เราไม่ใช่วัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว

สมัยเรายังเด็ก เราอาจรู้สึกว่าพ่อแม่ของเราเขาเป็นผู้ใหญ่เหลือเกิน

ความเป็นผู้ใหญ่อาจนิยามได้ในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องความรับผิดชอบ การแบกรับภาระ การดูแลคนในครอบครัว การทำงานหนัก ความเสียสละ

แต่ถ้าชีวิตใครเดินทางขึ้นเลขสี่เหมือนผม อายุพอๆ กับพ่อแม่สมัยที่เรายังเป็นเด็ก แม้ว่าความร่วงโรยของร่างกายจะเริ่มแวะเวียนมาทักทาย แต่ “ข้างใน” ของเราไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เหมือนอย่างที่เราเคยจินตนาการไว้ มันยังมีความเป็นวัยรุ่นอยู่มากพอสมควร

ความเป็นวัยรุ่นอาจนิยามได้หลายแง่มุม ทั้งเรื่องความรักสนุก ความรักสบาย ความเห็นแก่ตัว ความวู่วาม ความตีโพยตีพาย ความอยากเอาชนะ

เวลามีปัญหาในที่ทำงานหรือในความสัมพันธ์ เจ้าวัยรุ่นคนนี้มักจะโผล่มาบ่อยๆ พาให้เราหัวร้อน พาให้เราทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ทำลงไปทั้งที่รู้ว่าที่ถูกที่ควรมันไม่ใช่แบบนี้

วัยสามสิบปลายๆ และสี่สิบต้นๆ จึงเป็นช่วงของการต่อสู้กันระหว่าง “ผู้ใหญ่” และ “วัยรุ่น” ในตัวเรา เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าเราจะเลือกสวมหัวใจแบบไหน การสวมหัวใจวัยรุ่นนั้นอาจจะสนุกกว่า แซ่บกว่าก็จริง แต่อาจไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขความสงบได้ในระยะยาว

สำหรับคนวัยนี้ เรามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ มีคนที่เราต้องดูแล เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเราคนเดียวอีกต่อไป เกือบทุกอย่างที่เราตัดสินใจและทำลงไปจะมีผลกระทบกับคนที่พึ่งพาเรามากกว่าแต่ก่อน

เมื่อไหร่ก็ตามที่ปัญหามาเคาะประตู ถ้ารู้ตัวว่าสวมหัวใจวัยรุ่นแล้วจะยิ่งย่ำแย่ ก็ให้ย้ำเตือนตัวเองว่า “ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อย ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ”

หนึ่งทักษะสำคัญของ Top Performer

ผมได้อ่านข้อความนี้ใน 3-2-1 Newsletter ของ James Clear แล้วชอบมาก จึงขอแปลมาให้ได้อ่านกันครับ:

ชีวิตคนเรานั้นเต็มไปด้วยการถูกขัดจังหวะและสิ่งที่รบกวนสมาธิ (interruptions & distractions)

เราจะถูกดึงจากงานของเราเพื่อไปช่วยดับไฟให้คนอื่น ผู้คนจะล้ำเส้นและขโมยเวลาเราอยู่บ่อยๆ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งอะไรเราหรอกนะ แต่เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักคิดว่าเรื่องของตัวเองสำคัญที่สุดเสมอ

เมื่อเราถูกขัดจังหวะและงานของเราต้องล่าช้า ก็เป็นเรื่องง่ายที่ใจเราจะรวนไปด้วย เราอาจจะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ แต่แท้จริงแล้วเราไม่ได้ผิดอะไรเลย เราก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

ไม่มีใครที่จะไม่ถูกขัดจังหวะ ความแตกต่างจึงอยู่ระหว่างคนที่กลับมาทำงานใหม่ (back on track) ได้อย่างรวดเร็ว กับคนที่เสียกระบวนแล้วไม่เป็นอันทำอะไรไปเลยทั้งวัน

คนที่เป็น top performers คือคนที่กลับมา back on track ได้เร็วกว่าคนส่วนใหญ่ และนี่คือทักษะที่เราควรพัฒนา

เราจะถูกทำให้เสียจังหวะอย่างแน่นอน แต่บ่อยครั้งเราเลือกได้ว่าจะให้มันสั้นหรือยาวครับ

ลมจะดับเปลวเทียน แต่จะโหมกองไฟ

วัตถุที่เคลื่อนที่ทุกชิ้นย่อมมีแรงเสียดทาน

หากชีวิตเรากำลังเคลื่อนที่ ก็ย่อมมีแรงเสียดทานเช่นกัน

การทำงานจึงไม่เคยราบรื่นเหมือนที่วางแผนเอาไว้ มันจะมีบางอย่างที่ผิดแผนไปได้เสมอ

ความตั้งใจที่จะบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย การทำธุรกิจ ย่อมมีอุปสรรคที่คอยพิสูจน์ว่าเราเอาจริงแค่ไหน

ถ้าเรายังเอาจริงไม่พอ ความตั้งใจของเราก็เปรียบดังเปลวเทียน โดนลมนิดเดียวก็ดับวูบ

แต่ถ้าเราเอาจริงพอ ลมแห่งความยากลำบากนั้นจะยิ่งปลุกไฟในใจเราให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม ให้เราสู้ยิ่งกว่าเดิม

เมื่อชีวิตต้องเจออุปสรรค บอกตัวเองว่าอุปสรรคนี่แหละคือเส้นทาง – the obstacle is the way.

เพราะลมจะดับเปลวเทียน แต่จะโหมกองไฟครับ


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ “สโตอิก ปรัชญาเสริมแกร่งเพื่อชีวิตไม่สั่นคลอน The Little Book of Stoicism” Jonas Salzgeber เขียน วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม แปล สำนักพิมพ์ Be(ing)