มักง่ายมักไม่ง่าย

20160630_thoughtless

ปัญหาหลายๆ อย่างที่เราเจอมักมีต้นเหตุมาจากความมักง่าย

คนมักง่ายมักจะพูดคำว่า “ขี้เกียจ” กับ “เอาไว้ก่อน” เสมอ

สมมติตอนเย็นกินข้าวที่บ้านเสร็จแล้ว แทนที่จะล้างจานให้เรียบร้อย เราก็จะบอกตัวเองว่าเอาไว้ก่อน ผลที่ได้ก็คือจานเกรอะกรังที่ยังไม่ได้ล้างในวันรุ่งขึ้น

เวลาทำงาน พอเราได้ไฟล์อะไรใหม่ๆ มา เรามักจะเซฟลงเดสก์ท็อป แต่เมื่อใช้ไฟล์เสร็จแล้ว แทนที่จะลบทิ้งหรือย้ายไฟล์ไปยังโฟลเดอร์ที่ควรจะเป็น เราก็ไม่ทำ ผลลัพธ์ก็คือเดสก์ท็อปที่เต็มไปด้วยไอค่อน บางคนมีไอค่อนเต็มจอเป็นคอลเล็คชั่นเลยทีเดียว

ความมักง่ายเกิดจากอะไร?

ผมคิดเล่นๆ ว่ามันอาจจจะเป็นเรื่องชีววิทยา

เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดถูกวิวัฒนาการให้ประหยัดพลังงานเพื่อความอยู่รอดอยู่แล้ว

มนุษย์เราจึงหาเรื่องประหยัดพลังงานเสมอ การประหยัดนี้จึงแสดงตัวออกมาเป็นความขี้เกียจหรือการผัดวันประกันพรุ่ง

ซึ่งบางทีก็ส่งผลรุนแรงกว่าจานชามที่กองพะเนินหรือเดสก์ท็อปที่เต็มไปด้วยไฟล์ร้อยพ่อพันแม่

ถ้าเรามักง่ายในการกิน อาจทำให้สุขภาพทรุดโทรม

ถ้าเรามักง่ายในการทำงาน อาจทำให้เราไม่เติบโตในองค์กร

ถ้าเรามักง่ายในคำพูด อาจจะทำให้เราเสียเพื่อนหรือเสียอนาคต

แค่ความมักง่ายในระดับบุคคลยังสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ ลองคิดดูว่าความมักง่ายในระดับชุมชนหรือระดับประเทศจะส่งผลร้ายแรงขนาดไหน

แล้วถ้าอยากจะมักง่ายให้น้อยลง ต้องทำอย่างไร?

ข้อแรก เราต้องตระหนักว่า ไม่มีความจำเป็นต้องประหยัดพลังงานขนาดนั้น เพราะในยุคนี้ ต่อให้เราใช้แรงไปเท่าไหร่ เราก็มีแหล่งพลังงานเพื่อ “รีฟิล” ได้อยู่แล้ว ลองไปเปิดตู้เย็นหรือเดินเข้าเซเว่นดูก็ได้

ข้อสอง เราต้องไม่ลืมว่า การมักง่ายอาจทำให้เราประหยัดเวลาได้ 2 นาทีในวันนี้ แต่จะทำให้เราเสียเวลาอย่างน้อย 10 นาทีในวันข้างหน้า

ข้อสามก็คือ ความมักง่ายที่แสดงออกมาทางการกระทำหรือทางวาจานั้น เริ่มต้นจากความมักง่ายทางความคิดเสมอ และความมักง่ายทางความคิดนั้นก็มักเกิดจากเราโดนกิเลสหลอก

ดังนั้น ต้องหัดเถึยงกับกิเลสบ่อยๆ และยอมลงแรงเสียแต่ตอนนี้

จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและอารมณ์มานั่งแก้ปัญหาอันเกิดจากความมักง่ายของเราเองในวันหลังครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

ผลลัพธ์ขั้นที่สอง

20160628_secondorder

วันนี้มีไอเดียจากหนังสือ Principles ของ Ray Dalio มาเล่าสู่กันฟังครับ

ว่าด้วยเรื่อง first-order และ second-order consequences หรือผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง และผลลัพธ์ขั้นที่สอง

ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการกระทำนั้นทันที

ผลลัพธ์ขั้นที่สอง คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการกระทำนั้นไปซักพัก

ตัวอย่างเช่น

การกระทำ: ออกกำลังกาย
ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง: ปวดเนื้อเมื่อยตัว
ผลลัพธ์ขั้นที่สอง: ร่างกายแข็งแรง

การกระทำ: กินผัก
ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง: ไม่อร่อย เพราะขม
ผลลัพธ์ขั้นที่สอง: ร่างกายได้รับวิตามินที่มีประโยชน์

การกระทำ: นั่งสมาธิ
ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง: ทรมาน ปวดขา น่าเบื่อ
ผลลัพธ์ขั้นที่สอง: จิตใจสงบและเบิกบาน

การกระทำ: เล่นเฟซบุ๊ค
ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง: เพลิดเพลิน
ผลลัพธ์ขั้นที่สอง: ทำงานไม่เสร็จ จิตใจว้าวุ่น

การกระทำ: เล่นการพนัน
ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง: ตื่นเต้น เร้าใจ
ผลลัพธ์ขั้นที่สอง: เสียเงิน หมดตัว เป็นหนี้สิน

การกระทำ: กินจั๊งค์ฟู้ด
ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง: สะดวก อร่อย
ผลลัพธ์ขั้นที่สอง: อ้วน คอเลสเตอรอลสูง

ข้อที่ควรสังเกตได้แก่

1. เป้าหมายของคนเรา จะอยู่ในผลลัพธ์ขั้นที่สอง เช่นร่างกายที่แข็งแรง หรือจิตใจที่สงบและเบิกบาน

2. อารมณ์ของผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่งกับผลลัพธ์ขั้นที่สองมักจะสลับขั้วกัน หากผลลัพธ์ขั้นที่สองนั้นเป็นอะไรที่เราชอบ ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่งมักจะเป็นอะไรที่เราไม่ชอบ เช่นการออกกำลังกาย ทำให้เราแข็งแรง (เราชอบ) แต่กว่าจะแข็งแรงได้ ก็ต้องปวดเนื้อเมื่อยตัว (เราไม่ชอบ) กลับกัน ถ้าผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบ ผลลัพธ์ขั้นที่สองมักจะเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ (เช่นอบายมุขต่างๆ เป็นต้น)

3. คนที่ชีวิตติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ ก็เพราะว่ามัวแต่หลงใหลกับผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง (เช่นเล่นเฟซบุ๊คแล้วเพลิน เล่นการพนันแล้วได้ลุ้น) จนอาจลืมไปว่า ทุกการกระทำย่อมมีทั้งผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สองเสมอ

4. คนที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายหรือมีคุณภาพที่ชีวิตที่ดีได้ ก็เพราะว่าเขาไม่ยอมเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอันเกิดจากผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่ง

5. ดังนั้น ถ้าอยากจะมีชีวิตที่ดี จงโฟกัสไปที่ผลลัพธ์ขั้นที่สอง และยอมรับว่าก่อนจะไปถึงตรงนั้น ก็ต้องยอมผ่านผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่งก่อนทุกครั้ง

ผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่งของการเขียนบล็อก Anontawong’s Musings คือการเผชิญหน้ากับความเครียดและความขี้เกียจ ซึ่งผมไม่ชอบเอาซะเลย

แต่ผลลัพธ์ขั้นที่สองคือความรู้สึกดีๆ ที่ได้รู้ว่าบทความที่เราเขียนมีประโยชน์ต่อคนอ่านครับ

จะทำอะไรก็ตามแต่ ขอให้นึกถึงผลลัพธ์ขั้นที่สองบ่อยๆ นะครับ


ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Principles โดย Ray Dalio (เป็น PDF file ครับ คลิ้กเข้าไปอ่านได้เลย)

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Unsplash.com

เมื่อชีวิตมันแย่

20160627_badlife

จริงๆ แล้วมันไม่ได้แย่หรอก

ที่แย่คือทัศนคติของเราต่างหาก

ถ้าเรามีอินเตอร์เน็ตใช้ ได้กินอิ่มท้อง มีที่ซุกหัวนอน ชีวิตเราก็ดีกว่าคนหลายล้านคนแล้ว

เรามักเผลอคิดว่าชีวิตเราแย่เพราะเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ

หัวหน้างี่เง่า เพื่อนร่วมงานน่ารำคาญ แฟนไม่เข้าใจ ฝนตก รถติด เสื้อเปื้อน คอมแฮงก์ มือถือแบตจะหมด ฯลฯ

อาจเป็นวันแย่ๆ วันหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราแย่ซะหน่อย

It’s just a bad day, not a bad life.

– Anonymous

มันเป็นวันที่แย่เพราะมีเรื่องไม่เป็นใจเกิดขึ้นสองสามอย่างในวันนี้

แต่เรื่องที่ “เป็นใจ” เกิดขึ้นเป็นร้อยอย่าง เรากลับมองไม่เห็น

อาบน้ำให้สดชื่น ทำสิ่งที่นำความสุขมาให้ อย่านอนดึกเกินไป

แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันใหม่นะ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com