–บนเตียงนอน–
นาฬิกาปลุกเป็นทั้งเพื่อนและศัตรูตัวฉกาจ
เพราะมันช่วยเตือนเราด้วยความหวังดีว่า ตื่นได้แล้วนะ เดี๋ยวไปสาย
แต่บ่อยครั้ง ที่มันมาปลุกเราตอนที่เรายังอยากนอนต่อ
เราจึงมักจะกดปุ่ม snooze และบอกกับตัวเองว่า “ขออีกห้านาที”
และมันก็จะเกินห้านาทีทุกครั้งไป
และเราก็จะไปสาย และหงุดหงิดตัวเอง
อาการอย่างนี้ผมเป็นบ่อยครับ
จนระยะหลังผมจึงคิดขึ้นได้ว่า
“ฟังร่างกาย แต่อย่าฟังกิเลส”
ถ้าเมื่อคืนนอนครบ 7 ชั่วโมง แต่เราตื่นมาแล้วอยากนอนต่อ แสดงว่าจริงๆ แล้วร่างกายไม่ได้ต้องการพักผ่อนมากขึ้นหรอก
แต่เป็นกิเลสที่กำลังหลอกล่อเรา ให้เราได้นอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ นานขึ้นอีกนิด ออกไปเผชิญโลกช้าลงอีกหน่อยต่างหาก
–ที่โต๊ะทำงาน–
เรานั่งจ้องคอมมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ตาเริ่มล้า ๆ ไหล่เริ่มเกร็งๆ และมีอาการปวดฉี่หน่อยๆ
แต่เราก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน เพราะว่าเราอยากจะทำต่ออีก “นิดเดียว”
พอการ “ทำต่ออีกนิดเดียว” มันเกิดขึ้นบ่อยๆ เข้า บรรดา Office Syndrome จึงเข้ามาทักทาย
จริงๆ ร่างกายส่งสัญญาณบอกเราตลอดเวลา ว่าตอนไหนเราควรจะพักได้แล้ว แต่เราก็ยังไม่ยอมหยุด เพราะโดนกิเลสฉุดลากไปด้วยความ “อยาก” จะทำให้เสร็จ
–ณ สวนลุมพินี–
ใครเคยไปวิ่งสวนลุมพินีอาจจะเคยเจอสถานการณ์นี้
ถ้าใครเข้าประตูหลักฝั่งถนนพระราม 4 และเริ่มวิ่งทวนเข็มนาฬิกาเหมือนชาวบ้าน
ช่วงครึ่งแรก จะไม่ค่อยเหนื่อยนัก เพราะถนนจะเป็นเส้นตรงและหักมุมเป็นสี่เหลี่ยม เลี้ยวครั้งแรกก็จะเป็นฝั่งถนนวิทยุ เลี้ยวอีกครั้งก็จะเป็นฝั่งถนนสารสิน
แต่พอผ่านลานตะวันยิ้ม แล้วเข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง เราจะเจอ “โค้งแสนกล”
ผ่านโค้งที่หนึ่งก็แล้ว โค้งที่สองก็แล้ว โค้งที่สามก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นฝั่งของถนนพระราม 4 ซะที
หัวหน้าเก่าของผมซึ่งเป็นชาวอังกฤษและมีรูปร่างคล้ายซานต้า บอกว่าตรงนี้คือโค้งหมดใจ เพราะเขาไม่เคยวิ่งพ้นโค้งนี้ซักที่ จากวิ่งจะกลายเป็นเดิน ทั้งๆ ที่ขาและปอดก็ยังไปต่อได้
แต่เพราะคำถามที่ว่า “ยังไม่ถึงฝั่งพระราม 4 อีกเหรอ” มันผุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกๆ ครั้งที่วิ่งผ่านแต่ละโค้ง
เมื่อบั่นทอนตัวเองหลายครั้งเข้า จึงพาลหมดแรงไปซะดื้อๆ
—–
ร่างกายจะสื่อสารกับเราผ่านความรู้สึกทางกาย
ส่วนกิเลสมักจะมาในรูปแบบของความคิด
ถ้าร่างกายสื่อสารกับเรา เราต้องฟัง ก่อนที่อาการจะแย่ลงไปกว่านี้จนต้องพึ่งพาคุณหมอ
แต่ถ้ากิเลสสื่อสารกับเรา ก็ขอให้รู้ตัว และใช้มันเป็นครูฝึกในการเอาชนะใจตัวเองให้ได้ครับ