น้อยนิดสำหรับเรา มากมายสำหรับเขา

น้อยนิดสำหรับเรา มากมายสำหรับเขา

“นี่มัน TCDC ชัดๆ”

ผมพึมพัมในใจขณะเดินชมนิทรรศการของ TIJ

TIJ ย่อมาจาก Thailand Institute of Justice หรือ “สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)

ทำไมต้อง ‘การ’ ยุติธรรม ไม่ใช่ ‘ความ’ ยุติธรรม? ผมทดคำถามนี้ไว้ในใจ

TIJ อยู่ติดกับกระทรวงยุติธรรม เยื้องกับศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ

นิทรรศการที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ใน TCDC นี้บ่งบอกถึงความเป็นมาของความยุติธรรม เริ่มต้นจากการที่มนุษย์หวาดกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ เช่นฟ้าผ่าและไฟไหม้ มนุษย์ก็เลยบูชา “สิ่งที่อยู่บนนั้น” โดยหวังว่าเทพเจ้าจะโปรดปราน

จากนั้นก็ไล่เรียงประวัติศาสตร์เรื่อยมา ตั้งแต่การที่มนุษย์ขอฝนจากทวยเทพ การแบ่งชนชั้นวรรณะ การจัดสรรทรัพยากรอันไม่เท่าเทียม การเรียกร้องสิทธิสตรี และการตั้งคำถามว่าสัตว์เลี้ยงและ AI ควรมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับมนุษย์หรือไม่ พร้อมทั้งยังมี interactive display ให้เล่นอีกหลายอย่าง เสียดายที่ยังเข้าเยี่ยมชมได้เฉพาะวันธรรมดาตามเวลาราชการ คงต้องรอให้ลูกปิดเทอมก่อนแล้วผมจะลางานพาลูกๆ มาเดินดูและชวนคุยไปด้วยกัน

—–

“นี่มันอาหารเหลาชัดๆ”

ผมพึมพัมกับตัวเองหลังจากเห็นเมนูจานแรกและจานถัดๆ มา ที่ได้รับประทานในห้องประชุมของ TIJ

รายชื่อเมนูอาจดูธรรมดา ไม่ว่าจะน้ำพริกปลาทู ก๋วยเตี๋ยว และน้ำแข็งไส แต่ที่มันไม่ธรรมดานั้นมีสองปัจจัย

หนึ่ง เมนูเหล่านี้ถูกรังสรรและตีความใหม่โดย “เชฟอิน” ที่มีผู้ติดตามทาง TikTok มากกว่าหนึ่งล้านคน

สอง อาหารทุกจานนั้นถูกปรุงและตกแต่งโดยอดีตผู้ต้องขัง

ในปีที่ผ่านมา ทาง TIJ รับอดีตผู้ต้องขังยี่สิบกว่าคนเข้าโครงการ “โรงเรียนตั้งต้นดี” (Restart Academy) เพื่อสอนทำอาหาร และให้โอกาสเปิดร้านในฟูดคอร์ทของ TIJ ได้ทำจริง ขายจริง กับลูกค้าจริง เมื่อคนเหล่านี้มีทักษะและความเชื่อมั่นในตัวเองมากพอ พวกเขาก็จะหางานตามร้านอาหาร โรงแรม หรือทำร้านของตัวเองเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่กันต่อไป

ก่อนที่พวกเราจะมาเยือน TIJ หนึ่งสัปดาห์ เพื่อนๆ ชาว IMET MAX ได้ติดต่อเชฟอินมาช่วยสอนคนกลุ่มนี้ทำเมนูระดับ Chef’s Table เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เราสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเมนูธรรมดาเหล่านี้ได้หากเราไม่กลัวที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ

เสียดายที่คอร์สแบบ Chef’s Table ไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ไม่อย่างนั้นผมคงจะพาที่บ้านกลับมากินด้วยเหมือนกัน

—–

จบจาก Chef’s Table ผมและเพื่อนกลุ่ม IMET MAX ก็ได้ฟังการพูดคุยแบบ panel discussion ที่มีตัวแทนจากอดีตผู้ต้องขัง เชฟอิน และ “คุณจุ้น” ผู้ดูแลโครงการโรงเรียนตั้งต้นดี โดยมีคุณอุ๋ย บุดดาเบลส มาช่วยดำเนินการสนทนา

มีสองประเด็นที่คุณจุ้นพูดแล้วสะกิดใจผมมาก

หนึ่ง เราอาจจะมีภาพจำว่าอดีตนักโทษคือบุคคลอันตราย แต่เอาเข้าจริง คนที่เคยก้าวพลาดมาแล้วมีความระมัดระวังกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะเขารู้ซึ้งถึงความทุกข์และความยากลำบากของการถูกจองจำ ซึ่งไม่ได้เกิดกับเขาเพียงคนเดียว แต่กับอีกหลายคนในครอบครัว

สอง วันที่พวกเขาได้รับอิสรภาพและเดินออกจากเรือนจำ คนแรกๆ ที่มายืนรออยู่หน้าเรือนจำเพื่อต้อนรับพวกเขาคือดีลเลอร์ค้ายา จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ 1 ใน 3 ของอดีตผู้ต้องขังจะได้กลับไปอยู่ในคุกตารางอีกครั้ง เพราะคนเหล่านี้ไม่ค่อยได้รับโอกาสให้กลับไปมีที่ยืนในสังคม

เคยมีสักคนเคยพูดเอาไว้ว่า อาชญากรก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาอย่างพวกเราหรอก เพียงแต่เขาโดนจับได้เท่านั้นเอง

—–

เซสชั่นสุดท้ายของวัน คือการแบ่งกลุ่มเพื่อร่วมพูดคุยกับอดีตผู้ต้องขัง

คนที่ผมได้คุยด้วยมีชื่อว่า “นก” อายุ 33 ปี เป็นผู้หญิงผมสั้นผิวขาว แววตาดูซื่อๆ

นกไม่ได้เล่าให้ฟังชัดเจนว่าถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาอะไร แต่เดาจากช่วงเวลาที่ต้องอยู่ในคุกนานถึง 12 ปี ผมจึงเดาว่าไม่พ้นคดียาเสพติด

ผมถามนกว่า ไม่ได้เห็นโลกภายนอกนานขนาดนี้ พอกลับออกมาแล้วอะไรเปลี่ยนไปเยอะที่สุด?

“ถนนหนทางและโซเชียลมีเดีย” นกตอบ

นกยังไม่มีแอคเคาท์ TikTok แต่มี Facebook เรียบร้อย

แล้วสิ่งที่กังวลใจที่สุดคือเรื่องอะไร? พวกเราถามต่อ

“เรื่องลูก” นกก้มหน้า น้ำตาไหล จนเราต้องหาทิชชู่มาให้

นกมีลูกสาวสองคน อายุ 15 ปี และ 14 ปี อยู่กับคุณยายที่ต่างจังหวัด การที่นกโดนจองจำอยู่ 12 ปีย่อมหมายความว่านกแทบไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ของแม่เลย ซึ่งมันทำให้นกรู้สึกเหินห่างกับลูกทั้งทางกายและใจ และนกรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากที่สุด

หลังจากพ้นโทษและได้โอกาสมาเข้าโครงการครัวตั้งต้นดี นกมีความฝันอยากเป็นบาร์เทนเดอร์

ตอนนี้นกขายน้ำอยู่ในฟู้ดคอร์ทของ TIJ ชื่อร้าน “หวานเอยหวานใจ” เมนูที่ขายดีคือโอเลี้ยงและชานม

(ผมมารู้ภายหลังว่า ร้านนี้ขาย “ขนมเปียกปูน” ที่เป็นขนมเบรกยามเช้าของพวกเราในวันนั้นด้วย มีเพื่อนบางคนถึงกับเอ่ยปากว่า ขนมเปียกปูนเจ้านี้อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา)

“พี่บา” เจ้าของร้านอาหารชื่อดังที่อยู่กลุ่มเดียวกับผม ได้ให้ข้อแนะนำกับนกไว้หลายอย่าง เช่น ลองคิดสูตรน้ำใหม่ๆ มาขาย ลองเพิ่มมูลค่าต่อแก้วด้วยการเติมโซดาหรือน้ำผึ้ง ลองเขียนคำโปรยว่า “พิเศษสำหรับอาทิตย์นี้เท่านั้น”

ผมเห็นแววตาของนกเป็นประกาย หลายไอเดียนกอาจไม่เคยคิดถึงมาก่อน

แล้วประโยคหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของผม

“น้อยนิดสำหรับเรา มากมายสำหรับเขา”

คำแนะนำที่พี่บามอบให้นกนั้น เป็นเรื่องเบสิคที่พี่บาย่อมรู้ดีจากประสบการณ์อันยาวนานในวงการนี้ แต่สำหรับนก มันอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นกกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรที่จะช่วยให้ความฝันการเป็นบาร์เทนเดอร์ของนกเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

พนักงานทุกคนในครัวตั้งต้นดีจะได้รับเงินเดือนส่วนหนึ่งจาก TIJ และได้รับส่วนแบ่งจากกำไรของครัวตั้งต้นดี ดังนั้นหากนกทำให้ร้านตัวเองขายดีขึ้น ก็ย่อมได้รับส่วนแบ่งมากขึ้น มีเงินเก็บมากขึ้น และมีความพร้อมที่จะ “ตั้งต้นใหม่” มากขึ้นนั่นเอง

—–

“ทำไมต้อง ‘การ’ ยุติธรรม ไม่ใช่ ‘ความ’ ยุติธรรม ด้วยครับ?”

ระหว่างที่ทุกคนกำลังแยกย้าย ผมยิงคำถามคาใจกับ “พี่ปุ้ย” หนึ่งในผู้บริหารของ TIJ

“เพราะเราอยากให้ความยุติธรรมเป็นเรื่องของคนทุกคน ไม่ใช่แค่รัฐบาลหรือแค่บางหน่วยงาน” พี่ปุ้ยตอบ

พี่ปุ้ยเล่าว่า มีผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวปีละ 200,000 คน ห้าปีก็หนึ่งล้านคน แต่เราไม่มีกระบวนการที่ดีพอในการเตรียมความพร้อมให้คนเหล่านี้กลับเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ กรมราชทัณฑ์เองก็ดูแลไม่ไหว

และพี่ปุ้ยก็ให้คำตอบของอีกหนึ่งคำถามราวกับอ่านใจผมออก

“เราไม่ได้คิดว่า TIJ จะจัดการปัญหานี้ได้ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้เรารับคนได้เพียงหลักสิบ อนาคตอาจจะได้มากกว่านี้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับจำนวนผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวในแต่ละปีได้ ดังนั้นจุดประสงค์ของเราก็คือทำโมเดลตัวอย่าง และหวังว่าจะมีหน่วยงานอื่นๆ หรืออาสามัครอื่นๆ นำกรณีศึกษานี้ไปทำไปให้เกิดผลในพื้นที่ของตัวเอง”

“พี่เมฆ” อีกหนึ่งผู้บริหารของ TIJ ที่อยู่กับเราตั้งแต่เช้าก็อธิบายว่า ครัวตั้งต้นดีเป็นเพียงหนึ่งในโครงการของ TIJ ในอนาคตอาจจะมีการฝึกวิชาชีพอื่นๆ เช่นการแต่งหน้าทำผมและนวดเพื่อสุขภาพ ตอนนี้รายได้หลักของ TIJ มาจากงบของรัฐบาล แต่งบก้อนนี้จะน้อยลงทุกปี ดังนั้น TIJ ต้องมุ่งหน้าสู่การเป็น social enterprise เพื่อยืนหยัดด้วยตัวเองให้ได้

—–

“แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง?” นี่คือคำถามสำคัญสำหรับผม

ผมได้กลับมาคุยกับทีมงานเพื่อขอให้ครัวตั้งต้นดีได้เข้าไปขายใน LINE MAN ด้วย GP อัตราพิเศษ เพื่อเพิ่มช่องทางให้ครัวตั้งต้นดีสามารถมีรายได้มากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้อดีตผู้ต้องขังได้ตั้งต้นใหม่

ผู้อ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ สามารถอุดหนุนครัวตั้งต้นดีที่ TIJ ข้างกระทรวงยุติธรรม ครัวเปิดวันจันทร์ถึงศุกร์ 7 โมงเช้าถึงบ่ายโมง ที่จอดรถฟรีและเหลือเฟือ ส่วนการเดินทางไปย่านนั้นง่ายกว่าแต่ก่อน ขับรถจากรามอินทรามีสะพานข้ามทุกแยก แทบไม่เจอไฟแดง แถมตอนนี้ก็มีรถไฟฟ้าสายชมพูผ่านแล้วด้วย

หรือถ้าไม่สะดวกไปถึง TIJ ก็สามารถสั่งทาง LINE MAN https://lin.ee/Gim5tsh (Foodpanda กำลังตามมาเร็วๆ นี้) ขอบอกว่าขนมเปียกปูนคือทีเด็ด ส่วนเมนูอื่นๆ ทางร้านกำลังทยอยลงครับ

ให้โอกาสคนเคยพลาดพลั้ง เพราะตอนที่เราพลาดพลั้งเราก็อยากได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน

เราสามารถทำสิ่งที่เล็กน้อยสำหรับเรา แต่มีคุณค่ามากมายสำหรับคนอื่นได้เสมอครับ

ลูกน้องที่ดีต้องมีแผน

(เคล็ดวิชาชีวิตจาก อาจารย์ไพรินทร์ IMET MAX)

สองเดือนที่ผ่านมา ผมกับเพื่อนโครงการ IMET MAX อีกสองท่านได้รับโอกาส mentoring กับดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ปัจจุบันอาจารย์ไพรินทร์เป็นกรรมการอิสระ-กรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และนายกสภาสถาบันวิทยสิริเมธี หรือ VISTEC

ได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันสองครั้ง ได้แง่คิดและความรู้กลับมามากมาย นี่คือส่วนหนึ่งที่ขอนำมาเล่าไว้ในบล็อก Anontawong’s Musings ครับ

ถ้าเราให้ความสำคัญจริง เราจะมีเวลาเอง

เราถามอาจารย์ไพรินทร์ว่า ความรับผิดชอบเยอะขนาดนี้ ทำงานหนักขนาดนี้ ทำไมยังดูสุขภาพแข็งแรง หน้าตายังผ่องใสอยู่ (ปีนี้อาจารย์อายุ 67 ปี)

อาจารย์ตอบว่าไม่ได้มีอะไรมาก ตอนเช้าพยายามเดินรอบบ้านให้ได้วันละหนึ่งชั่วโมง มียกดัมเบลบ้าง และกีฬาอีกอย่างที่ชอบเล่นคือตีกอล์ฟกับเพื่อน

แต่ก่อนอาจารย์ไพรินทร์ไม่สนใจเรื่องการตีกอล์ฟ เพราะรู้สึกว่าใช้เวลาเยอะและต้องตื่นแต่เช้า

แต่เมื่อต้องขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง mentor ของอาจารย์ไพรินทร์ก็แนะนำว่าควรหัดตีกอล์ฟ เพราะการเจรจาระหว่างตีกอล์ฟมักจะเป็นการเจรจาที่ราบรื่น ผิดกับตอนเจรจาในห้องประชุมที่ต่างฝ่ายต่างจ้องเอาชนะกัน

เมื่อเริ่มตีกอล์ฟเป็นและเริ่มสนุกกับมัน อาจารย์ก็พบว่าการตื่นตีสี่มาตีกอล์ฟไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตีเสร็จเก้าโมงเช้า สิบโมงไปทำงานได้สบาย

“ถ้าเราให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร เราจะมีเวลาให้มันเอง ถ้าปากคุณบอกว่าเรื่องนี้สำคัญ แต่คุณไม่เคยมีเวลาให้กับมัน แสดงว่าคุณยังไม่ได้เห็นความสำคัญของมันจริงๆ หรอก”

แม้เดี๋ยวนี้อาจารย์ไพรินทร์จะไม่ต้องเจรจาธุรกิจแล้ว แต่ก็ยังไปออกรอบกับเพื่อนสนิทบ่อยๆ เพราะกอล์ฟเป็นกีฬาไม่กี่อย่างที่คนวัยเกษียณยังเล่นได้ดี ช่วยให้ได้ออกกำลังกายด้วยการเดินนับหมื่นก้าว

.

ลูกน้องที่ดีต้องมีแผน

อาจารย์ไพรินทร์เคยทำงานให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี โดยคุยกันผ่านไลน์

เมื่อรู้ว่าเจ้านายมีเวลาไม่มากนัก อาจารย์จะเขียนสรุปให้สั้นๆ โดยมีทางเลือก Option A, Option B, Option C และอาจารย์จะบอกด้วยว่าตัวเองแนะนำให้เลือก Option ไหน

อาจารย์บอกว่า ลูกน้องที่ดี จะต้องสรุปสาระสำคัญให้ตรงประเด็นและรวบรัด เพื่อให้เจ้านายที่มีเวลาน้อยตัดสินใจได้

“เราต้องเป็น A man with a plan เสมอ และไม่ใช่มีแค่แผนเดียวด้วย ต้องมี Plan A, Plan B, Plan C เพื่อมอบทางเลือกให้กับเจ้านายของเรา”

.

ผู้นำที่ดีต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ

อาจารย์ไพรินทร์บอกว่าเคล็ดลับการเป็นผู้นำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้ทั้งพระเดชและพระคุณในแบบพอดีๆ

ถ้าใครใช้พระเดชอย่างเดียว สั่งการ บังคับ ด่าลูกน้อง ถือว่าใช้ไม่ได้ ไปไหนได้ไม่ไกล

ถ้าใครใช้แต่พระคุณอย่างเดียว ใจดีกับลูกน้องเกินไป ไม่กล้าลงมือกับคนผิด อันนี้ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน

จะเป็นผู้นำ จึงต้องมีทั้งสองอย่าง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

.

เคล็ดลับจากเชอร์ชิล

ผู้นำบางคนพูดต่อหน้าสาธารณชนไม่เก่ง พูดแล้วหาลานจอดไม่ได้

อาจารย์ไพรินทร์ชอบคำของ Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่แนะนำไว้ว่า speech ที่ดีนั้นเหมือนกระโปรงผู้หญิง มันควรยาวพอที่จะครอบคลุมสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องสั้นพอที่จะดึงความสนใจ

“A good speech should be like a woman’s skirt; long enough to cover the subject and short enough to create interest.”

.

ตั้งสติก่อนเอ่ยคำ

อาจารย์ไพรินทร์ย้ำหลายครั้งว่า เมื่อเราพูดอะไรออกไปแล้ว คำพูดจะเป็นนายเรา

ดังนั้น ก่อนจะพูดอะไร ต้องตั้งสติให้ดี หากสิ่งที่เราพูดออกไปมันถูกต้องเที่ยงตรง สิ่งที่ตามมาก็จะถูกต้องเที่ยงตรง

แต่หากเราพูดอะไรที่มันบิดเบี้ยวออกไป สิ่งที่ตามมาก็จะบิดเบี้ยวไปด้วยเช่นกัน

เคล็ดลับอย่างหนึ่งของการตั้งสติ คือสูดลมหายใจแรงๆ แล้วฮึบ ก่อนจะเอ่ยปากหรือกระทำการใด

.

อย่าไปกลัวเอไอ

ผมถามอาจารย์ว่า จะเลี้ยงลูกอย่างไรให้พร้อมรับมือกับ ChatGPT ที่ฉลาดขึ้นทุกวัน

อาจารย์บอกว่าไม่ต้องไปห่วงลูกๆ เราหรอก พวกเขาเป็น digital native เกิดมาก็คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดีอยู่แล้ว เขาเอาตัวรอดได้

ที่ต้องห่วงคือคนรุ่น Gen Y ขึ้นไปมากกว่า เพราะพวกเราเป็น digital immigrants

“อย่าไปกลัวเอไอ แต่จงศึกษาและทำความเข้าใจ จะได้อยู่ร่วมกับมันได้”

.

การศึกษา 4.0

อาจารย์ไพรินทร์บอกว่า หน้าที่ของครูสมัยก่อน คืออ่านหนังสือแล้วเอามาสอนเด็กๆ

แต่ตอนนี้อาจารย์ที่อ่านหนังสือได้เยอะที่สุด และจำได้แม่นที่สุดก็คือเอไอ

ดังนั้นหน้าที่ของคุณครูจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่คนสอน แต่ต้องเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้หรือ facilitator

ส่วนบทบาทของเด็กนักเรียนก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป การรู้คำตอบจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าแต่ก่อน เพราะเอไอรู้คำตอบอยู่แล้ว

สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถาม ถ้าตั้งคำถามได้ดี ก็จะได้คำตอบที่ดี แต่ถ้าตั้งคำถามมั่วซั่ว ก็จะได้คำตอบมั่วซั่ว

สมัยนี้ถึงเกิดศาสตร์และวิชาชีพที่เรียกว่า prompt engineering คือจะเขียน prompt ป้อนให้กับเอไออย่างไรถึงจะได้คำตอบที่มีประโยชน์และตอบโจทย์อย่างแท้จริง

ความฉลาดหลักๆ มีสี่ด้านด้วยกัน คือ IQ, EQ, AQ และ SQ

AQ คือ Adversity Quotient ความสามารถในการเผชิญปัญหา

SQ คือ Social Quotient คือความฉลาดทางสังคม

แต่ก่อนโรงเรียนจะสอนให้เด็กพัฒนา IQ เป็นหลัก แต่ตอนนี้เอไอมีไอคิวพอๆ กับคนคือประมาณ 90 แล้ว ดังนั้นคนที่ใช้เอไอก็จะมี IQ สูงขึ้นได้ทันที

เมื่อโรงเรียนไม่จำเป็นต้องพัฒนา IQ มากเท่าแต่ก่อน สิ่งที่โรงเรียนควรโฟกัสคือพัฒนาความฉลาดด้านอื่นๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็น EQ, AQ หรือ SQ โดยฝึกให้เด็กรู้ทันและจัดการอารมณ์ตัวเอง กล้าเผชิญความยากลำบาก และทำงานเป็นทีมได้

อาจารย์บอกว่าการเรียนรู้สมัยก่อนเป็น mono-disciplinary ใครที่รู้อะไรก็จะรู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว

แต่โลกสมัยใหม่เราต้องเรียนรู้แบบ multi-disciplinary เอาความรู้ศาสตร์ต่างๆ มาเชื่อมโยงกันเพื่อให้เห็นภาพว่าการเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้มันไปกระทบส่วนอื่นๆ อย่างไรบ้าง

.

ระวังเงินเฟ้อ

ช่วงที่อาจารย์ไพรินทร์เป็น CEO ของปตท. ชอบมีคนมาถามว่าหุ้นปตท.จะขึ้นหรือไม่ อาจารย์ตอบว่าไม่รู้ พรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลงเขายังไม่รู้เลย

มีช่วงหนึ่งอาจารย์เคยชื่นชอบเรื่องการเทรดหุ้นวันต่อวัน แต่พอได้ยินผู้ใหญ่บางท่านคุยกันเรื่องปั่นราคาหุ้น จึงเข้าใจว่าตัวเองเป็นแค่แมงเม่า อาจารย์เลยหยุดเทรดหุ้นตั้งแต่นั้นมา

ในเวลานี้ หุ้นที่อาจารย์ถือส่วนใหญ่คือหุ้น blue chip ในเมืองไทยเพื่อรอรับเงินปันผล อาจารย์ไม่ได้ซื้อหุ้นในอเมริกา เพราะเห็นว่าอเมริกาปริ๊นท์เงินไม่หยุด (ผมลองดูข้อมูล ช่วงปี 2020-2022 อเมริกา “เสกเงิน” เข้าระบบประมาณ 13 ล้านล้านดอลลาร์) และทำให้อเมริกามีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นทุกปี ซึ่งอาจารย์ไม่แน่ใจว่าการบริหารเศรษฐกิจแบบนี้จะยั่งยืนแค่ไหน

เมื่อมีเงินไหลเข้าระบบไม่หยุดหย่อน จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อ เราจึงควรมองการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ด้วย (hedge against inflation) เช่นทองหรือที่ดิน

.

เชื่อมั่นในคลื่นลูกใหม่

เนื่องจากนี่ (อาจ) เป็นการกินข้าวด้วยกันครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกลับไปจับคู่กับ mentor ท่านเดิม เราจึงถามอาจารย์ว่ามีเรื่องอะไรที่คนวัยพวกผมควรจะใส่ใจหรือระมัดระวังเป็นพิเศษหรือไม่

อาจารย์ตอบว่า ไม่มีหรอก ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง คนรุ่นคุณเก่งกว่าคนรุ่นผม คลื่นลูกใหม่ย่อมแทนที่คลื่นลูกเก่า ไม่อย่างนั้นโลกของเราคงไม่ก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้

“ผมจะรอดูพวกคุณประสบความสำเร็จ” อาจารย์กล่าวทิ้งท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


Reflections

อาจารย์ไพรินทร์เป็นหนึ่งในคนที่ไอคิวและความจำดีที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยคุยด้วย

ตอนฟังอาจารย์เล่าเรื่องราวต่างๆ ได้แต่คิดในใจว่า “ทำไมรู้ลึก รู้กว้างได้ขนาดนี้” ทั้งด้านการศึกษา ด้านพลังงาน ด้านการเมือง ด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics)

อาจารย์คือตัวอย่างของคน multi-disciplinary อย่างแท้จริง เป็นทั้งวิศวกร เป็นแบงค์เกอร์ เป็นนักการเมืองที่เคยทำงานกับข้าราชการ และเหนือสิ่งอื่นใดคือเป็นครู และตอนนี้งานหลักของอาจารย์ก็คือการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นถัดไป

คงจะจริงอย่างว่า การได้คุยกับบัณฑิตเพียงชั่วโมงเดียวอาจได้รับ “ทรัพย์สินทางปัญญา” มากกว่าการอ่านหนังสือเป็นสิบเล่ม

ขอบคุณโครงการ IMET MAX รุ่นที่ 5 ที่ให้โอกาสผมและเพื่อนได้รับประสบการณ์อันมีค่านี้ครับ

ชีวิตไม่ต้องมี Purpose ก็ได้

(เคล็ดวิชาชีวิตจากพี่อ้น IMET MAX ตอนที่ 3)

ดำเนินมาถึง mentoring session ครั้งที่ 3 กับ “พี่อ้น” วรรณิภา ภักดีบุตร ซีอีโอบริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) ที่มาเป็น mentor ให้โครงการ IMET MAX รุ่นที่ 5

รอบนี้พี่อ้นเลือกร้าน Lady L Garden Bistro ในซอยสมคิด ร้านตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมปาร์คนายเลิศมาก่อน

พี่อ้นมีของฝากมาให้พวกเราคนละสองชิ้น

ชิ้นแรกคือถุงผ้าลายผลิตภัณฑ์คลาสสิคในเครือโอสถสภา มีสามลายให้เลือกคือ “ลิโพ” “ทัมใจ” และ “ยากฤษณากลั่น” (ผมเลือกทัมใจ)

ส่วนชิ้นที่สองคือหนังสือ “ชีวิตดั่งสายน้ำ” ซึ่งเป็นชีวประวัติของ “คุณยายสุนัย สิริเวช” คุณยายแท้ๆ ของพี่อ้น

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อแจกลูกหลานและผู้ที่รักนับถือท่านเนื่องในงานวันเกิดครบรอบ 99 ปี และเมื่อคุณยายลาจากไปอย่างสงบเมื่อปี 2021 ด้วยสิริอายุ 109 ปี ลูกหลานก็ช่วยเติมเต็มเนื้อหาช่วงสุดท้ายและแจกจ่ายให้เป็นของที่ระลึกแขกที่มาร่วมงาน โดยมี “ช้อนชา” เป็นของชำร่วยอีกหนึ่งชิ้นติดกับหนังสือมาด้วย เพราะตอนที่คุณยายเสียใหม่ๆ มีเพื่อนบ้านมาขอช้อนบ้านคุณยายไปเก็บไว้ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยให้มีอายุยืน

เมนูที่เราสั่งในวันนี้ได้แก่ Rocket Salad, Baked Whole Seabass, Smoked Salmon Pizza และตามด้วยของหวานอย่าง Crepe Suzette with Vanilla Ice cream และ Sticky Toffee Pudding

การพบปะกันครั้งนี้เราคุยเรื่องส่วนตัวกันหลายเรื่อง แต่ก็ยังมีข้อคิดและบทเรียนที่น่าจะมีประโยชน์กับคนทำงาน โดยเฉพาะคนที่ต้องเป็นผู้นำในองค์กรครับ

1.หัวหน้าต้องเป็นตัวของตัวเอง

พี่อ้นจะพูดเสมอว่าเราอย่าพยายามเป็นอะไรที่เราไม่ได้เป็น

“หัวหน้าควรจะเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เพราะเดี๋ยวลูกน้องจะปรับตามเอง แต่ถ้าเราไปพยายามฝืนทำในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ลูกน้องจะงงว่าตกลงเราเป็นคนยังไงกันแน่”

.

2.สั่งงานโดยไม่สั่ง

ผู้บริหารชอบบ่นว่าคนในองค์กรไม่ค่อยมี leadership แต่ผู้บริหารเคยถามตัวเองหรือไม่ว่าเราให้โอกาสให้คนของเราได้คิดเอง-ทำเองมากพอหรือยัง

พี่อ้นมองว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้นำที่ดี คือการจับประเด็นและตั้งคำถามสำคัญ ซึ่งเหมาะกับผู้นำประเภท mentor/coach ที่ไม่ชอบออกคำสั่ง แต่ชอบตั้งคำถามให้ลูกน้องไปคิดต่อเอาเอง

เมื่อเราไม่ออกคำสั่ง แต่กระตุก/กระตุ้นให้เขาได้คิด เมื่อเขามาเสนออะไรที่เราเชื่อว่าน่าจะใช้การได้ หน้าที่ของเราคือการบอกเขาว่าเราเห็นด้วย จากนั้นก็แน่ใจได้เลยว่างานนี้จะเกิดแน่นอน เพราะมันเป็นความคิดที่มาจากตัวเขาเอง และเขาจะมี ownership ในงานนั้นอย่างเต็มเปี่ยม

“เรามาที่นี่เพื่อ get things done ส่วนใครจะเป็นเจ้าของความคิดพี่ไม่สนใจ”

.

3.เมื่อลูกน้องทำสิ่งที่เราคิดว่าไม่ถูกต้อง

พี่อ้นมีความเชื่อว่าคนทำงานส่วนใหญ่ล้วนมีความตั้งใจดีเป็นที่ตั้ง

ดังนั้นหากเกิดความผิดพลาด หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม เวลาพี่อ้นเรียกลูกน้องคนนั้นมาคุย พี่อ้นจะถามก่อนเสมอว่าทำไมถึงทำแบบนั้นลงไป ตอนที่ทำลูกน้องคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อเริ่มต้นด้วยการพยายามเข้าใจความคิดของลูกน้อง บทสนทนาย่อมจะไปต่อได้ เพราะมันจะตั้งอยู่บนการกระทำและความคิด ไม่ใช่บนตัวตนหรือนิสัย ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังมักจะคุยกันไม่จบ

.

4.คิดให้รอบก่อนคิดจะเอาใครออก

เคยมีน้องที่เป็นเจ้าของธุรกิจปรึกษาพี่อ้นว่ามีหัวหน้าคนหนึ่งที่อยู่มานาน เป็นกำลังสำคัญของบริษัท แต่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งกระทบกับการทำงานและอาจลุกลามไปถึงคนอื่นๆ ในองค์กรได้ จึงกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเชิญออกดีหรือไม่

“คำถามแรกก็คือ คุณขาดเขาได้มั้ย?”

น้องคนนั้นนิ่งคิดอยู่นาน แล้วก็ยอมรับว่าถ้าขาดเขาไปตอนนี้บริษัทน่าจะลำบาก

นั่นก็แสดงว่าการมีเขาอยู่ยังเป็นสิ่งจำเป็น และเรายังต้องซื้อเวลาไปก่อน

“คำถามถัดไปก็คือ เราคิดว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองได้ไหม” 

ถ้าเราเชื่อว่าทำได้ เราก็ต้องคุยกับเขาและบอกเขาให้ชัดเจนถึงความคาดหวังของเรา พร้อมทั้งพยายามช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่เพื่อให้เขาจัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

และคำถามสุดท้ายที่ต้องถามก็คือ “เรามีแผนรองรับแล้วหรือยัง”

ไม่ว่าหัวหน้าคนนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หรือไม่ เราก็ควรมีแผนสองรองรับเอาไว้เสมอ ถ้าเขาปรับปรุงได้ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ดีขึ้น องค์กรก็ต้องอยู่ให้ได้โดยไม่มีเขา

.

5.เปิด-ปิดสวิทช์ในตัวเรา

คนในกลุ่มปรึกษาพี่อ้นว่า จะทำอย่างไรเมื่อต้องพูดคุยกับ stakeholder ที่เราพยายามจะเข้าใจเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เขากลับไม่เข้าใจเรา และบางครั้งก็พูดในสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจ

พี่อ้นบอกว่าถ้าเราเป็นคนที่มี empathy สูง แต่อีกฝ่ายมี empathy ต่ำ เราจะรู้สึกว่าตัวเราเล็กมาก และเขาจะตัวใหญ่มาก ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการสนทนา

“บางทีเราก็ต้องปิดสวิทช์ empathy ของเราและใช้จุดแข็งอย่างอื่นแทน”

พี่อ้นเป็นคนที่มี woo ต่ำมาก จึงไม่ชอบไปงานเลี้ยง ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงตลอด

คนที่มี woo ต่ำคือคนที่เวลาไปงานปาร์ตี้แล้วจะไม่ค่อยคุยกับใคร ขณะที่คนที่มี woo สูงๆ จะสนุกกับการพูดคุยกับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้อย่างไม่เคอะเขิน

ถ้าเจองานเลี้ยงที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ พี่อ้นก็จะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เราจะเปิดสวิทช์ learner (ความเป็นคนชอบเรียนรู้) เราไม่ได้ไปงานนี้เพื่อรู้จักคนใหม่ แต่ไปเพื่อที่จะเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม เมื่อคิดได้แบบนี้ ความรู้สึกไม่อยากไปงานเลี้ยงก็ลดน้อยลง

[ทั้ง empathy woo และ learner เป็นธีมใน StrengthsFinder แบบทดสอบที่ทำให้รู้ว่าจุดเด่นและจุดด้อยของเรามีเรื่องอะไรบ้าง อ่านรายละเอียดได้ในตอนที่ 1]

 .

6.เคล็ดลับสำหรับคนคิดไม่จบ

พี่อ้นเปินคนคิดที่คิดเยอะและคิดนาน ซึ่งบางคนในกลุ่มเราก็เป็นเช่นนั้น พี่อ้นจึงแนะนำว่าให้ลองจดบันทึก

พี่อ้นเองเขียน journal มานานแล้ว โดยปัจจุบันเขียนด้วยสไตล์ “บูโจ” (BUJO – Bullet Journal) ซึ่งใช้สมุดเล่มเดียวในการจดทั้งโน้ตและทำ to-do list

สมุดเล่มหนึ่งพี่อ้นจะใช้ได้ประมาณ 3 เดือน ดังนั้นปีหนึ่งจะเขียนได้สี่เล่ม พี่อ้นเก็บเอาไว้ครบทุกเล่มและชอบกลับไปอ่านเล่มเก่าๆ เพื่อทบทวนว่าแต่ก่อนเคยคิดอะไรเอาไว้บ้าง

“พี่เป็นคนถ้าคิดแล้วคิดไม่จบ แต่ถ้าเขียนแล้วมันจบ”

.

7.ชีวิตไม่ต้องมี Purpose ก็ได้

เมื่อตอนกลางเดือนมิถุนายนที่มี IMET MAX outing ที่จันทบุรี เรามีการทำ group mentoring พี่อ้นจึงได้พูดคุยกับ mentee คนอื่นๆ ซึ่งก็นำปัญหาหนักอกมาเล่าให้พี่อ้นและ “พี่บา” ภาณุ อิงคะวัต mentor อีกท่านหนึ่งได้รับฟัง

พี่อ้นได้ข้อสังเกตว่าหลายคนรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา เพราะยังหา passion หรือ purpose ของตัวเองไม่เจอ บางคนก็รู้สึกว่ายังจัดการชีวิตตัวเองได้ไม่ดีพอ จนพี่อ้นถึงกับคุยกับพี่บาว่า จริงๆ mentee เขาก็อยู่ของเขาดีๆ แต่พอมาเข้า IMET MAX กลายเป็นรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีปัญหาขึ้นมาซะอย่างนั้น

“Is your problem really a problem?” พี่อ้นถามพวกเราให้คิดต่อ

ก่อนจะมาเป็น CEO ที่โอสถสภา พี่อ้นเคยอยู่ Unilever มา 30 ปี

องค์กรที่เป็น Multinational Company (MNC) มักจะมีเวิร์คช็อปที่สอนให้พนักงานเขียน Life purpose ของตัวเอง

“พี่ไม่อินเลย แต่ถ้าไม่เขียนเขาก็ไม่ให้เรากลับบ้าน”

พี่อ้นถูกที่ทำงานจับเข้าเวิร์คช็อปให้เขียน life purpose/life vision หลายต่อหลายครั้ง

“สรุปสุดท้ายแล้วมันมีประโยชน์มั้ยพี่?” ผมถามแหย่

พี่อ้นนิ่งคิดนิดนึงก่อนจะยิ้มส่ายหน้า

ในมุมมองของพี่อ้น สำหรับคนจำนวนมาก ถ้าเรายังหา vision หรือ purpose ไม่เจอก็ไม่เป็นไร ขอแค่เราใช้ชีวิตให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุดในทุกวัน แล้วบางเหตุการณ์จะพาเราไปเจอเองว่าความหมายของชีวิตหรือเป้าหมายที่เราควรตั้งคืออะไร

พี่อ้นเคยจดบันทึกเอาไว้ตอนอายุ 27 ว่า

“I will be healthy and happy every day of my life”

คงเรียกไม่ได้ว่าเป็น purpose แต่เป็น motto ของพี่อ้นที่ยึดถือตลอดมา

และเท่านั้น สำหรับบางคนก็อาจเพียงพอแล้วรึเปล่าสำหรับการมีชีวิตที่ดี?

—–

Reflection

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือของ OSHO คุรุทางจิตวิญญาณชาวอินเดียผู้ล่วงลับไปแล้ว

หัวข้อการพูดคุยในครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึงถ้อยคำที่โอโชเคยกล่าวเอาไว้

“จงจำไว้ ชีวิตของคุณจะสูญเปล่าถ้าคุณวิ่งตามเป้าหมายบางอย่าง เพราะชีวิตนั้นไม่มีเป้าหมาย มันคือการละเล่นที่ไร้จุดประสงค์ 

บทกวีเกิดขึ้นเพราะมันไม่มีเป้าหมาย เหตุใดกุหลาบจึงผลิดอก จงถามกุหลาบ มันจะตอบว่า ‘ฉันก็ไม่รู้ แต่การผลิดอกนั้นงดงาม จะต้องรู้ไปเพื่ออะไรเล่า’

ถามนก ‘ทำไมเจ้าจึงร้องเพลง’ นกก็จะงงงวยกับคำถามไร้สาระที่คุณถาม การร้องเพลงนั้นสวยงาม มันเป็นสิริมงคล ทำไมถึงต้องถามด้วย

ชั่วขณะนี้ สรรพสิ่งที่ดำรงอยู่คือการเฉลิมฉลอง ทุกสิ่งยกเว้นตัวคุณ ทำไมถึงไม่เข้าร่วมด้วยเล่า ทำไมถึงไม่เป็นเช่นดอกไม้ เพียงผลิบานโดยไร้เป้าหมาย และเหตุใดจึงไม่เป็นเช่นแม่น้ำ ที่ไหลไปโดยไร้ความหมาย ทำไมถึงไม่เป็นเช่นมหาสมุทรที่คำรามก้อง เพียงพอใจที่จะเป็น”

อาจมีบางคนที่ “ไม่ถูกใจสิ่งนี้” เพราะตัวเองพบว่าการมี life purpose นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญหรือกระทั่งเป็นสิ่งจำเป็น

แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวไปในตอนที่ 1 ว่าดอกไม้มีได้หลายสี การดำเนินชีวิตไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว

ถ้าจะมีสูตรสำเร็จในชีวิตอะไรสักอย่าง ก็คือการตระหนักได้ว่าชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ ดังนั้นอย่าพยายามไปวิ่งตามชีวิตของคนอื่น เพราะเราทุกคนมีที่มาที่ต่างกัน และมีที่ไปที่ต่างกัน

หัวหน้าของผมมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่มีอะไรถูกหรือผิด มีแค่เวิร์คหรือไม่เวิร์คสำหรับเราเท่านั้น

เราฟังคนอื่นได้ เราเรียนรู้จากคนอื่นได้ แต่สุดท้ายเราต้องหาเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเราเองครับ

กับคนอื่นให้ใช้เหตุผล กับคนใกล้ตัวให้ใช้อารมณ์

(เคล็ดวิชาชีวิตจากพี่เตา บรรยง IMET MAX)

ผมเพิ่งไป outing ที่จันทบุรีกับ IMET MAX รุ่นที่ 5 มาครับ

IMET MAX คือโครงการอุทยานผู้นำที่จัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง มี mentor 12 ท่านจับคู่กับ mentee 36 คนเป็นเวลา 8 เดือน

ผมและเพื่อนอีกสองคนได้ “พี่อ้น” วรรณิภา ภักดีบุตร CEO ของโอสถสภาเป็นเมนทอร์ และได้เขียนถึงไปบ้างแล้ว

การไปเที่ยวรอบนี้ทำให้ได้รู้จักกับ mentor ท่านอื่นๆ โดยเมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้สนทนากับ “พี่เตา” บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

พี่เตาผ่านชีวิตมาเยอะมาก แถมความจำก็ดีมากราวกับสิ่งต่างๆ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

พอเราถามว่าทำไมพี่เตาถึงจำแม่นได้ขนาดนี้ พี่เตาบอกว่าเพราะ “โยนิโสมนสิการ”

“เมื่อเราตั้งใจคิดมาทุกด้าน เราจะไม่ลืม”

ก็เลยขอคัดบางถ้อยคำมาแชร์ไว้ในบทความนี้ เพื่อให้ผู้อ่านค่อยๆ น้อมใจคิดตามและนำไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์นะครับ

วิชาความเสี่ยง

สมัยพี่เตาทำงานด้าน investment banking ใหม่ๆ มีผู้บริหารชาวต่างชาติคนหนึ่งสอนพี่เตาว่า

“No risk, no future, no glory.”

ดังนั้นเราต้องกล้าเสี่ยง โดยมีข้อแม้อยู่สองข้อ

หนึ่ง ความเสี่ยงนั้นต้องเป็น calculated risk

สอง ห้ามแทงหมดตัว

.

วิชาผู้นำ

พี่เตาเรียนจบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 2.04

พี่เตาจึงย้ำเสมอว่าเขาไม่ใช่คนเก่ง แต่เขารู้ว่าใครเก่ง ดังนั้นความสามารถของพี่เตาคือการไปชักชวนคนเก่งให้มาทำงานด้วย

พี่เตาชอบคำสอนหนึ่งในหนังสือ Control Your Destiny or Someone Else Will ที่ว่าด้วยหลักการการทำงานของ Jack Welch อดีต CEO ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง General Electric

“Don’t manage. Lead.”

ถ้าเราคิดจะจัดการหรือปกครอง แปลว่าเรามองเห็นคนอื่นต่ำกว่า

แต่เราออกมานำ เรามองเขากับเราเท่ากัน

พี่เตาเพิ่มเติมว่า 3 ทักษะของการเป็นผู้นำก็คือ

หนึ่ง Conceptual skill เราสามารถมองภาพใหญ่แบบ bird’s-eye view ได้

สอง Technical skills เรามีความรู้มากพอที่จะลงรายละเอียดกับน้องๆ

สาม People skill ซึ่งยากที่สุด

คนที่มี people skill ไม่ใช่คนที่ทำให้ทุกคนชอบเรา

สำหรับพี่เตาคนที่มี people skill คือคนที่สามารถทำให้คนอื่นคิดและทำในแบบที่เราต้องการได้ (get people to think and act what you want)

“ถ้าเขาคิดเหมือนที่เราอยากให้เขาคิดก็ดี แต่ถ้าเขาไม่ได้คิดเหมือนเรา อย่างน้อยต้องโน้มน้าวให้เขาทำสิ่งที่เราอยากให้เขาทำ”

.

วิชาผู้ประกอบการ

Jack Welch บอกว่าผู้นำต้องมี 1P กับ 4E

Passion
Energy
Energize people – respect and empathy เข้าใจเขา
Edge มีความคม กล้าเสี่ยง
Execute – สามารถ make things happen ได้

ส่วนพี่เตาบอกว่าเจ้าของธุรกิจต้องมี 5 ใจ

ใจรัก
ใจสู้
ใจถึง
ใจกว้าง
ใจสูง

“ความรู้ทุกอย่างนั้นมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดเอง ถ้าเราเห็นใครทำแล้วดี และเรายังไม่มองเห็นผลเสีย พรุ่งนี้เราก็ลองทำแบบเขา และทำให้ดีกว่า”

.

วิชาอุอากะสะ

พี่เตาบอกว่าถ้าเราศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะพบความมหัศจรรย์มากมาย

ยกตัวอย่าง ทิฏฐธัมมิกัตถะ ซึ่งเป็นหลักธรรมในพุทธศาสนาที่บางคนเรียกว่า “หัวใจเศรษฐี”

  1. อุฏฐานสัมปทา เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน
  2. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์
  3. กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคนชั่ว
  4. สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์

พี่เตาทักว่าคำสอนนี้คล้ายคลึงกับสามเหลี่ยมของมาสโลว์มาก

  1. Physiology
  2. Security
  3. Love & Belonging
  4. Esteem
  5. Self-actualization

ซึ่ง self-actualization ในทางศาสนาพุทธก็คือนิพพานนั่นเอง

พี่เตาไม่เชื่อว่ามาสโลว์จะลอกไอเดียจากพระพุทธเจ้า แต่เชื่อว่าอะไรที่มันเป็นสัจธรรมสุดท้ายแล้วก็จะได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกัน

.

วิชาการเงิน

สำหรับพี่เตา เงินคืออำนาจซื้อ แต่สำหรับบางคน เงินคือเครื่องมือวัดความสำเร็จ

สำหรับบางคน เงินคือ security หรือความมั่นคง

สำหรับพี่เตา security ที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพและความสัมพันธ์

.

วิชาเชื่อใจ

การสร้างความเชื่อใจมีสามขั้นตอน

  1. Connection รู้จัก
  2. Relation สัมพันธ์
  3. Trust เชื่อใจ

พี่เตายังบอกอีกว่าความเชื่อใจนั้นต้องดูด้วยว่าเชื่อใจเพราะอะไร

  1. จริงใจ – integrity
  2. จริงจัง – commitment
  3. ตัวจริง

พี่เตาจะบอกลูกค้าเสมอว่า “เวลาที่ผมทำ deal ให้คุณ คุณเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตผม”

พี่เตาเล่าถึงวันที่บินไปปารีสเพื่อดูรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก France 98 ที่ฝรั่งเศสปะทะกับบราซิล

ปรากฎว่าลูกค้าของพี่เตาโทรมาแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญมาก ต้องการให้พี่เตาไปคุยด้วย

พี่เตาตัดสินใจเอาตั๋วรอบชิงให้คนอื่น แล้วบินกลับไทยวันนั้นเลย

แม้พี่เตาจะอดดูฟุตบอลโลกนัดชิงในปีนั้น แต่สิ่งที่พี่เตาได้กลับมาก็มากพอที่จะดูฟุตบอลโลกรอบชิงอีกกี่ครั้งก็ได้ในชีวิต

วิชาครอบครัว

ผมถามว่า เมื่อเราต้องทำงานหนัก ต้องออกไปเจอคนมากมาย หลายครั้งกลับบ้านค่ำมืดดึกดื่น ทำอย่างไรให้ภรรยาไม่รู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องตัวเองมากกว่าเรื่องครอบครัว

สิ่งที่พี่เตาทำคือให้ภรรยาได้มีส่วนร่วม ในความหมายที่ว่า พอมีงานอะไร เจอปัญหาอะไรมา พี่เตาจะเล่าให้ภรรยาฟัง แม้เขาจะรู้เรื่องบ้างหรือไม่รู้เรื่องบ้างก็ไม่เป็นไร

อีกอย่างหนึ่งที่พี่เตาทำคือให้ภรรยารู้จักกับเพื่อนสนิทของพี่เตาทุกคน และพี่เตาก็รู้จักกับเพื่อนสนิทของภรรยาทุกคน เวลาภรรยาไปเจอเพื่อนพี่เตาก็ไปด้วย เวลาพี่เตาไปเจอเพื่อนภรรยาก็ไปด้วย พอเขารู้ว่าเวลาเราไม่อยู่บ้านเราอยู่กับใคร เขาก็จะสบายใจขึ้น

เวลาพี่เตาให้คำแนะนำคนที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่ พี่เตามักจะแนะนำว่า

“อย่าคิดที่จะปรับตัวเข้าหากัน ไม่อย่างนั้นเราจะรู้สึกว่าทำไมเราปรับตัวอยู่ฝ่ายเดียว แต่เราควรคิดว่าเรานี่แหละที่จะเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาเขาเอง”

อีกคำแนะนำก็คือ

“กับคนอื่นให้ใช้เหตุผล กับคนใกล้ตัวให้ใช้อารมณ์ แต่ต้องเป็นอารมณ์ของเขานะ ไม่ใช่อารมณ์ของเรา”

ขอบคุณพี่เตา บรรยง พงษ์พานิช สำหรับเคล็ดวิชาชีวิต

ขอบคุณ IMET MAX อีกครั้งที่จัดสรรให้พวกเราได้มีบทสนทนาอันเปี่ยมไปด้วยปัญญาและความปรารถนาดีครับ

ชีวิตเป็นดั่งสายน้ำ

(เคล็ดวิชาชีวิตจากพี่อ้น IMET MAX ตอนที่ 2)

(อ่านตอนที่ 1 ได้ในบทความ “วัยสี่สิบกว่าคือนาทีทอง – เคล็ดวิชาชีวิตจากพี่อ้น IMET MAX ตอนที่ 1″)

ในการพบปะกันครั้งที่สองเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เราเจอกันที่ร้านศรีตราด ซอยสุขุมวิท 33 ร้านนี้จองยากและคนแน่น ต้องขอบคุณ “พี่แจง” เลขาพี่อ้นที่ช่วยเป็นธุระให้

เมนูในวันนี้ได้แก่ออเดิร์ฟรวม น้ำพริกปูไข่ ปลาเห็ดโคนทอดขมิ้น แกงมัสมั่นไก่ทุเรียน หมูสับปลาเค็มตราด ต่อด้วยของหวานอย่างวุ้นลูกสำรองราดกะทิสด สาคูมะพร้าวอ่อนน้ำตาลอ้อย และข้าวเหนียวเปียกแดงน้ำตาลอ้อย

รอบนี้เราคุยกันลึกขึ้นและนานขึ้น อยู่ด้วยกันเกือบสี่ชั่วโมง

นี่คือเนื้อหาสาระจากบางส่วนที่ผมสามารถนำมาเล่าสู่กันฟังในบล็อกนี้ได้ครับ

.

1. สงบศึกกับตัวเอง

ความเดิมจากตอนที่แล้ว พี่อ้นแนะนำให้พวกเราทำไปลองทำแบบทดสอบ StrengthsFinder รวมถึงให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ชื่อแอนดรูว์ช่วยอธิบายให้เราฟังด้วย ซึ่งทั้งเอ็ม อ้อ และผมก็ได้ทำแบบทดสอบและคุยกับแอนดรูว์มาเรียบร้อย

StrengthsFinder คือแบบทดสอบที่บ่งบอกว่าเราโดดเด่นในด้านใดในธีมทั้งหมด 34 ธีม

Top 5 ของผมได้แก่ Relator, Connectedness, Empathy, Learner และ Responsibility

ส่วน Bottom 5 ของผมได้แก่ Command, Competition, Woo, Restorative, และ Significance

หลักการของ StrengthsFinder ก็คือเราควรใช้จุดแข็งของตัวเองเยอะๆ เพราะมันคือสิ่งที่เราจะทำได้ดีกว่าคนอื่นโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก

ส่วนเรื่องที่เราไม่เก่ง เราก็อย่าไปฝืน ถ้าผมไม่ชอบออกคำสั่งหรือแข่งขันกับใคร ผมควรจะหาคนที่เด่นในด้านนี้มาช่วยปิดจุดอ่อนเหล่านี้แทน

“เอ็ม” ที่เป็น mentee กลุ่มเดียวกับผม บอกว่าหลังจากทำ StrengthsFinder แล้วเขาเปลี่ยนวิธีการทำงานไปโดยสิ้นเชิง

เอ็มเป็น CEO ของ Arincare ซึ่งทำ POS ให้ร้านขายยา ซึ่งโดยภาพจำของ CEO ต้องพูดเก่ง สื่อสารคล่อง และ inspire คนเยอะๆ แต่เอ็มรู้สึกว่าที่ผ่านมาเขาต้องฝืนตัวเองมาก พอได้ทำแบบทดสอบถึงเห็นว่าธีม Communication ของเอ็มอยู่เกือบที่สุดท้าย

จุดแข็งของเอ็ม 5 ข้อคือ Deliberative, Learner, Focus, Input, Analytical และมี Relator เป็นอันดับที่ 6

เมื่อรู้ว่าจุดแข็งของตัวเองคือการสร้างความสัมพันธ์ ความไตร่ตรองและการเรียนรู้ เอ็มจึงลองพูดให้น้อยและฟังให้มาก เพียงปรับตรงนี้แค่นิดเดียว ปรากฎว่าเอ็มได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์กับน้องที่ดีขึ้น แต่ความสัมพันธ์ที่มีกับตัวเองก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

พี่อ้นบอกว่า เมื่อเรามีอายุ เราจะอยากทำความรู้จักกับตัวเอง แล้วจะพบว่าหลายๆ อย่างเราเปลี่ยนไม่ได้ ความสุขจึงมาจากการยอมรับในสิ่งที่เราเป็น จากการ make peace กับตัวเองว่าเราไม่จำเป็นต้องเก่งไปเสียทุกเรื่อง

“เราสามารถชื่นชมคนอื่นได้ โดยที่ไม่ต้องอยากเป็นเหมือนเขา”

.

2. เส้นที่จะไม่ยอมข้าม

เราถามพี่อ้นว่า อะไรคือคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้พี่อ้นเติบโตในหน้าที่การงานมาจนถึงจุดนี้

พี่อ้นตอบว่าน่าจะเป็นเรื่อง delivery หรือการส่งมอบงานตามที่ตกลงกันไว้

พี่อ้นไม่ใช่คนเอาใจนาย เป็นคนที่มีเส้นค่อนข้างชัดเจนว่าอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้

พี่อ้นจึงไม่ใช่คนประเภท ‘do whatever it takes’ หรือทำอะไรก็ตามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างที่คนอื่นคาดหวัง

พี่อ้นรู้ว่าตัวเองไม่ได้เหมาะกับธุรกิจบางอย่างที่ต้องแข่งขันกันรุนแรง พร้อมที่จะฆ่าคู่แข่งและทำกำไรให้มากที่สุด ถ้าไปอยู่ในธุรกิจประเภทนี้พี่อ้นคิดว่าตัวเองคงทำได้ไม่ดี

อะไรที่เป็นสีเทา อะไรที่ขัดกับหลักการของตนพี่อ้นจึงไม่ยอม compromise โดยเด็ดขาด

“ไม่อยากกลับมาบ้านแล้วเสียใจ” พี่อ้นกล่าว

.

3. แพ้บ้างก็ได้

หนึ่งในกลุ่มพวกเราปรึกษาพี่อ้นเรื่อง career path ว่าจะเอาอย่างไรต่อ ถ้าจะลองไปทำในสิ่งที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์หรือไม่แน่ใจว่าจะชอบหรือเปล่า ก็เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี

พี่อ้นบอกว่า โปรไฟล์อย่างพี่อ้นนี่น่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้เป็น CEO (ใน StrengthsFinder ธีม significance และ command ของพี่อ้นอยู่รั้งท้าย)

“ถ้าพี่เป็น CEO ได้ ทำไมพวกคุณจะเป็นไม่ได้”

พี่อ้นบอกว่าบางทีเราก็ต้องกล้ากระโดดไปหาสิ่งที่เราไม่รู้จักหรือไม่แน่ใจ

พวกเราก็ถามต่อว่า แล้วถ้ามันไม่เวิร์คล่ะ?

“So what?” พี่อ้นตอบ

ก่อนจะตัดสินใจมาทำงานที่โอสถสภา พี่อ้นเผื่อใจไว้เหมือนกันว่าอาจไม่ประสบความสำเร็จเพราะมันต่างกับ Unilever มาก แต่ก็คิดว่าถ้าล้มเหลวก็ไม่เป็นไร ก็แค่พักสัก 3-4 เดือนแล้วค่อยหางานใหม่

หากเราคิดเผื่อไปเลยว่าถ้า next step มันไม่เวิร์คแล้วเราจะทำอะไรต่อ เราก็จะมีความกลัวน้อยลง

พี่อ้นบอกว่าเกมชีวิตมันมีวิธีเล่นอยู่สองแบบ คือ Play To Win กับ Play Not To Lose

ถ้าเรา Play Not To Lose แล้วบอกตัวเองว่า “แพ้ไม่ได้” เราจะเครียด เราจะกลัว เราจะระวังตัวมากจนเกินไป

แต่ถ้าเราคิดว่า “แพ้แล้ว so what?” ตัวเราจะเบา เราจะมีความคิดสร้างสรรค์และมีพลังงานที่ดีกว่า และเราจะกล้า Play To Win

.

4. วิธีรับมือแม่

หนึ่งในกลุ่มพวกเราขอคำปรึกษาพี่อ้น ว่าเวลาคุยกับแม่แล้วมักจะหงุดหงิด เพราะแม่เป็นคนมีไอเดียเยอะ ชอบโทรมาหาแล้วถามว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น-ไม่ทำอย่างนี้ ซึ่งบางเรื่องก็เคยบอกไปแล้วแต่แม่ก็ยังพูดซ้ำเรื่องเดิม แถมบางคำพูดที่ออกมาจากปากแม่ก็ทำให้ไม่สบายใจ จนบางครั้งรู้สึกไม่อยากรับสายแม่

พี่อ้นถามกลับว่า รู้สึกอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กหรือไม่ เจ้าตัวตอบว่าไม่ เพิ่งจะมาเป็นช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา

พี่อ้นก็เลยเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟัง ว่าแม่พี่อ้นวัย 92 ปีก็ชอบโทรมาบ่นเหมือนกัน เช่นแม่ครัวที่บ้านทำกับข้าวเค็มไป หรือใช้จานชามไม่เข้าชุด พอพี่อ้นบอกว่าจะซื้อให้ใหม่ แม่ก็ไม่เอาเพราะสิ้นเปลือง

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร พอพี่อ้นเสนอทางออก แม่พี่อ้นมักจะเถียงกลับเสมอ จนลูกสาวพี่อ้นยังเปรยว่า “คุณยายนี่บางทีก็ย้อนแย้งเนอะ”

พี่อ้นต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วแม่ไม่ได้ต้องการทางออก แม่โทรมาหาพี่อ้นเพราะคิดถึงเฉยๆ

แถมคนอายุขนาดนี้แล้วมันมีเรื่องเหลือให้คุยไม่มาก จึงมักคุยได้แค่เรื่องเดิมๆ หรือพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่คิดอะไร แต่บังเอิญคำบางคำดันมากระทบใจและเราเก็บมาคิดมาก

“อย่ามองเขาเหมือนที่เรามองตัวเอง” พี่อ้นบอก

พี่อ้นแนะนำว่า ในฐานะลูก เรามีหน้าที่แค่รับฟังและไม่ต้องแนะนำอะไร แค่แม่ได้คุยจนหายคิดถึงเขาก็จะแฮปปี้แล้ววางสายไปเอง

.

5. ชีวิตเป็นดั่งสายน้ำ

เราถามพี่อ้นว่า พี่อ้นนับถือใครเป็นครูหรือเป็นไอดอลบ้าง

พี่อ้นนึกอยู่นาน ก่อนจะตอบว่าไม่ได้มีใครที่ยึดเป็นบุคคลต้นแบบ แต่จะนับถือเป็นเรื่องๆ ไป เช่นหัวหน้าคนนี้เก่งเรื่องนี้ หัวหน้าอีกคนก็เด่นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนพ่อพี่อ้นก็เป็นคนปลูกฝังเรื่อง core values ต่างๆ เช่นการไม่เอาเปรียบใครและการมีวินัยทางการเงิน

ส่วนอีกคนที่พี่อ้นนับถือก็คือคุณยาย

คุณยายเป็นคนเลี้ยงพี่อ้นมาตั้งแต่เด็ก พี่อ้นจึงผูกพันกับคุณยายมาก

คุณยายของพี่อ้นเพิ่งเสียไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สิริอายุรวม 108 ปี นั่นหมายความว่าคุณยายเกิดสมัยปลายรัชกาลที่ 5 – ต้นรัชกาลที่ 6!

คุณยายชอบเล่าความหลังครั้งเก่าให้พี่อ้นฟัง ว่าเคยทำธุรกิจล่องเรือไปขายของถึงสุราษฎร์ธานี ตอนนั้นมีเรือสองลำ แต่ปรากฎว่าเกิดเหตุทำให้เรือล่มทั้งคู่จนต้องเลิกทำธุรกิจนี้ไป จากนั้นจึงเริ่มทำงานรับเหมาก่อสร้าง

สมัยนั้นยังไม่มีธนาคาร เงินที่ได้มาก็จึงเก็บไว้ในบ้านทั้งหมด แต่ปรากฎว่าบ้านไฟไหม้ ต้องเริ่มทุกอย่างจากศูนย์อีกครั้ง

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณตาของพี่อ้นก็ถูกทหารญี่ปุ่นจับเข้าค่ายกักกัน คุณยายต้องไปลอบพาตัวหนีออกมา

ชีวิตคุณยายฟันฝ่าวิกฤติมาหลายครั้ง แต่ก็ยังอยู่มาได้ถึง 108 ปี คุณยายจึงสอนพี่อ้นเสมอว่า

“ชีวิตเป็นดั่งสายน้ำ มันจะหาทางไปต่อได้เสมอ”


Reflection

การทำ StrenghsFinder ช่วยให้เรารู้ว่าเรามีจุดอ่อนอะไร และเราก็ไม่ต้องไปพยายามพัฒนาจุดอ่อนนั้น เพราะเราเปลี่ยนมันไม่ได้

ฟังดูเหมือนการถอดใจ หรือดูขัดกับหลักการ Growth Mindset ที่สอนว่าคนเรานั้นพัฒนาได้เสมอ แต่ผมคิดว่าแท้จริงแล้วสองเรื่องนี้ไม่ได้ขัดกัน เราเพียงแค่ยอมแพ้ในบางเรื่อง เพื่อเอาแรงและเวลาที่เรามีอย่างจำกัดไปลงทุนกับสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว เพื่อจะสร้างคุณประโยชน์ได้มากกว่า

ตัวละครหนึ่งในการ์ตูนเรื่อง One Piece ก็เคยกล่าวไว้ว่า “การยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง คือสัญญาณหนึ่งของการเติบโต”

เนื่องจากพี่อ้นมีเส้นที่ค่อนข้างชัดเจนว่าอะไรที่พี่อ้นพร้อมทำ และอะไรที่พี่อ้นจะไม่ยอมทำ พี่อ้นจึงรู้ตัวว่าไม่เหมาะกับธุรกิจบางประเภท ถ้าได้ไปทำก็คงทำได้ไม่ดี ผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์ที่ย้ายสายธุรกิจโดยไม่ได้ศึกษาก่อน สุดท้ายก็ไม่ผ่านช่วงทดลองงาน จนได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าคนเก่งที่อยู่ผิดที่ก็กลายเป็นคนไม่เก่งได้เหมือนกัน

ได้ฟังเรื่องที่พี่อ้นเล่าถึงคุณแม่แล้ว ก็ทำให้ผมนึกถึงภรรยาของตัวเอง – ด้วยความเป็นผู้ชาย และด้วยความที่เรียนวิศวะมา เวลาภรรยามาปรึกษาผมจึงมีแนวโน้มที่จะหาต้นเหตุและหาทางแก้ไข

มีครั้งหนึ่งที่ผมเข้าสู่ problem solving mode เร็วเกินไป ภรรยาก็เลยต้องเตือนสติว่า “รุตม์…เราไม่ได้ต้องการหนังสือ How To เราแค่ต้องการคนรับฟังและอยู่ข้างเราบ้างเท่านั้นเอง”

ผมมีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นปรับตัวเก่งกว่าที่เราคิด ต่อให้เจอวิกฤติอะไร หากเรายังครองสติเอาไว้เราก็จะผ่านมันไปได้ เช่นเดียวกับที่เราเคยผ่านมันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

ยอมรับในข้อจำกัดของตน ใช้จุดแข็งสร้างคุณค่าที่ไม่เหมือนใครเพื่อจะได้ Play to Win – แต่ถ้าแพ้ก็แค่ยักไหล่

แล้วชีวิตย่อมมีทางไปเหมือนสายน้ำทุกสายบนโลกใบนี้ครับ