
Yuval Noah Harrari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่า
“We are hackable animals”
ในความหมายที่ว่า AI สามารถประมวลข้อมูล big data ที่เก็บมาจากพฤติกรรมการใช้งานในโลกอินเทอร์เน็ต จนสามารถเดาใจหรือแม้กระทั่ง “ชักใย” (manipulate) เราได้
ไม่ว่าจะเป็น Google, Youtube, Facebook, Netflix, Shopee, Lazada, Amazon เว็บเหล่านี้ล้วนเก็บพฤติกรรมของเราไว้หมดว่าเสิร์ชอะไรบ้าง คลิกอะไรบ้าง เพื่อที่มันจะ suggest บทความ วีดีโอ หรือสินค้าที่เราสนใจ
ในอนาคตเมื่อ internet of things และ wearable technolgoies เข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเมื่อ COVID หรือโรคระบาดอื่นๆ ทำให้เราต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเรามากกว่าที่เคย (เช่นวันนี้ไปเดินห้างไหนมา เข้าร้านไหนตอนกี่โมง) ข้อมูลเหล่านี้ก็จะยิ่งถูกนำไปประมวลผลเพื่อเอามาวิเคราะห์ตัวตนและรสนิยมของเราได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น
จากที่เคยเดินตามหลังมนุษย์ AI จะมาเดินนำหน้ามนุษย์และโน้มน้าวให้เราชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังถูกชักจูงอยู่
AI จะ shape ความคิด พฤติกรรม การซื้อ หรือแม้กระทั่งความฝันและการเลือกคู่
และเมื่อถึงตอนนั้น AI ก็จะ ‘hack’ มนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แล้วเราจะต้านทานปรากฎการณ์นี้ได้อย่างไร
บางที เราอาจต้องกลับไปที่คำสอนโบราณ ที่บอกว่า ‘Know thyself’ – จงรู้จักตนเอง
แต่การรู้จักตนเองเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
เมื่อมือถือ จอมอนิเตอร์ และจอทีวีมาจับจองช่วงเวลาตื่นของเราไปเสียหมดสิ้น เราจึงแทบไม่เหลือเวลาที่จะศึกษาตัวเองเลย
เรารู้เรื่องข้างนอกเยอะไปหมด เยอะจนเกินความจำเป็น ในขณะที่เรารู้เนื้อรู้ตัว และรู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองน้อยมาก
สิ่งที่เราคิดว่าเราต้องการ บางทีมันเป็นสิ่งที่สังคมบอกว่าเราควรต้องการเท่านั้นเอง
และแนวโน้มก็จะมีแต่แย่ลง เพราะองค์กรใหญ่ๆ อย่าง Facebook หรือ Youtube นั้นเค้าจ้างคนจบปริญญาเอกด้าน psychology เพื่อมาทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขา sticky จนเราเสพติดอย่างงอมแงม
ถ้าเราปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกระแส ใช้เทคโนโลยีอย่างไม่ระวังตัว เราก็จะกลายเป็นเพียงหุ่นยนต์ เป็นเพียง hackable animals ที่ AI สั่งซ้ายหันขวาหันได้
ทุกๆ วัน เราจึงควรมีเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง อยู่เงียบๆ โดยไม่ต้องอ่านอะไร ไม่ต้องพูดอะไร ไม่ต้องฟังอะไรนอกจากเสียงในหัวและในใจของเราเอง
ก่อนจบบทความนี้ ผมขอยกคำถามสุดท้ายที่ผมเคยถามพี่ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ที่เคยมาเป็นแขกของ Wongnai WeShare ครับ:
—–
พี่ภิญโญเคยอธิบายไว้ว่า การอยู่รอดในยุคถัดไปที่จะมี AI มาทำงานแทนเรา เราต้องกลับไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ อยากให้พี่ช่วยขยายความหน่อยว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในวันที่โดน AI แย่งงาน
ถ้า AI ทำงานแทนเราได้ทั้งหมด – ซึ่งมันจะทำงานส่วนใหญ่แทนเราได้ น่าจะชงกาแฟอร่อยกว่าด้วยซ้ำไปถ้าสัดส่วนถูกต้อง
เราเป็นมนุษย์ เรารู้อยู่แล้วว่าแท้ที่สุด ลึกลงไปของหัวใจ มนุษย์อย่างพวกเราต้องการอะไร และสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ถามว่าหุ่นยนต์กลไก AI มอบให้เราได้ไหม
AI จะเคยหลั่งน้ำตาให้ใครได้ไหม จะเคยเสียใจปลอบใจใครได้ไหม ในวันที่เราสูญเสียคนรัก สูญเสียมิตรภาพ ตกงาน คุณอยากมีเพื่อนดีๆ สักคนหนึ่ง อยากกอดใครสักคนหนึ่ง ในวันที่คุณสูญเสีย เจ็บปวด เศร้าใจ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ คุณจะกอดเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่บ้านไหม คุณจะคุยกับ Siri เหรอ
ในวันที่บุพการีของคุณ หรือคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะให้ AI อยู่ข้างเตียงแล้วคอยเปิดบทสวดมนต์กล่อมพ่อแม่คุณให้ไปสู่สุคติ หรือคุณอยากได้สมณะที่คุณนับถือและคุณเชื่อว่ามีการปฏิบัติภาวนาที่แก่กล้านำพาดวงวิญญาณของบุพการีคุณสู่สัมปรายภพ
คุณจะเลือกนักร้องที่ดังที่สุดที่อยู่ใน AI มาเปิดข้างเตียงให้แม่คุณฟัง หรือคุณอยากจะหาคนที่คุณไว้วางใจที่สุด นุ่มนวลที่สุดในชีวิตเข้าไปจับมือประคองดวงวิญญาณของบุพการีไปสู่สรวงสวรรค์
ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ คุณอยากจะอยู่กับหุ่นยนต์สักตัวหนึ่งแล้วดินเนอร์ด้วยกัน หรือว่าคุณอยากจะนั่งอยู่กับคนที่คุณรักแล้วจับมืออยู่ด้วยกัน คุณอยากกินซูชิที่อร่อยที่สุดจากมือหุ่นยนต์ หรือคุณอยากนั่งกินซูชิโดยมือของเชฟที่อายุ 90 ปีที่ผ่านการทำงานมาแล้ว 50 ปี
มันมีบางเรื่องในชีวิตที่หุ่นยนต์กลไกทำงานแทนมนุษย์ไม่ได้ และนั่นคือคำถามว่ามันคืออะไร และนั่นคือสิ่งที่มนุษย์ต้องห่วงแหนรักษาเอาไว้เพื่อไม่ให้หายไป นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้
ถ้าเราหาเจอว่าสิ่งนั้นคืออะไร เราจำเป็นต้องรักษาไว้ และถ้าเราฉลาดพอว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องรักษาไว้ แล้วเราสร้างธุรกิจหรือดำเนินชีวิตไปกับสิ่งที่เป็นคุณค่าของมนุษย์เหล่านั้นได้ เราก็จะอยู่ได้ในโลกสมัยใหม่ และนั่นเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์กลไก AI จะ disrupt เราไม่ได้
ถึงที่สุดแล้ว AI ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ ปัญหาคือมนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ต่างหาก เราจึงกลัว AI จึงกลัวหุ่นยนต์และกลไก สิ่งที่ต้องรักษาไว้สูงสุดคือความเป็นมนุษย์ และเรื่องที่ผมคุยมาตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาทั้งหมดคือความเป็นมนุษย์
ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ไว้ไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลัวหุ่นยนต์ให้มากที่สุด แต่ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ แล้วเรารู้ว่าคุณค่าสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่ไหน เราไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวความเปลี่ยนแปลง AI จะ disrupt เราไม่ได้ ฉะนั้นจงหาให้เจอว่าคุณค่าที่แท้จริงที่สูงสุดของมนุษย์อยู่ตรงไหน
ถามว่าจะต้องไปค้นหาที่ไหนเหล่า ก็ต้องย้อนกลับเข้ามาข้างในตัวเรา เพราะใครจะเป็นมนุษย์และรู้จักมนุษย์ได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ทุกคนล้วนเป็นแบบจำลองของมนุษย์ที่ทั้งสมบูรณ์แบบและไม่สมบูรณ์แบบอยู่ในตัว
ใน Present หนังสือเล่มล่าสุดที่ผมเขียน ผมขอให้ทุกคนย้อนกลับเข้ามาดูในตัวเรา มันเป็นศาสตร์ที่ยากและลึกซึ้ง ต้องใช้เวลาอ่านหลายปี อาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ 10 ปี 20 ปีแต่หวังว่าทุกคนจะเริ่มทำความเข้าใจ แล้วย้อนกลับมาดูข้างในว่าอะไรคือหัวใจสูงสุดของมนุษย์ที่ AI หุ่นยนต์กลไกมา disrupt เราไม่ได้ เพราะมันเป็นศาสตร์ที่ปลูกฝังไว้ในตัวเรามาเป็นพันปีแล้ว แล้วทำไมปราชญ์โบราณ ศาสดาพยากรณ์โบราณเข้าใจเรื่องแบบนี้ทั้งหมด แล้วเราซึ่งคิดว่าตัวเองชาญฉลาดที่สุดในโลก อยู่ในยุคที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี ทำไมเราไม่เข้าใจ ทำไมเรามองข้าม ทำไมเราปรามาสว่านี่เป็นปัญญาแต่อดีตกาล แล้วเราหลงลืมกันไป แล้วเราก็กลัวว่า AI จะมา disrupt เรา
ถ้าเราหาหัวใจเหล่านี้ไม่เจอ เราก็จะสูญเสียหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ไป และแน่นอนเราจะถูก disrupt แต่ถ้าเราเจอหัวใจของตัวเรา ยากที่หุ่นยนต์กลไกจะ disrupt เราได้ คำถามคือเราเจอหรือเปล่าว่าหัวใจที่แท้จริง จิตวิญญาณที่แท้ ความหมายที่แท้ของการเป็นมนุษย์ของเราอยู่ที่ไหน
ขอให้ย้อนกลับไปข้างในนั้นแล้วจะเจอ ถ้าไม่เจอวันนี้พรุ่งนี้ อาจจะใช้เวลา 10 ปี 20 ปี หรือเราจะต้องค้นหาไปชั่วชีวิต แต่หวังว่าทุกท่านจะพบเจอคำตอบนี้
Like this:
Like Loading...