๆ) ทำงานแต่ละวันอย่างสะเปะสะปะ และความ productive ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะกลับมาเป็นปกติ

เมื่อมองย้อนกลับไป ผมว่ามันเป็นกระบวนการหนึ่งที่ผมต้องผ่าน มันคือการถอนรากถอนโคนสิ่งที่ผมเคยยึดมั่นถือมั่น เป็นการทุบตัวเองทิ้งให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงเพื่อก่อร่างสร้างตนขึ้นมาใหม่

.

3.ทำเรื่อง “ไร้สาระ” มากขึ้น

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสิ่งแรกๆ ที่ผมทำหลังอ่าน Four Thousand Weeks จบ คือโหลดเกม Championship Manager 01/02 มาเล่น

เกมนี้อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว มันคือการสวมบทบาทผู้จัดการทีมฟุตบอลที่สามารถซื้อ-ขายนักเตะ เพื่อสร้างทีมที่เราอยากเห็น แล้วให้เกมมัน simulate ว่าทีมเราชนะทีมคู่แข่งได้รึเปล่า คนที่เล่มเกมนี้จะรู้จักตัวเทพๆ อย่าง Maxim Tsigalko หรือ Arjen Robben เป็นอย่างดี

เหตุผลที่ผมกลับมาเล่นเกมนี้ใหม่ เพราะสำนึกได้ว่าผมห้ามตัวเองไม่ให้มีความสุขมานานเกินไป ก็เลยคิดว่าควรทำสิ่งที่เคยสร้างความสุขให้ตัวเองอีกครั้ง แม้มันจะไม่ค่อยมีสาระก็ตาม

อีกอย่างที่ผมเริ่มทำ คือดูซีรี่ส์เกาหลีในเน็ตฟลิกซ์กับแฟน ไม่ว่าจะเป็น Extraordinary Attorney Woo (อูยองอู ทนายอัจฉริยะ), Business Proposal (นัดบอดวุ่น ลุ้นรักท่านประธาน) รวมถึงเรื่องดังล่าสุดอย่าง The Glory

การทำสิ่ง “ไร้สาระ” หรือเรื่องไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (Q4) คือการถอนพิษของคนที่พยายาม productive ตลอดเวลา

การเล่นเกมหรือการดูซีรี่ส์ ไม่ได้ทำไปเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้น แต่เป็นการทำเพื่อความสุขในวันนี้ล้วนๆ

ไม่ได้หมายความว่าการเล่นเกมนานๆ หรือดูซีรี่ส์ติดกันหลายๆ ตอนเป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และจำเป็นสำหรับผมที่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบมีสาระมานานเกินไปเท่านั้นเอง

.

4.ไม่รีรอที่จะทำความดี เล็กๆ น้อยๆ

แม้จะไม่ใช่หนังสือแนว How To ทั่วไป ในบทท้ายๆ ของหนังสือ Oliver Burkeman ก็ยังใจดีให้ tips & tricks สำหรับการจัดการเวลาในแบบฉบับ Four Thousand Weeks

เช่นการ ‘อย่า’ ทำทีละหลายโปรเจ็คพร้อมกัน (serialize, serialize, serialize) หรือการตัดสินใจล่วงหน้าไปเลยว่าเราจะล้มเหลวในเรื่องอะไร (decide in advance what you want to fail at) เช่นถ้าตอนนี้เรามีลูกเล็ก ก็บอกตัวเองเลยว่าเราจะไม่พยายามจัดบ้านให้เรียบร้อยแบบ KonMari (ขนาด Marie Kondo ยังทำไม่ได้เลย)

แต่คำแนะนำที่ดูผิดที่ผิดทางที่สุด คือคำแนะนำที่ว่า ถ้าอยากทำเรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ให้ทำมันตอนนี้เลย

เช่น เราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วชอบมาก ให้หาอีเมลหรือเพจของผู้เขียนและส่งข้อความสั้นๆ ไปขอบคุณเขาได้เลย

เพราะสิ่งที่เรามักจะทำกัน คือเราจะรอให้มีเวลาก่อน จะได้บรรจงเขียนข้อความอย่างตั้งใจให้สมน้ำสมเนื้อกับความรู้สึกขอบคุณที่เรามีต่อเขา

แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราจะหาเวลาแบบนั้นไม่ได้ และข้อความขอบคุณของเราก็ไม่เคยถูกส่งหาผู้เขียนหนังสือเลย

ดังนั้น ถ้ารู้สึกอยากทำเรื่องดีๆ ที่เรารู้ว่าจะสร้างความชุ่มชื่นให้หัวใจ ก็จงทำมันเสียตอนนี้ อย่ารอให้พร้อม เพราะวันที่พร้อมมักไม่เคยมาถึง

ผมลองทำตามคำแนะนำนี้แล้วมันเวิร์คจริงๆ เขียนไปขอบคุณหรือชมคนหลายคนโดยที่เขาไม่ได้คาดหวัง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือตัว Oliver Burkeman ด้วย

.

5.จ้องหน้าลูกนานขึ้น

นิสัยอย่างหนึ่งของคน productive คือเราจะมีชีวิตที่ “มุ่งไปข้างหน้า” ตลอดเวลา

เมื่อสายตาจับจ้องที่จุดหมายเราจึงละเลยคนข้างกายอยู่เสมอ (แล้วก็มารู้สึกผิดทีหลัง)

เมื่อได้อ่าน Four Thousand Weeks มันทำให้ผมลดการ “ทำทุกอย่างเพื่อวันพรุ่งนี้” มาเป็นคนที่หัด “ทำบางอย่างเพื่อวันนี้-ตอนนี้”

เมื่อชีวิตไม่ได้เอาแต่รุดไปข้างหน้า ก็เลยสังเกตสังกามากขึ้น

พฤติกรรมหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือผมมีเวลาพินิจพิเคราะห์หน้าตาของลูก

ทั้งดวงตา รูปหน้า คิ้ว ใบหู ขี้แมลงวัน หรือแม้กระทั่งโพรงจมูก

ดูแล้วก็เพลินดี ว่านี่คือสิ่งมีชีวิตที่เราสร้างขึ้นมาเองกับมือ

เมื่อเราหยุดมุ่งไปข้างหน้า เราอาจจะทำอะไรได้น้อยลงกว่าเดิมก็จริง แต่เราจะได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ และเราจะทำมันได้ “ลึก” กว่าเดิม

.

6.เลิกเขียนบล็อกทุกวัน

ผมคิดว่าการเขียนบล็อกทุกวัน หรือการตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านั้นเท่านี้ คือหนึ่งในอาการของการทำตัวให้ infinite เพื่อจะได้ไม่ต้องสบตากับ finitude ในตัวเรา

เราพยายามจะทำสถิติ เราพยายามจะ beat yesterday เพื่อบอกตัวเองว่าเราดีกว่านี้ได้ เราสามารถเป็นคนที่เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบกว่านี้ได้

การพยายามเขียนบล็อกทุกวัน ถ้ามองให้ลึกลงไปมันคือการพยายามสร้างความประทับใจให้กับคนที่ผมไม่รู้จัก คือการโหยหาการยอมรับและคำชมเชย

แต่การทำอย่างนั้นมันสร้างความตึงเครียดให้ชีวิต วันไหนที่ผมคิดหัวข้อบล็อกไม่ออกผมจะอารมณ์ขุ่นมัวไปทั้งวัน และการคาดคั้นกับตัวเองมากเกินไปอาจจะนำไปสู่การ compromise สิ่งที่สำคัญกว่าสถิติ นั่นคือคุณภาพของงานที่เราผลิตออกมา

เมื่อตอนต้นปีนี้ ผมเลยประกาศไปว่า จะไม่เขียนบล็อกทุกวันแล้ว แต่จะเขียนบล็อก “เกือบ” ทุกวันแทน

การทำอะไรเกือบทุกวัน Oliver Burkeman เรียกมันว่า “dailyish”

เพราะเราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะสร้างงานทุกชิ้นออกมาได้มาตรฐานแบบสายพานการผลิต

เราเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความไม่เพอร์เฟ็กต์ บางวันก็ทำได้ดี บางวันก็ทำได้แย่ เราจึงควรยอมรับ finitude ที่เรามี และล้มเลิกความคิดที่จะสร้างมาตรฐานอันสูงส่งเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้

Eigenzeit เป็นภาษาเยอรมัน มีความหมายว่า “เวลาที่จำเป็นต้องใช้โดยธรรมชาติสำหรับงานหรือกิจกรรมนั้นๆ”

แทนที่จะคาดคั้นว่าจะต้อง “ได้งาน” ภายในเวลานั้นเวลานี้ หากเราเลือกได้ เราควรปล่อยให้สิ่งต่างๆ ใช้เวลาอย่างที่มันควรจะเป็นน่าจะดีกว่า

เมื่อล้มเลิกความตั้งใจที่จะต้องเขียนบล็อกทุกวัน ผมสังเกตว่ามีความผ่อนคลายกว่าเดิม มีเรื่องที่อยากจะเขียนมากขึ้น และพอใจกับผลงานของตัวเองมากกว่าเดิมด้วย

ส่วนวันไหนไม่มีเรื่องจะเขียน หรือไม่มีเวลาจะเขียน ผมก็ถือโอกาสพักโดยไม่รู้สึกผิดเหมือนแต่ก่อน

.

7.มองผ่านเลนส์วิเศษ

หนึ่งในคุณูปการที่สำคัญที่สุดของหนังสือ Sapiens – A Brief History of Humankind ของ Yuval Noah Harari ก็คือมันชี้ให้เราเห็นว่าอะไรเป็นของจริง และอะไรคือสิ่งสมมติ

คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นของจริง ส่วน เงิน บริษัท ประเทศชาติ เป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นเองจากจินตนาการร่วม

สิ่งสมมตินั้นมีประโยชน์ เพราะมันทำให้เราร่วมมือกันในระดับที่ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใดทำได้มาก่อน แต่มันก็มีโทษหากเราเอาเป็นเอาตายกับมันมากเกินไป

การอ่าน Sapiens จึงทำให้เราได้เลนส์วิเศษ ที่ส่องเห็นความเป็นสมมติของสิ่งต่างๆ รอบตัว ทำให้เราไม่ take things too seriously.

หนังสือ Four Thousand Weeks ก็มีคุณูปการคล้ายๆ กับ Sapiens ในแง่ที่มันได้มอบเลนส์วิเศษที่ทำให้เรามองเห็นสิ่งเดิมๆ ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

“5 วิธีลดอาการผัดวันประกันพรุ่ง” “ทำให้น้อยลงแต่เสร็จมากขึ้น” “วิธีจดโน้ตที่ช่วยให้จำได้ไม่ลืม”

บทความเหล่านี้ล้วนมีเป้าประสงค์ที่ดี แต่เมื่อมองจากเลนส์ Four Thousand Weeks เราก็จะเห็นว่าบทความทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานเดียวกัน

สมมติฐานที่ว่าหากเรารู้จักเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ มากพอ วันหนึ่งเราจะได้มาซึ่งชีวิตที่จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด ทำงานเสร็จแบบไม่มีอะไรค้างคา แถมยังมีเวลาเหลือให้ทำในทุกสิ่งที่อยากทำ

แต่สถานการณ์แบบนั้นจะไม่มีวันมาถึง เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยข้อจำกัดและเรื่องไม่คาดฝัน

เมื่อเราล้มเลิกความคิดที่จะ “เอาอยู่” ในทุกๆ เรื่อง เราก็จะปลดปล่อยตัวเองจากความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้ และกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

ที่เขียนอย่างนี้ใช่ว่าจะให้ปฏิเสธทุกเรื่องราวของความ productive นะครับ เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจเรื่อง finitude เราจะเห็นบทความเหล่านี้ในแบบที่มันเป็น ไม่ใช่ในแบบที่เราอยากให้เป็น ดังคำกล่าวที่ว่า

“ก่อนเรียนรู้เซน ภูเขาคือภูเขา แม่น้ำคือแม่น้ำ

ขณะเรียนรู้เซน ภูเขาไม่ใช่ภูเขา แม่น้ำไม่ใช่แม่น้ำ

หลังถ่องแท้ในเซน ภูเขาคือภูเขา แม่น้ำคือแม่น้ำ”

กล่าวโดยสรุป – Four Thousand Weeks เป็นหนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่านในชีวิต และเชื่อว่าจะได้กลับมาอ่านซ้ำอีกหลายครั้งในอีกประมาณ 2000 สัปดาห์ที่เหลือครับ

22 คมคำ หนังสือผู้นำล่องหน

1.”ในการปกครองชั้นเยี่ยม ผู้คนจะไม่รู้สึกตัวว่าถูกปกครอง” -เหล่าจื้อ

2.”ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงหาใช่เป็นการนั่งอยู่บนหัวคน หากเป็นการนั่งอยู่ในหัวใจคน” -หลวงวิจิตรวาทการ

3.เคยมีคนบอกผมว่า ความเสี่ยงสูงสุดของ THE STANDARD คือตัวผมเอง

4.ผู้คนต้องการให้งานร้อยเรียงเข้ากับชีวิตด้านอื่นของตน ไม่ใช่ต้องปรับชีวิตที่เหลือให้เข้ากับตารางงานเพียงอย่างเดียว -แอนโทนี คลอตซ์

5.”ผู้นำคือผู้ที่มีคนอยากตาม” -อานันท์ ปันยารชุน

6.ผู้นำต้องเป็นคนแรกๆ ที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพราะผู้นำเก่งที่สุด แต่เพราะคุณคือคนที่ว่างที่สุดในองค์กร คุณไม่ได้พายเรือเหมือนคนอื่นๆ แต่คุณคือคนที่นั่งอยู่ท้ายเรือ หรืออาจจะถือกล้องส่องทางไกลอยู่บนกระโดงเรือ ถ้าในองค์กรขนาดเล็ก คุณอาจเป็นคนเดียวด้วยซ้ำที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น เนื่องจากคนอื่นกำลังง่วนอยู่กับงานประจำตรงหน้า

7.เราไม่ได้กลัวความเปลี่ยนแปลง แต่เรากำลังสู้กับอัตตาของตัวเองที่กระซิบข้างหูว่า “คุณประสบความสำเร็จดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก”…เผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่รู้ สบตากับสิ่งที่เราไม่เห็นอย่างแท้จริง จนเห็นว่าความจริงมันไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าจินตนาการของเรา กลัวสิ่งใด จงเป็นส่วนหนึ่งของความกลัวนั้น ผมพบว่าความกลัวนี่น่ากลัวกว่าสิ่งที่เรากลัวอีก

8.การเรียนรู้ที่สมบูรณ์เกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นถูกนำมาใช้จริง ตัวชี้วัด (KPI) ของคอร์สอบรมในองค์กรจึงต้องไม่ใช่จำนวนการเข้าร่วมอบรม จำนวนหนังสือที่อ่าน หรืองานเสวนาที่เข้าไปฟัง หากต้องวัดด้วยผลงานที่ได้มาจากการเรียนรู้นั้น

9.เราต้องฆ่าตัวเองในความหมายของการรื้อถอนสิ่งเก่าทิ้งก่อน เพื่อให้สิ่งใหม่มีที่ทางของมัน และธรรมชาติที่วิวัฒน์ไปเช่นนี้เองจะช่วยซ่อมแซมให้เราแกร่งกว่าเดิม

10.ไม่ว่าจะเป็นผู้นำรุ่นใหญ่หรือรุ่นใหม่ เขามักทำสิ่งหนึ่งที่คล้ายกัน คือเขามักจะถามผมว่ามีอะไรจะสอนเขาบ้างไหม

11.”คุณต้องเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เห็นในสิ่งที่ดาต้าไม่ได้บอก ถามผู้เชี่ยวชาญการตลาดก็ไม่รู้หรอก คุณจะต้องเดินเข้าไปในตลาดด้วยตัวเอง” -เสถียร เศรษฐสิทธิ์

12.”คนสร้างสรรค์กับคนเพ้อฝันเหมือนกันเกือบทุกอย่าง ต่างกันแค่อย่างเดียวคือผลลัพธ์” -สมโภชน์ อาหุนัย

13.หัวใจของกลยุทธ์มี 3 คุณลักษณะ – Superior ต้องทำให้คุณเหนือกว่าคู่แข่ง Long Term ต้องเป็นความสำเร็จอย่างยั่งยืน Performance ต้องเป็นผลงานที่วัดได้ -โรเบิร์ต แอล. มาร์ติน

14.[ถาม: ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ มีอะไรที่อยากแก้ไขไหมครับ]

“ผมอยากนอนให้น้อยลง คุยกับคนให้เยอะกว่านี้” -ทักษิณ ชินวัตร

[ตอนเป็นนายก คุณทักษิณทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจ ทว่าให้ความสำคัญกับการสื่อสารน้อยเกินไป จนเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาขาดแคลน Engagement จากผู้คนในหลายระดับ โดยเฉพาะบรรดาคนสำคัญที่เขาจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ]

15.”เวลาพูดอะไรแล้วคนไม่เข้าใจ ให้โทษตัวเอง อย่าโทษคนฟัง” -อานันท์ ปันยารชุน

16.”เราไม่ได้ทำงานให้ Microsoft แต่ Microsoft ต่างหากที่ทำงานให้เรา” -สัตยา นาเดลลา พูดกับพนักงาน

17.ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง ‘ผู้ปกครองสี่ระดับ’ ได้แก่

ระดับหนึ่ง ผู้ปกครองที่ประชาชนเกลียด
ระดับสอง ผู้ปกครองที่ประชาชนกลัว
ระดับสาม ผู้ปกครองที่ประชาชนรักใคร่
ระดับสี่ ผู้ปกครองที่ประชาชนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ แต่เมื่องานการสำเร็จ พวกเขาจะพูดกันว่าประหลาดจัง เราทำสำเร็จได้ด้วยตัวเราเอง

18.ผู้นำที่จะพัฒนาตนจนสูงสุดถึงระดับที่สี่และทำให้ผู้คนสามารถปกครองกันเองได้ แปลว่าเขาสามารถพัฒนาภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นในตัวผู้ตามของเขาทุกคน จากผู้ตามจึงเป็นผู้นำในชีวิตของตน มีอิสรเสรีในการตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง

19.หลายคนกลัวลูกน้องเก่งกว่าตัวเอง แต่คุณต้องไม่ลืมว่ายิ่งลูกน้องเก่งแค่ไหน คุณจะยิ่งสบายแค่นั้น

20.ความผิดพลาดที่กระทบถึงชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์องค์กร ผู้นำต้องเป็นคนแรกที่ออกหน้ารับกระสุนก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกน้องรับมือกันไปตามยถากรรม

21.ไม่มีปลาตัวไหนรอดได้ในน้ำที่เน่าเสีย ไม่ว่าปลาตัวนั้นจะใหญ่ แข็งแรง หรือว่ายเร็วเพียงใด

22.”อีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกเสียดาย คือผมคิดว่าเมืองไทยเรามักเสียโอกาสอยู่เรื่อยมา ทั้งที่เรามีศักยภาพจะเป็นฮับได้ทุกอย่าง ทั้งในแง่ตำแหน่งที่ตั้ง การเดินทาง การขนส่ง การผลิต แม้กระทั่งสติปัญญา ความฉลาด ผมว่าเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร คนรุ่นหลังๆ เขามีความสามารถ มีความคิด เวลาผมคุยกับคนรุ่นเด็กๆ ผมมีความหวังนะ ขอแค่พวกผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ เปิดใจกว้าง แล้วยอมรับให้ได้ว่ายุคสมัยของตัวเองผ่านพ้นไปแล้ว” -อานันท์ ปันยารชุน


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ “The Invisible Leader ผู้นำล่องหน” เคน นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ เขียน

รีวิวหนังสือ ความสุขปัจจุบันสุทธิ

20200105b

เมื่อวานนี้อาจารย์นภดล ร่มโพธิ์เพิ่งรีวิวหนังสือ “ช้างกูอยู่ไหน” ลงในพอดคาสท์ Nopadol’s Story และระบุว่าช้างกูอยู่ไหนเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายที่อ่านจบในปี 2019

วันนี้ผมก็เลยอยากจะมาบอกว่า หนังสือเล่มแรกที่ผมอ่านจบในปี 2020 คือ “ความสุขปัจจุบันสุทธิ” ของอาจารย์นภดลนี่แหละครับ อ่านจบวันปีใหม่พอดีเลย

ผมได้รู้จักอาจารย์นภดลในงานที่ PMAT จัดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งทั้งอาจารย์และผมได้พูดใน session เดียวกันว่าด้วยเรื่อง OKR

ก่อนถึงวันงานผมก็เลยค้นประวัติของอาจารย์ดู แล้วก็ amazing มากเพราะอาจารย์นภดลได้เป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุสี่สิบกว่าๆ ซึ่งหลายคนน่าจะรู้ว่าการได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ในเมืองไทยเป็นเรื่องที่ยากมาก ยากกว่าการเป็น Professor ในเมืองนอกเสียอีก

ชื่อหนังสือ “ความสุขปัจจุบันสุทธิ” เป็นชื่อที่ชวนให้ค้นหาว่ามันคืออะไร ดังนั้นตอนที่ผมเปิดหนังสือขึ้นมา ผมก็รีบตรงไปที่หน้าสารบัญแล้วพลิกไปดูเรื่องนี้เป็นบทแรกเลย

ใครที่พอจะเข้าใจเรื่องการเงินอยู่บ้าง ย่อมจะเคยได้ยินคำว่า NPV หรือ Net Present Value

เพราะเงิน 100 บาทในอนาคต ย่อมมีมูลค่าน้อยกว่าเงิน 100 บาทในตอนนี้ ดังนั้นวิชาการเงินจึงมีสูตรเพื่อคำนวณว่าเงิน 100 บาทใน 10 ปีข้างหน้านั้นจะมี “มูลค่าปัจจุบันสุทธิ” หรือ NPV เท่าไหร่นั่นเอง ซึ่งถ้าให้ผมกะๆ เอาก็น่าจะประมาณ 60-70 บาท

มันก็เลยเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ Net Present Happiness หรือ “ความสุขปัจจุบันสุทธิ” ของอาจารย์นภดล ที่บอกว่าความสุขในอนาคต ไม่เท่ากับความสุขในตอนนี้ เราจึงยังไม่ทำสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าดีกับตัวเราในระยะยาว และเลือกสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุข “ที่นี่เดี๋ยวนี้” เลยมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น ฉันก็อยากหุ่นดีนะ แต่ความสุขที่จะได้หุ่นดีในอนาคตอาจจะมีมูลค่า 100 แต้ม พอคำนวณ NPH แล้วเหลือแค่ 70 แต้ม ขณะที่ถ้าฉันอยากกินชานมไข่มุกแล้วต้องอดใจไว้ คะแนนความสุขฉันจะลดฮวบทันที 100 แต้ม

70-100 = -30

พอค่าความสุขปัจจุบันสุทธิเป็นติดลบ ฉันเลยขอเลือกกินชานมไข่มุกดีกว่า

ดังนั้น ถ้าอยากจะให้ชีวิตเราดีขึ้น เราควรทำให้ค่า NPH ของเราเป็นบวกในทุกการตัดสินใจ อันจะนำมาซึ่งพฤติกรรมที่เป็นคุณกับเราในระยะยาว โดยอาจารย์นภดลก็ได้ให้คำแนะนำไว้ 3 ข้อ ส่วนจะมีวิธีใดบ้างลองไปหาอ่านดูนะครับ 🙂

—–

ผมขอยกตัวอย่างอีก 3 เรื่องที่ผมชอบเป็นพิเศษในหนังสือเล่มนี้

เรื่องแรกคือการผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งนับเป็นศัตรูของเรามาโดยตลอด เพราะมันทำให้เราไม่ได้เริ่มอะไรซักอย่าง

แต่เราสามารถใช้นิสัยนี้ให้เป็นคุณกับเราได้ ด้วยการ “ผัดผ่อนการทำไม่ดี” ออกไป

ยกตัวอย่างเช่น เราอยากจะกินข้าวให้เยอะกว่านี้ แต่ก็บอกตัวเองว่า พรุ่งนี้ค่อยกินดีกว่า จะกินให้เต็มที่เลย แล้วพอพรุ่งนี้มาถึงเราก็ผัดผ่อนการกินเยอะๆ ไปอีกรอบ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ผอมเสียแล้ว

หรือถ้าเวลาไปเดินห้างแล้วเห็นเสื้อที่อยากซื้อ ก็บอกตัวเองว่าเอาไว้ก่อน ไว้กลับถึงบ้านแล้วถ้ายังอยากซื้อค่อยมาซื้อใหม่ก็ยังไม่สาย ซึ่งมันจะทำให้เรารู้ว่าเราต้องการเสื้อตัวนั้นจริงๆ อยู่รึเปล่า

—–

เรื่องที่สองคือประโยคสั้นๆ แต่กินใจมาก

คำว่ารักสะกดว่า “เ-ว-ล-า”

เป็นคำแนะนำในการเลี้ยงลูกแต่จริงๆ มันก็ใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์

พ่อแม่สมัยนี้ภารกิจมากมายเหลือเกิน ขนาดวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังไม่ค่อยได้พัก (เช่นผมที่มานั่งเขียนบล็อกเป็นต้น!)

แต่ของขวัญที่มีค่าที่สุด และวิธีที่จะทำให้ลูกรับรู้ได้ดีที่สุดว่าเรารักเขาก็คือการให้เวลากับเขานั่นเอง

ส่วนจะไปจัดการยังไงก็ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของแต่ละคน ขอแค่ให้เราระลึกเสมอว่าลูกจะเป็นเด็กอยู่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เมื่อผ่านช่วงนี้ไป มันก็คือโอกาสที่ไม่อาจย้อนกลับ

—–

เรื่องสุดท้ายที่ผมจะนำมาฝากจากหนังสือเล่มนี้คือคำถามสำคัญ:-

“ถ้าตัวเราในอีก 5 ปี ข้างหน้ามาคุยกับตัวเราตอนนี้ คิดว่าเขาจะบอกอะไรเรา”

เขาจะขอบคุณหรือเขาจะโกรธเคือง เขาจะเตือนหรือเขาจะชมเชย

เป็นคำถามที่อาจต้องใช้เวลาคิดค่อนข้างนาน แต่ผมเชื่อว่าคำถามที่ดีที่มาถูกที่ถูกเวลามันมีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนทิศทางของชีวิตคนคนหนึ่งได้เลย

—–

ยังมีอีกหลายข้อความที่ชวนให้คิดให้ค้นต่อในหนังสือเล่มนี้ เช่น

– บางทีเราก็ไม่ควรมีความอดทน
– เราไม่เคยยุ่งจนไม่ได้กินข้าวติดต่อกัน 3 วัน
– ที่มันยากเพราะมันยังไม่ใช่นิสัย ถ้าเป็นนิสัยมันก็ไม่ยาก

และอาจารย์นภดลได้แชร์เทคนิคที่ช่วยให้อาจารย์ทำงานวิจัยออกมาได้มากมาย ไขข้อสงสัยของผมว่าทำไมถึงได้ตำแหน่งศาสตราจารย์รวดเร็วเช่นนี้

โดยสรุป ความสุขปัจจุบันสุทธิจึงเป็นหนังสือที่ดี อ่านง่าย ควรแก่การซื้อเป็นของขวัญให้ตัวเองและคนรักในปีใหม่นี้ครับ


ป.ล. ถ้าเข้าเว็บของซีเอ็ด แล้วหาหนังสือความสุขปัจจุบันสุทธิ จะเห็นว่าคนที่ซื้อหนังสือเล่มนี้ มักจะซื้อหนังสือช้างกูอยู่ไหน และหนังสือ วิธีแก้ปัญหายากให้ง่ายฯ ไปอ่านด้วยกันครับ 😉