2 ทางสู่ความสำเร็จเหนือคนธรรมดา

20180630_twoways

ทางที่ 1: รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียวจนเป็น top 1% หรือ top 0.1% ของวงการ

ทางนี้ได้ผลตอบแทนเยอะ แต่ก็เป็นทางที่ยากมากเช่นกันๆ มีไม่กี่คนที่จะได้เล่นฟุตบอลให้ทีมพรีเมียร์ลีกหรือได้เล่นหนังใหญ่ของ Hollywood

ทางที่ 2: รู้อะไรให้มากกว่าคนธรรมดาอย่างน้อยสองอย่างจนเป็น top 25% แล้วเอาทักษะสองอย่างนี้มารวมกัน

ใครหลายคนน่าจะเคยอ่าน Dilbert การ์ตูนสามช่องกัดจิกชีวิตมนุษย์เงินเดือนแบบแสบๆ คันๆ โดยมีหนุ่มใส่แว่นนามดิลเบิร์ตเป็นตัวดำเนินเรื่อง การ์ตูนเรื่องนี้อยู่มาเกือบ 30 ปีแล้ว และถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ถึง 2,000 ฉบับทั่วโลก

Scott Adams ผู้เขียน Dilbert เล่าว่า ฝีมือการวาดการ์ตูนของเขาไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังวาดได้ดีกว่าคนที่วาดการ์ตูนไม่เป็น เขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าตลกมืออาชีพ แต่มีนักวาดการ์ตูนไม่เยอะที่เป็นคนตลก และมีตลกมืออาชีพไม่เยอะที่วาดการ์ตูนเป็น แถมเขายังเคยทำงานประจำมาก่อนด้วย ดังนั้นเมื่อเอาทักษะสามอย่างมารวมกัน – วาดการ์ตูน + อารมณ์ขัน + ความเข้าใจชีวิตมนุษย์เงินเดือน มันจึงเป็น combination ที่หาคนเลียนแบบได้ยาก คู่แข่งจึงแทบไม่มี และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน

สก๊อตยังบอกว่า ทางที่ 2 นี่เป็นวิธีที่ใครๆ ก็ทำได้ เพราะแค่ออกแรงซักหน่อย เราก็สามารถฝึกฝนจนเป็นคน top 25% ในด้านนั้นๆ ได้แล้ว ประเด็นคือเราต้องเป็น top 25% ของทักษะอย่างน้อยสองอย่าง และนำมันมารวมกันจนเกิดสิ่งที่น้อยคนนักจะทำได้

ยกตัวอย่างตัวผมอีกคนก็ได้ (แม้จะยังเรียกไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่าประสบความสำเร็จก็เถอะ) หนังสือ Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ เกิดขึ้นได้เพราะทักษะ 3 อย่าง

– การทำงานเป็นพนักงานประจำอยู่สิบกว่าปี
– ทักษะภาษาอังกฤษที่ทำให้เข้าถึงหนังสือและบทความที่หลากหลาย
– ความสามารถในการสรุปเนื้อหาออกมาเป็นภาษาเขียนที่เข้าใจง่าย

ผมไม่ใช่คนทำงานที่เก่งที่สุด ภาษาอังกฤษของผมก็ยังห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟ็กต์ ส่วนทักษะการเขียนของผมก็เป็นแค่ระดับบล็อกเกอร์มือสมัครเล่น ไม่อาจเทียบชั้นอะไรได้เลยกับนักเขียนมืออาชีพ แต่พอเอาทักษะสามอย่างนี้มารวมกัน ก็มากเพียงพอที่จะเขียนหนังสือที่ไม่เหมือนใครในตลาด

ดังนั้น ลองหาให้เจอครับว่าเราเก่งเรื่องอะไรบ้าง แล้วลองคิดดูว่าจะนำมันมาผสมผสานกันได้อย่างไร แล้วเราอาจจะพบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก The Dilbert Blog: Career Advice

นิทานพระจนพระรวย

20180629_poormonk

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

แต่ก่อน มีพระสองรูป รูปหนึ่งยากจน รูปหนึ่งมีเงิน พระสองรูปนี้ต่างปรารถนาที่จะบรรลุธรรมโดยเร็ว

พระจนปรึกษาพระรวย “ข้าอยากไปศึกษาพระธรรมที่หนันไห่แดนศักดิ์สิทธิ์ ท่านคิดว่าอย่างไร”

พระรวยหัวเราะพระจนที่ไม่เจียมตัว “ที่นี่อยู่ไกลจากหนันไห่หลายพันลี้ เจ้าจะไปยังไง”

“ก็เอาบาตรไปใบหนึ่ง ขวดน้ำอีกใบหนึ่ง เท่านี้ก็ไปได้แล้ว”

“หลายปีก่อน ข้าคิดจะซื้อเรือแล้วเดินทางไปหนันไห่ แต่กระทั่งเดี๋ยวนี้ข้าก็ยังซื้อเรือไม่สำเร็จ เจ้าอย่าฝันเฟื่องไปเลย” พระรวยแนะ

หนึ่งปีให้หลัง พระรวยยังคงเก็บเงินซื้อเรืออยู่ ส่วนพระจนเดินทางกลับมาจากหนันไห่เรียบร้อยแล้ว

—–

ขอบคุณนิทานจากหนังสือ สว่างอย่างเซ็น โดยสุภาณี ปิยพสุนทรา

ถ้าอยากเป็นคนฉลาดกว่านี้

20180628_wiser

ถ้าอยากเป็นคนฉลาดกว่านี้

เราไม่จำเป็นต้องรู้มากขึ้นก็ได้

แค่มั่นใจตัวเองให้น้อยลงหน่อยก็พอ

“One does not grow wiser by knowing more but by becoming less certain.”
– Robert Brault

เพราะอันตรายไม่ได้เกิดจากความไม่รู้ แต่เกิดจากความเชื่อมั่นว่าเรารู้ดีอยู่แล้ว

เมื่อเชื่อว่าตัวเองถูก จึงไม่แม้แต่คิดที่จะสำรวจความเป็นไปได้อื่นๆ

พอเจอใครที่มีความเห็นต่างกับเรา กระบวนการในการหาคำตอบที่ถูกต้องจึงไม่เกิด สิ่งเดียวที่เกิดคือการฟาดฟันกันเพื่อรักษาอัตตาตัวตน

คนฉลาดที่แท้จริง คือคนที่สามารถรับฟังความเห็นที่แตกต่าง นำไปพินิจพิจารณาต่อ โดยไม่จำเป็นต้องยอมรับก็ได้

เพราะเป้าหมายของคนมีปัญญากับคนเขลานั้นต่างกัน

คนหนึ่งอยากเข้าใจตนเองและเข้าใจโลกอย่างที่มันเป็นมากที่สุด

ขณะที่อีกคนหนึ่งอยากเป็นคนที่ถูกที่สุด แม้ว่าเขาจะต้องผิดก็ตาม

กฎง่ายๆ สำหรับการใช้ชีวิต

20180625_simple

กฎประจำตัวข้อหนึ่งที่ผมพยายามใช้มาตลอดก็คือ:

อะไรที่มีประโยชน์ก็ทำ อะไรที่ไม่มีประโยชน์ก็อย่าไปทำ

ไม่มีอะไรว้าว ไม่มีอะไรลึกซึ้ง ผมถึงบอกว่ามันเป็นกฎง่ายๆ แต่ถ้าแยกแยะได้ เราจะใช้ชีวิตได้ฉลาดขึ้น

ขยันทำงาน = มีประโยชน์ = ทำ

ขยันทำงานจนไม่ได้พักผ่อน = ไม่มีประโยชน์ = ไม่ทำ

ใช้ LINE เพื่อติดต่อกับเพื่อนฝูง = มีประโยชน์ = ทำ

ใช้ LINE เพื่อส่ง “เรื่องเขาเล่าว่า” ซึ่งไม่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจนและน่าจะเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน = ไม่มีประโยชน์ = ไม่ทำ

สั่งของออนไลน์ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถออกไปซื้อ = มีประโยชน์ = ทำ

สั่งของออนไลน์ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้นแต่พอดีมันกำลัง flash sales = ไม่มีประโยชน์ = ไม่ทำ

ทะเลาะกับแฟน รอให้อารมณ์เย็น กล่าวขอโทษ ปรับความเข้าใจ = มีประโยชน์ = ทำ

ทะเลาะกับแฟน จึงไม่ยอมพูดยอมจา รอให้เขามาง้อ เพราะอยากเอาชนะและเป็นผู้เหนือกว่าในความสัมพันธ์นี้ = ไม่มีประโยชน์ = ไม่ทำ

อ่านประวัติศาสตร์บ้านเมืองเพื่อจะได้เข้าใจปัจจุบัน = มีประโยชน์ = ทำ

อ่านข่าวการเมืองเพื่อไปฟาดฟันทางความคิดกับคนที่เชียร์อีกฝ่ายหนึ่ง = ไม่มีประโยชน์ = ไม่ทำ

แน่นอน การจะตัดสินว่าอะไรมีประโยชน์หรืออะไรไม่มีประโยชน์บางทีมันก็ไม่ง่าย เพราะบางเรื่องก็ทั้งได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ในเวลาเดียวกัน เราจึงต้องฝึก “กล้ามเนื้อประเมินประโยชน์” บ่อยๆ

เมื่อฝึกจนชำนาญ สายตาและสมองเราก็จะแหลมคมพอที่จะใช้เวลาวันนี้ให้ฉลาดกว่าเมื่อวานครับ

ฟังร่างกายตอนที่มันยังกระซิบ

20180625_body

ร่างกายเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดของเรา แต่เรากลับดูแลมันได้แย่กว่าที่เราดูแลงานหรือดูแลสมบัตินอกกาย

ความเจ็บป่วยหลายอย่างจึงเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เราควรจะหลีกเลี่ยงได้

เป็น office sysndrome เพราะเอาแต่ก้มมองจอแล็ปท็อปทั้งๆ ที่จริงๆ ควรใช้จอมอนิเตอร์และนั่งให้ถูกท่า

เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เพราะปวดแล้วไม่ยอมเดินไปเข้าห้องน้ำ

หลับยากหรือหลับไม่เคยเต็มอิ่ม เพราะนอนไถมือถือจนดึกดื่น

อาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่มักจะปรากฎตัวอย่างช้าๆ และร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนเราแต่เนิ่นๆ ทุกครั้ง

ถ้าเราใส่ใจพอที่จะฟังร่างกายตอนที่มันกระซิบบอกเราว่า “เธอๆ ชั้นเริ่มไม่โอเคแล้วนะ” อะไรๆ ก็ยังพอแก้ไขได้ทัน

แต่ถ้าเรามัวชะล่าใจ วันไหนที่มันร้องตะโกนว่า “กูไม่ไหวแล้วโว้ย!” อะไรๆ ก็อาจกู่ไม่กลับแล้วก็ได้

—–

รับบทความจาก Anontawong’s Musings ทางอีเมลได้ทุกวัน เพียงไปที่เว็บไซต์  https://anontawong.com/2018/06/26/body-whisper/  แล้ว scroll down ไปจนเจอช่อง Enter your email adress กรอกอีเมลที่ใช่ แล้วกดปุ่ม Follow สีดำ (ถ้าเปิดจากคอมพิวเตอร์ ช่องกรอกอีเมลจะอยู่ฝั่งขวา)