พูดเพราะ?

20160919_speak

Wise men speak because they have something to say; Fools because they have to say something.

คนมีปัญญาจะอ้าปากเมื่อมีอะไรที่ต้องพูด ส่วนคนเขลานั้นอ้าปากเพราะเขาต้องพูดอะไรซักอย่าง

– Plato


พระท่านบอกไว้ว่า เราไม่สามารถบังคับจิตไม่ให้คิดไม่ได้ เพราะจิตมีหน้าที่คิด

พอคิดแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเป็นคำพูด

ถ้าเป็นความคิดที่สร้างสรรค์ คำพูดที่ออกมาย่อมมีประโยชน์กับคนรอบข้าง

แต่ถ้าความคิดนั้นไม่สร้างสรรค์ สิ่งที่พูดออกมาย่อมสร้างมลภาวะทางอารมณ์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้คนอื่นเสียเวลา

ธรรมชาติสร้างให้เรามีสองหูกับหนึ่งปาก ราวกับจะบอกใบ้ว่าเราควรฟังให้มากกว่าพูด

แต่ผมเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านน่าจะรู้จักคนที่พูดมากกว่าฟัง

หรือร้ายกว่านั้นคือคนที่พูดอย่างเดียวแล้วไม่ฟังใครเลย

อย่าเผลอเป็นคนแบบนั้นนะครับ

เพราะมันไม่น่ารักเลย


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

สองวันที่เราจะไม่กังวล

20160517_TwoDays

คือเมื่อวานนี้กับวันพรุ่งนี้

“There are two days in the week on which I never worry; One is yesterday and the other is tomorrow.”

– Robert Burdette

เพราะกังวัลเรื่องของเมื่อวานไปก็กลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว

ส่วนวันพรุ่งนี้ จะกังวลหรือไม่กังวลมันก็ต้องมาถึงชัวร์ๆ อยู่แล้ว

ถ้าอยากให้วันพรุ่งนี้ออกมาดี การกังวลถึงพรุ่งนี้ไม่ได้ช่วยอะไร สิ่งเดียวที่ช่วยได้คือทำวันนี้ให้ดี เหมือนที่ท่านพุทธทาสเคยสอนไว้ว่า “ถ้าวันนี้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกลัวพรุ่งนี้”

ดังนั้น ถ้าเราเป็นคนขี้กังวล ก็ขอให้กังวลแค่เรื่องวันนี้ได้มั้ย? ว่ามีอะไรที่ควรต้องทำแต่เรากำลังหลีกเลี่ยงอยู่บ้าง

กังวลได้ไม่ว่า แต่วางแผนให้มากกว่ากังวล

และลงมือทำให้มากกว่าวางแผนครับ


อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

คนตัวเล็ก

20160515_smallpeople

“Never believe that a few caring people can’t change the world. For, indeed, that’s all who ever have.”

อย่าคิดว่าคนที่ห่วงใยและทุ่มเทเพียงหยิบมือจะเปลี่ยนโลกไม่ได้
เพราะจริงๆ แล้วที่ผ่านมาก็มีแต่คนกลุ่มนี้แหละที่ได้เปลี่ยนโลก

– Margaret Mead


ความเชื่ออย่างหนึ่งที่เรามีกันก็คือ คนตัวเล็กๆ อย่างเราจะไปทำอะไรได้?

แต่เราลืมไปว่า ก่อนที่จะมาเป็น “คนตัวใหญ่” คนเหล่านั้นก็เคยเป็นคนตัวเล็กๆ มาก่อนทั้งนั้น

ทนายชาวอินเดียคนหนึ่งที่ไปว่าความที่แอฟริกา ซื้อตั๋วรถไฟเฟิร์สท์คลาสแต่กลับถูกสั่งให้ย้ายไปที่นั่งของรถไฟชั้นสามเพียงเพราะเขาไม่ได้ผิวขาว พอเขาไม่ยอมก็ถูกโยนลงจากรถไฟ

ใครจะไปคิดว่าทนายตัวเล็กๆคนนี้จะกลายมาเป็น “มหาตมะ” ที่นำการต่อสู้โดยสันติจนอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ?

หรือเด็กสาวตัวเล็กๆ จากร้อยเอ็ดที่มาฝึกตีแบดในสนามของเจ้าของโรงงานขนมทองหยอด ใครจะไปคิดว่าเธอจะสามารถเอาชนะมหาอำนาจลูกขนไก่จากจีนและขึ้นเป็นมือหนึ่งของโลกได้?

บางทีการเป็น “คนตัวใหญ่” อาจไม่ยากอย่างที่คิด

เพราะ 99.9% ของมนุษย์คิดว่า “ตัวเล็กๆ อย่างเราจะไปทำอะไรได้” การที่เราแคร์มากกว่าคนอื่นและออกแรง มากกว่าคนอื่นอีกซักหน่อย เราก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของประชากร 0.1% หรือ 1 ใน 1000 ทันที

มีคนอีกไม่น้อยที่อาจมีความคิดที่คล้ายๆ กับเรา เพียงแต่เชื่อว่าตัวเองไม่มีแรง / ไม่มีเวลา / ไม่มีความสามารถ ก็เลยยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ดังนั้นหากมี 1 คนขึ้นมานำ อีก 999 คนที่มีความเชื่อเดียวกันก็พร้อมที่จะสนับสนุน

ยิ่งสมัยนี้เรามีเครื่องมืออย่างอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียด้วยแล้ว การหาแนวร่วมและส่งต่อความคิดยิ่งทำได้ง่ายขึ้นไปอีก

นี่จึงเป็นยุคที่คนตัวเล็กๆ อย่างเราสามารถสร้างความแตกต่างได้มากกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา

ขอแค่ลงมือทำ และไม่ยอมแพ้เท่านั้นเอง


อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

สมบูรณ์แบบ

20160428_Perfect

“Perfection is achieved not when there is nothing more to add, but when there is nothing left to take away”

ความสมบูรณ์แบบไม่ได้เกิดจากการที่เราไม่สามารถเพิ่มอะไรได้อีกแล้ว แต่เกิดจากการที่เราไม่สามารถเอาอะไรออกไปได้อีกแล้วต่างหาก

– Antoine de Saint Exupéry


Search Engine
สมัยเป็นนักเรียนวิศวะปี 4 สิ่งหนึ่งที่ผมขาดไม่ได้เลยคือ Search Engine ชื่อดังอย่าง Yahoo, Altavista และ Lycos เพราะต้องใช้มันในการหาข้อมูลสำหรับทำ senior project

หน้าตาของ Search Engine สมัยนั้นเป็นอย่างนี้ครับ

This slideshow requires JavaScript.

พอเข้าทำงานที่รอยเตอร์ปี 2003 เพื่อนที่ออฟฟิศจึงแนะนำให้รู้จัก Google

ความรู้สึกแรกที่ใช้งานคือทำไมหน้าตามันจืดจัง

Google

และอีกเพียงไม่กี่ปีต่อมากูเกิ้ลก็ครองโลก

โทรศัพท์มือถือ
กลางปี 2007 ผมได้เป็นหัวหน้าทีมซัพพอร์ต และสิ่งหนึ่งที่บริษัทจะให้หัวหน้าทีมซัพพอร์ตทุกคนก็คือ Blackberry สมาร์ทโฟนที่เจ๋งและดังที่สุดในยุคนั้น เพราะขนาดเล็กพกพาง่าย แถมแป้นคียบอร์ดยังเป็นปุ่ม QWERTY ทำให้เขียนอีเมล์หากันได้อย่างรวดเร็ว สมัยนั้นใครๆ ก็ใช้ BB ส่งข้อความหากัน เพราะฟรีและรวดเร็วกว่า sms เยอะ

SONY DSC

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง สตีฟ จ๊อบส์และแอปเปิ้ลก็ทำให้โลกตะลึงด้วยการสร้างโทรศัพท์มือถือที่มีแค่ปุ่มเดียว

IMG_2298

แล้วอีกแค่สองปีต่อมาไอโฟนก็ครองโลก

เก็บบ้าน
ถ้าใครเคยได้เรียนรู้หลักการจัดบ้านแบบ KonMari มาแล้ว จะเข้าใจว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือคัดเก็บแต่ข้าวของที่ spark joy เท่านั้น ของชิ้นอื่นๆ ที่ไม่ได้สร้างความชื่นใจให้กับเราแล้ว จงกล่าวขอบคุณแล้วปล่อยให้เขาไปทำหน้าที่กับเจ้านายคนอื่นดีกว่า

วิธีแบบ KonMari จะทำให้เราเหลือหนังสือและเสื้อผ้าในตู้น้อยลงไปกว่าครึ่ง แต่ที่แปลกคือเรากลับรู้สึกว่าเรา “มีครบ” ยิ่งกว่าเดิม อาการที่รู้สึกว่าต้องซื้อของมาเพิ่มนั้นแทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง

วิธีการจัดบ้านแบบคอนมาริ (จริงๆ ต้องอ่านว่าคมมาริ) กลายเป็นกระแสโด่งดังไปถึงอเมริกาและยุโรป และผู้เขียนหนังสือเล่มนี้อย่าง คนโด มาริเอะ ก็ได้กลายเป็นผู้หญิงคนแรกจากญี่ปุ่นที่ถูกจัดอันดับโดยนิตยสาร Time ว่าเป็นหนึ่งใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

เขียนบล็อก anontawong.com 
เวลาผมเขียนบล็อกแล้วมานั่งแก้ไข ส่วนใหญ่ผมจะไม่เขียนอะไรเพิ่ม เพราะเนื้อหาทุกอย่างอยู่ในนั้นหมดแล้ว

การแก้ไขจึงเน้นไปที่การตัดทอนเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน ไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือไม่สอดคล้องกับเนื้อหาหลักออก

การเขียนบทความให้กระชับ แต่เนื้อหาครบถ้วนและกินใจคนนั้นเป็นอะไรที่ยากที่สุดในโลก

การใช้ชีวิต
ในวัยยี่สิบกว่าๆ ผมได้ลองทำอะไรหลายอย่างมาก เช่นไปเรียน sound engineering จัดกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตยกับคนรุ่นใหม่ ทำวงดนตรีไปออดิชั่นตามผับ เตะบอลสัปดาห์ละสองครั้ง เล่นดนตรีออกงานของบริษัทเดือนเว้นเดือน เที่ยวผับศุกร์เว้นศุกร์ เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันและการพบปะผู้คน

พอมาถึงวัยสามสิบกว่าๆ กิจกรรมเริ่มลดน้อยลง ยิ่งมีครอบครัวมีลูกแล้วด้วย วันๆ หนึ่งผมจึงทำได้แค่ไม่กี่อย่าง ตอนเช้าเขียนบล็อก กลางวันทำงาน ค่ำอยู่กับครอบครัวก็หมดวันแล้ว

ถ้าวัยยี่สิบกว่าๆ คือวัยแห่งการทดลองว่าชอบอะไร  วัยสามสิบกว่าๆ คือวัยที่พอจะรู้แล้วว่าทางของเราคือทางไหน และต้องตัดอะไรออกไปบ้าง เพื่อจะทำกิจกรรมให้น้อยลง แต่ทำให้ “ลึก” ขึ้น

“Perfection is achieved not when there is nothing more to add, but when there is nothing left to take away”

อ่านประโยคนี้แล้วผมเห็นภาพผู้ชายสองคน

คนหนึ่งเป็นเศรษฐีพันล้าน มีบ้านหลังใหญ่  มีภรรยาสวย และมีลูกๆ ที่น่ารักสามคน มีลูกน้องและบริวารมากมาย กิจการของเขากำลังเติบโตและเขายังคงมุ่งมั่นที่จะขยายกิจการไปเรื่อยๆ

อีกคนเป็นนักบวช ไม่มีบ้านของตัวเอง ออกจาริกไปด้วยตัวคนเดียว นอกจากอัฐบริขารก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้วเช่นกัน

คุณคิดว่าชีวิตของใคร “สมบูรณ์แบบ”กว่ากันครับ?


ขอบคุณภาพจาก Internet Archive Wayback Machine: Yahoo, Altavista, Lycos, Google

Wikipedia: Blackberry, Flickr: iPhone


อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

วันพรุ่งแสนยุ่ง

20151109_TomorrowBusiest

“Tomorrow is often the busiest day of the week.”

“วันพรุ่งนี้มักจะเป็นวันที่ยุ่งที่สุดในสัปดาห์”

– Spanish proverb

—–

หลังจากหยุดงานมาสองสัปดาห์เต็มๆ เพื่อทำหน้าที่คุณพ่อ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่ผมกลับไปทำงานเป็นวันแรกแล้ว

ผมใช้แอพมือถือชื่อว่า Any.Do เอาไว้จดสิ่งที่ต้องทำ และทุกๆ 9 โมงเช้ามันจะเตือนว่าเรามีงานค้างอยู่ในคิวกี่ชิ้น (งานในที่นี้หมายรวมถึงเรื่องส่วนตัวเช่นเรื่องซื้อของหรือโทร.หาคนโน้นคนนี้ด้วยนะครับ)

แต่ช่วงที่หยุดงานไป ผมแทบไม่ยอมดู Any.Do เลย พอมีงานไหนเตือนขึ้นมาว่าควรจะทำได้แล้วนะ ผมก็จะ snooze ไปอีกสามชั่วโมงหรือ snooze เอาไว้ทำวันถัดไปเสมอ จนตอนนี้มี task ที่คั่งค้างอยู่ในลิสต์ประมาณ 20 ชิ้นแล้ว

ครับ งานอะไรที่เรายังไม่อยากทำและยังไม่ถูกบังคับให้ทำ เราก็มักจะ “ผลัก” มันออกไปสู่วัน “พรุ่งนี้” เสมอ

งานส่วนใหญ่จึงไปกองที่วันพรุ่งนี้

และพอวันพรุ่งนี้มาถึง เราก็จะผลักมันไปสู่วันถัดไปอีก

ผลักไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเดดไลน์แล้วนั่นแหละ เราถึงจะยอมลงมือทำ

กลับไปทำงานคราวนี้ คงต้องฝึกจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น

อะไรที่ควรทำวันนี้ก็ทำมันซะ แม้จะยังไม่ถึงเส้นตายก็เถอะ

ไม่อย่างนั้น “พรุ่งนี้” ที่ไม่มีวันมาถึง ก็จะเป็นผู้รับกรรมเรื่อยไป

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่