มองง่ายๆ ก็คือ สหภาพยุโรปจะทำตัวเหมือนประเทศประเทศหนึ่งที่คนในประเทศนั้นอยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกันและถูกปฏิบัติเหมือนกัน และสหราชอาณาจักรก็เป็นส่วนหนึ่งของ European Union มาสี่สิบกว่าปีแล้ว
แล้วทำไมประชามติคราวนี้จึงเกิดขึ้นได้?
ในปี 2012 ช่วงที่ David Cameron เป็นนายกรัฐมนตรี มีเสียงเรียกร้องให้ทำประชามติว่าจะให้ UK ออกจาก EU หรือไม่ (เพื่อความกระชับ ผมขอเขียน UK แทนสหราชอาณาจักร และ EU แทน European Union นะครับ) ซึ่งนายแคเมรอนปฏิเสธ แต่ภายหลังก็ประกาศว่า ถ้าพรรคอนุรักษ์นิยมของเขาได้รับเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกสมัย เขาจะจัดทำประชามติภายในปี 2017 เพื่อให้แน่ใจว่าสมาชิกภาพของ UK นั้นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการจริงๆ
United Kingdom หรือสหราชอาณาจักรประกอบไปด้วยสี่ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ สก๊อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ โดยสี่ประเทศนี้มีนายกรัฐมนตรีคนเดียวกันคือ David Cameron
เหตุผลที่คน UK อยากออกจาก EU มีหลายประเด็นด้วยกัน เช่น
เนื่องจากอังกฤษเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองใน EU เป็นรองเพียงเยอรมันนี คนอังกฤษหลายคนจึงมองว่าการอยู่ใน EU ร่วมกับประเทศที่เจริญน้อยกว่าหรือความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำให้ทำอะไรไม่คล่องตัว หรือพูดง่ายๆ ก็คือคนอังกฤษ (หรือคน UK) บางส่วนมองว่าบางประเทศใน EU ถ่วงความเจริญ
ประเด็นที่สอง เมื่อเข้าร่วม EU นั่นย่อมหมายความว่าประชาชนใน UK ต้องทำตามกฎหมายของ EU ด้วย ทำให้บางคนมองว่าการเข้าร่วม EU ทำให้สูญเสียสิทธิ์ที่จะได้บังคับใช้กฎหมายของตัวเอง คล้ายๆ กับสูญเสียอธิปไตย (sovereignty) บางส่วนไป จึงอยากได้สิทธิ์นั้นคืน
ประเด็นที่สาม วิกฤติผู้อพยพในช่วงปีที่ผ่านมา (ที่คนจากซีเรียหนีสงครามกลางเมืองเข้ามาในยุโรป) ทำให้คนบางส่วนเกรงว่าอังกฤษจะต้องแบกรับภาระผู้อพยพมากเกินไป และเชื่อว่า UK จะสามารถจัดการการล้นทะลักของผู้อพยพได้ดีกว่านี้ถ้าไม่ต้องเป็นสมาชิก EU
ประเด็นที่สี่ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่จากประเทศอื่นที่เศรษฐกิจไม่ดีนักได้ย้ายเข้ามาใน UK เพื่อหางานทำ ทำให้คน UK บางส่วนรู้สึกว่าประเทศกำลังสูญเสียอัตลักษณ์และสูญเสียแหล่งรายได้ให้กับคนของประเทศอื่น คนที่อยากให้ออกจึงรณรงค์โดยใช้วาทกรรมอย่าง “Take back control”, “We want our country back” และ “Britain is full”
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นเพียงประชามติเท่านั้น น่าจะใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองปีเพื่อพูดคุยและแก้ไขกฎหมายให้ UK ออกจาก EU อย่างเป็นทางการ
เดวิด แคเมรอน ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว และมีแนวโน้มว่า Boris Johnson อดีตผู้ว่ากรุงลอนดอนซึ่งสนับสนุนให้ UK ออกจาก EU จะได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้แทน
สก๊อตแลนด์ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ UK และประชาชนส่วนใหญ่โหวตให้อยู่ต่อ) อาจจะทำประชามติเพื่อขอแยกตัวออกจาก UK จะได้ขอกลับไปเป็นสมาชิกของ EU ได้
ประเทศอื่นๆ ใน EU อาจจะเริ่มขอออกจาก EU บ้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การล่มสลายของ EU เหมือนกับที่เคยเกิดกับสหภาพโซเวียตมาแล้ว
โดยทรัมป์นั้นนมุ่งหาเสียงกับกลุ่มคนต่างจังหวัดหรือชาวรากหญ้า ใช้คำขวัญว่า Make America great again และเน้นนโยบายโดนใจคนบางกลุ่ม ทั้งๆ ที่มันไม่ยั่งยืน เช่นจะกีดกันไม่ให้มุสลิมเข้าประเทศเพื่อป้องกันการก่อการร้ายเป็นต้น
การตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ อย่างจะให้อังกฤษออกจาก EU นี่ แค่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งก็เพียงพอแล้วหรือ?
The idea that somehow any decision reached anytime by majority rule is necessarily “democratic” is a perversion of the term. Modern democracies have evolved systems of checks and balances to protect the interests of minorities and to avoid making uninformed decisions with catastrophic consequences. The greater and more lasting the decision, the higher the hurdles.
There is no universal figure like 60%, but the general principle is that, at a bare minimum, the majority ought to be demonstrably stable. A country should not be making fundamental, irreversible changes based on a razor-thin minority that might prevail only during a brief window of emotion.
…the hurdle should have been a lot higher; for example, Brexit should have required, say, two popular votes spaced out over at least two years, followed by a 60% vote in the House of Commons. I
Any action to redefine a long-standing arrangement on a country’s borders ought to require a lot more than a simple majority in a one-time vote. The current international norm of simple majority rule is, as we have just seen, a formula for chaos.
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)