คิดเก่ง

20150307

คิดเก่ง
ไม่คิด เก่งกว่า
พระไพศาล วิสาโล

จำได้ว่าประโยคนี้เคยอ่านเจอในฟีดของเพื่อนชื่อ “อู๊ดด้า”

คนเราจะเจริญได้ก็ด้วยความคิด

คิดดี เพื่อทำดี
คิดสร้างสร้างสรรค์ เพื่อหาลู่ทางใหม่ๆ
คิดรอบคอบ เพื่อที่จะทำอะไรให้รัดกุม
คิดแง่บวก เพื่อให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิต

และคนเราก็มักจะ “ฆ่า” ตัวเองด้วยความคิดเช่นกัน

คิดว่าแฟนไปมีกิ๊ก
คิดว่าคนอื่นมองเราไม่ดี
คิดว่าหัวหน้าลำเอียง
คิดว่าคนอื่นคิดไม่ถูก

ที่สำคัญ เวลาเราคิดอะไรลบๆ เรามักจะหยุดมันไม่ได้เสียด้วย มันจะคอยวนเวียนกลับมาในหัวเราตลอด

คำถามคือ แล้วเราจะหยุดคิดได้ยังไง

คำตอบคือ หยุดไม่ได้ครับ เพราะความคิดไม่ใช่ตัวเรา

วิธีเดียวที่จะช่วยให้เราไม่โดนโจมตีกับความคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป ก็คือการรู้ตัวว่ากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั่นเอง

ไม่ต้องไปทะเลาะหรือรังเกียจนมัน แค่ดูมันเฉยๆ แล้วคอยดูมันไปว่ามันจะคิดไปได้นานแค่ไหน

แล้วสักพักมันก็จะหยุดไปเอง

เหมือนกับทุกๆ ความคิดที่คุณเคยมีนั่นแหละครับ

หรือจะแพ้เรื่อยไป?

20150304_SpoilYourself

ถ้าเราตามใจตัวเอง เราจะเป็นผู้แพ้เรื่อยไป
– หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช

โดยธรรมชาติ น้ำจะไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ

คนเราก็เช่นกัน ถ้าปล่อยให้ว่างมากๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะไหลลงสู่ที่ต่ำ

อาจจะเป็นการนอนกินบ้านกินเมือง ตามอ่านดราม่า หรือเลื่อน Feed หน้า Facebook ไม่รู้จบ

เพราะว่ามัน “เพลินดี”

ไอ้ความเพลินดีนี่แหละตัวดี เพราะยิ่งเราตามใจตัวเองเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการป้อนอาหารให้กิเลสของเราเท่านั้น

แถมกิเลสมันก็กินจุมาก ป้อนเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม

เพื่อนผมคนนึงชื่อกวิน เคยบวชพระอยู่เจ็ดเดือน ตอนสึกใหม่ๆ มันเคยพูดกับผมว่าคนเราต้องหัด “ทรมานกิเลส” เสียบ้าง

วิธีการทรมานกิเลสแบบง่ายๆ ก็คือ ถ้ารู้สึกว่าอยากทำอะไร ก็อย่าเพิ่งทำ

หรือถ้าจะให้สนุกกว่านั้น ก็ทำตรงกันข้ามซะเลย เช่น

อยากกินน้ำหวาน ก็ดื่มน้ำเปล่าแทน
อยากนอนกลางวัน ก็ลุกขึ้นมากวาดห้อง
อยากเล่น Facebook ก็มานั่งเขียนบล็อก
อยากอ่านดราม่า ก็มาอ่านหนังสือธรรมะ

ผมไม่ได้บอกว่าเราต้องขัดใจกิเลสเรื่อยไปนะครับ เพราะยังไงเราก็ยังเป็นปุถุชน ยังมีรักโลภโกรธหลงเป็นธรรมดา และกิเลสก็เป็นช็อคโกแล็ตที่ช่วยให้ชีวิตมีรสชาติ แม้จะต้องยอมฟันผุบ้าง

แต่ถ้าเราตามใจตัวเอง และกลายเป็นเป็นผู้แพ้ต่อกิเลสเรื่อยไป ก็เท่ากับเราปล่อยให้วันนี้ผ่านไป โดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์ให้ใครเลย (รวมถึงตัวเองด้วย)

ถึงจะเป็นแค่หนึ่งวัน แต่ก็ถือว่าไม่น้อยสำหรับชีวิตอันแสนสั้นที่มนุษย์เรามี

เราตามใจกิเลสเพื่ออะไรไม่รู้มาเยอะแล้ว

ลองขัดใจกิเลสเพื่อตัวเองบ้างก็น่าจะดีนะครับ

มองรอบด้าน

20150224_BackForwardDownUp

มองอดีตแล้วยกโทษ มองอนาคตด้วยความหวัง
มองคนข้างล่างด้วยความเมตตา มองคนบนฟ้าแล้วกล่าวขอบคุณ
– ซิก ซิกล่าร์

เราทุกคนล้วนเคยผิดหวังกับใครบางคน

เขาอาจเคยโกหกเรา อาจเคยด่าว่าเราแรงๆ

เคยทำให้เราโกรธ และสร้างแผลเป็นเอาไว้ในใจเรา

ผมเชื่อว่า วิธีที่จะรักษาแผลของตัวเองได้ดีที่สุด คือการให้อภัยคนๆ นั้น

และก็หวังว่าเขาจะให้อภัยผมด้วยเช่นกัน

—–

มีคนเคยสอนผมไว้ว่า จนมุ่งหวัง แต่อย่าคาดหวัง

ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าสองคำนี้มันต่างกันยังไง

แต่ตอนนี้พอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า มุ่งหวัง คือเชื่อว่าถ้าเราทำสิ่งที่ดีๆ ก็ย่อมส่งผลให้มีอนาคตที่ดี ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และมีความสุขกับการเดินทาง

ขณะที่การคาดหวัง คือการเอาความสุขของเราไปแขวนไว้กับผลลัพธ์

ถ้าออกมาดี ก็จะมีความสุข เพราะสมหวัง

ถ้าออกมาไม่ดี ก็จะทุกข์ เพราะผิดหวัง

นอกจากความเสี่ยงจะสูงแล้ว การคาดหวังอาจทำให้เราลืมสนุกกับการเดินทางด้วย

—–

ลุงของผมชื่อ ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ครับ

ตอนเด็กๆ ลุงของผมดังมาก

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะเป็นคนแรกๆ ในเมืองไทยที่จัด “เดี่ยวไมโครโฟน” (แต่ใช้ชื่อว่า Live Talk Show นะครับ) สมัยรุ่งๆ ก็จัดหลายรอบอยู่เหมือนกัน

ประโยคหนึ่งที่ผมฟังลุงทินพูดใน Live Talk Show ตั้งแต่ผมอยู่ชั้นประถมก็คือ

“เทียบสูงยังไม่เท่า เทียบต่ำเรามีเหลือ”

ถ้าเราเทียบตัวเองกับคนที่รวยกว่า หน้าดาดีกว่า เราก็จะรู้สึกต่ำต้อยเรื่อยไป

แต่ถ้าเรามองคนที่ไม่ได้โชคดีเท่าเรา เราจะรู้เลยว่าเรามีเกินพอ

และมากพอที่จะแบ่งปันให้คนอื่นได้ด้วย

—–

ผมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมเคารพนับถืออยู่

เวลาเกิดเรื่องอะไร ที่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ผมจะกระซิบบอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบาๆ ในใจว่า “ขอบคุณนะครับ”

ไม่มีใครรู้หรอกว่า สิ่งที่เราได้มา มันมาจากความสามารถของเราเองล้วนๆ

หรือเพราะมีใครที่เรามองไม่เห็นคอยหนุนเราอยู่เบื้องหลัง

ผมเลือกที่จะเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างคอยช่วยเหลือผมอยู่

เพราะมัน “อุ่นใจ” ดีครับ

คนทุกคนเป็นคนดี

20150218_EverybodyIsGood

สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับการฟังเพลง คือการฟังเนื้อร้องผิด

และบางทีการฟังผิดก็มีประโยชน์

“คนทุกคนดี อยู่ที่เขาเอาใจใคร”

นี่คือประโยคสุดท้ายในท่อนฮุคของเพลง “รู้สึกสบายดี” ของเฉลียง ซึ่งผมฟังและจำได้มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ

เพิ่งมารู้เมื่อปีที่แล้วว่าจริงๆ วงเฉลียงเค้าร้องไว้อย่างนี้ครับ

ผู้คนมากมายก่ายกอง จ้องมองตั้งใจจะมองหา
รอถึงเวลาจะไขว่จะคว้าทำความดี
แต่ใครเล่าใคร จะไปตั้งใจอะไรจะมาชี้
คนเรียกคนดี ติดที่เขาเอาใจใคร

ไม่เป็นไร ฟังผิดนิดหน่อย เราต้องให้อภัยตัวเอง

เพราะประโยคที่ว่า คนทุกคนดี อยู่ที่เขาเอาใจใคร มันช่วยให้ผมมองคนในแง่ดีมาหลายสิบปีแล้ว

ไม่มีใครดีพร้อมทุกอย่าง

และไม่มีใครชั่วบริสุทธิ์เช่นกัน

ไม่ว่าใครคนนั้นจะนิสัยแย่แค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเลวกับทุกคน

นักการตลาดที่มอบเมาประชาชนด้วยการชิงโชค อาจเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรักมากก็ได้
เผด็จการที่สั่งฆ่าคนนับล้าน อาจรักชาติรักแผ่นดินมากกว่าเราก็ได้
สาวที่ขับรถชนคนตายบนทางด่วน อาจตั้งใจเรียนกว่าเราก็ได้
นักการเมืองที่โกงกิน อาจเป็นพ่อที่อบอุ่นกว่าเราก็ได้
นักธุรกิจขายน้ำเมา อาจทำบุญมากกว่าเราก็ได้
โจรใต้ อาจเป็นคนรักเพื่อนมากกว่าเราก็ได้
ฆาตกร อาจรักแม่มากกว่าเราก็ได้

เมื่อตระหนักว่า เขาเองไม่ได้เลวในทุกมิติ และเราเองก็อาจจะด้อยกว่าเขาในบางมิติด้วยซ้ำ อาการดูถูกว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ต่ำชั้นกว่าเราก็จะเจือจางลง

และไม่แน่ ถ้าเรามีปัญญามากพอ เราอาจจะมองเห็นว่า ทุกๆ คนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ และกำลังเดินหลงอยู่บนเส้นทางอันยาวไกลไม่ต่างกับเรา

คนทุกคนดี อยู่ที่เขาเอาใจใคร

เช่นนั้นแล้ว คุณจะยังเกลียดใครได้หมดใจอีกหรือ?

นิ่งเสียตำลึงทอง

20150217_SilenceGoodAnswer

บางทีความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

แต่ละวัน เราจะเจอสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เราอ้าปากเสมอๆ

เคยมั้ย ที่ใครเอาเรื่องอะไรที่เรารู้แล้วมาบอกเรา เราจะตอบออกไปว่า “รู้แล้ว” หรือ “อ๋อ เคยคิดแล้วล่ะ”

ทั้งๆ ที่จริงๆ คำตอบที่ดีที่สุดน่าจะเป็นคำว่า “ขอบคุณ” มากกว่า วันหลังเขาจะได้เอาเรื่องอื่นๆ มาเล่าอีก

อัตตาคือสิ่งที่ผลักให้เราพูดคำว่า “รู้แล้ว” ออกไป เพราะมันต้องการจะเติบใหญ่ด้วยการโชว์คู่สนทนาว่าเราเก่งแค่ไหน

และยิ่งเราตามใจอัตตาบ่อยเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งตัวโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเราเลย

—–

เวลาใครโพสต์อะไรไม่ถูกใจเราใน Facebook

ไม่ว่าจะเป็นจุดยืนทางการเมืองที่ตรงข้ามกับเรา หรือการโจมตีบุคคลที่เราชื่นชม เราก็อดไม่ได้ที่จะลงไป “ปกป้อง”

คำถามคือปกป้องใคร?

ปกป้องคนที่เราเคารพ หรือปกป้องความคิดตัวเอง?

เถียงกันร้อยครั้ง จะมีสักกี่ครั้งที่เรามีเจตนาจะแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือเรียนรู้จากคนที่เราเถียงด้วย

ส่วนใหญ่เป็นการเถียงกันเพื่อจะเอาชนะเสียมากกว่า

ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตรงไหนถึงจะเรียกว่าชนะ

สุดท้ายจึงก็ได้แค่ความสะใจ  ได้อวดรู้  และได้ความขุ่นมัวไปนอนกอดเล่นๆ

พอตื่นขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างก็ยังยึดมั่นความเชื่อเดิมอยู่ดี เผลอๆ ยึดแน่นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและสิ้นเปลืองเวลาที่ไร้สาระขั้นเทพเลยนะผมว่า

—–

เวลาทะเลาะกับแฟน ถ้าแฟนพูดอะไรออกมาด้วยอารมณ์และไม่ตรงความจริง เราก็จะมีแรงผลักดันที่จะอธิบาย “ข้อเท็จจริง”

แต่สิ่งเดียวที่คำอธิบายของเราก่อให้เกิด ก็คือการทำให้แฟนรู้สึกว่าเรากำลังโทษเขาอยู่

ซึ่งก็ยิ่งจะทำให้แฟนโกรธหนักกว่าเก่า และใช้อารมณ์ยิ่งกว่าเดิม

สองชั่วโมงก็คุยกันไม่จบล่ะครับอย่างนี้

จะดีกว่ามั้ย ที่จะอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ให้เขาระบายสิ่งที่อัดอั้นให้หมดก่อน

ไว้อารมณ์เย็นลงทั้งคู่แล้วค่อยกลับมาจับเข่าคุยกันด้วยเหตุผลอีกครั้ง

—–

การไม่พูดเป็นเรื่องยากมาก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อปกป้องความคิดของตัวเอง

แต่ถ้าเราไม่พยายามปกป้องความคิดของเราล่ะ?

เค้าจะมองว่าเราคิดผิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา

เราจะมองว่าเขาคิดผิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขาเช่นกัน

ถ้าทำได้ ชีวิตน่าจะง่ายขึ้นนะ