บทเรียนจากต้นไผ่

ถ้าเราเอาเมล็ดไผ่สายพันธุ์จีนมาปลูก คอยรดน้ำพรวนดินและดูแลมันอย่างดีเป็นเวลา 1 ปี เราจะไม่เห็นไผ่แม้แต่หน่อเดียวผุดขึ้นมาจากดิน

กว่าหน่อแรกจะผุดขึ้นมา เราต้องรอถึง 5 ปีเลยทีเดียว

แต่พอหน่อแรกโผล่พ้นดินแล้ว ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ ต้นไผ่จะมีความสูงถึง 25 เมตร และในบางช่วงมันสามารถโตได้ถึง 1 เมตรภายในวันเดียว

แล้ว 5 ปีแรกเมล็ดไผ่มัวทำอะไรอยู่?

คำตอบก็คือมันกำลังแตกราก เมล็ดไผ่ใช้เวลาถึงห้าปีในการวางรากฐานสำหรับการเติบโตแบบก้าวกระโดด ถ้ารากไม่แข็งแรงพอ มันย่อมไม่มีทางรองรับการเติบโตได้อย่างแน่นอน

บางคนมองว่าไผ่ต้นนั้นโตขึ้น 25 เมตรในเวลา 6 สัปดาห์

แต่จริงๆ แล้วมันโตขึ้น 25 เมตรในเวลา 5 ปีกับอีก 6 สัปดาห์ต่างหาก

จงเรียนรู้จากต้นไผ่ จงมีความกล้าและศรัทธาในตนเองครับ


ขอบคุณเนื้อหาจาก Rahul Dravid: The Chinese Bamboo on Youtube

ป่านนี้เขานั่งกินไอติมสบายใจเฉิบไปแล้ว!

ประโยคนี้มาจากหนังสือชื่อเดียวกัน แนะนำให้ไปลองหามาอ่านดู

ประโยคนี้เตือนใจเราว่า อย่าไปเสียเวลาคิดถึงคนที่ทำให้เราเสียใจ

เขาคงอาจไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเราหรอก เขาก็แค่เลือกทำสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเอง

และในขณะที่เราย้ำคิดย้ำทำเรื่องของเขา เขาอาจไม่ได้คิดถึงเราเลยสักนิดเดียว เราจึงควรเก็บแรงกายแรงใจไว้ดูแลตัวเองและคนที่รักเราดีกว่า

ปล่อยให้เขากินไอติมของเขาไป ส่วนเราก็เลิกฟูมฟายแล้วหาอะไรอร่อยๆ กินดีกว่านะครับ

ทำได้น้อยกว่าที่หวังยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ฝรั่งจะมีคำพูดที่ว่า No More Zero Days

Zero Day คือวันที่สูญเปล่า วันที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อเข้าใกล้ตัวตนที่เราอยากเป็นหรือวิถีชีวิตที่เราอยากมี

ในความรู้สึกของผม Zero Days เกิดขึ้นได้สองกรณี แบบแรกเกิดขึ้นเพราะเราไม่มีเป้าหมาย พอไม่รู้ว่าเราจะไปไหน เราเลยล่องลอยและใช้วันเวลาไปอย่างเปล่าเปลือง

แบบที่สอง คือเรามีเป้าหมาย แต่เราดันเล็งผลเลิศเกินไป พอรู้สึกว่าถ้าทำตามเป้าไม่ได้ ก็ไม่ทำมันซะเลยดีกว่า

เช่นอาจตั้งเป้าว่าจะวิดพื้นวันละ 30 ครั้ง แต่พอวันนี้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่ค่อยมีแรง ก็เลยไม่ได้วิดพื้นเลย ทั้งที่จริงๆ แล้ววิดพื้นแค่ 10 ครั้งก็ยังดีกว่าการวิดพื้น 0 ครั้งเป็นไหนๆ

ความสำเร็จต่างๆ ล้วนต้องใช้เวลา คนที่จะไปถึงตรงนั้นได้ต้องมีอุปนิสัยที่ดีและความอดทนรอ

ระหว่างทางย่อมมีอุปสรรค ย่อมต้องมีวันที่เรารู้สึกขี้เกียจ มีวันที่เราไม่อยากทำอะไร แต่ถ้าเราปล่อยให้เกิดวันอย่างนี้ติดๆ กัน อะไรที่เราเคยสร้างเอาไว้ก็จะหลุดมือแล้วมักต้องกลับมาเริ่มใหม่เสมอ

ทำได้น้อยกว่าที่หวังยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

อย่าปล่อยให้วันนี้เป็น Zero Day ครับ

สิ่งใดทำให้เรารำคาญใจทุกวัน จงจัดการมันให้เรียบร้อย

ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้ผมรำคาญใจอยู่สามเรื่อง

เรื่องแรกคือตรงทางขึ้นบันไดบ้านนั้นหลอดไฟขาด ไมใช่ดวงที่สำคัญมาก เพราะตรงกลางบันไดและตรงชั้นสองก็มีไฟเหมือนกัน แต่พอจะเปิดทีไรก็หงุดหงิดใจเล็กๆ ที่มันไม่ติด

เรื่องที่สอง คือประตูห้องนอนมีเสียงอ๊อดแอ๊ดนิดๆ ตอนปิดประตู เสียงเบามากแต่ก็ได้ยินทุกครั้ง และทำให้ต้องคอยพะวงเวลาตื่นเช้ามืดว่าถ้าเราเดินออกจากห้องจะทำให้ลูกหรือภรรยาตื่นด้วยรึเปล่า

เรื่องที่สาม ตัวสแกนนิ้วบนแล็ปท็อปของผมมันเวิร์คบ้างไม่เวิร์คบ้าง หลายครั้งเลยต้องกรอก PIN เพื่อเข้าเครื่องแทน

แต่ละเรื่องเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น ผมก็เลยบอกตัวเองมาหลายสัปดาห์ว่าเอาไว้ก่อนก็ได้

แต่ผมก็ได้พบกับความเข้าใจใหม่ว่า เรื่องเล็กที่เกิดขึ้นทุกวันมันก็เป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน เพราะมันเป็นต้นตอของความหงุดหงิด แถมมันยังคอยตอกย้ำตัวเองด้วยว่าเรื่องแค่นี้ทำไมไม่จัดการให้มันเรียบร้อย

ถ้าเรื่องเล็กๆ ยังทำให้ถูกต้องไม่ได้ จะทำเรื่องใหญ่ถูกต้องได้ยังไง

กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันหยุด ผมก็เลยถือโอกาสเปลี่ยนหลอดไฟและหาน้ำมันหล่อลื่นมาหยอดบานพับประตู

ส่วนตัวสแกนนิ้วผมก็เพิ่งยกเลิกและทำการสแกนนิ้วใหม่เมื่อกี้นี้เลย คราวนี้สแกนปุ๊ปผ่านปั๊ป ไม่ต้องมานั่งกรอก PIN อีกต่อไป

สิ่งใดทำให้เรารำคาญใจอยู่ทุกวัน จงจัดการมันให้เรียบร้อย

เพราะเรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน รวมๆ กันแล้วก็เป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกันครับ

นิทานถ่มน้ำลาย

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

มีชายคนหนึ่งเข้ามาถ่มน้ำลายใส่พระพักตร์พระพุทธเจ้า เขาเป็นพราหมณ์และพระพุทธเจ้ากำลังตรัสสิ่งที่ทำให้เขาโกรธมาก พระองค์ทรงเช็ดออกและถามว่า “มีอะไรจะกล่าวอีกไหม”

พระอานนท์สาวกของพระพุทธเจ้าโกรธมากจนต้องทูลพระพุทธเจ้าว่า “โปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์สั่งสอนชายคนนี้ด้วยเถิด ทำเช่นนี้มันเกินไปแล้ว ข้าพระองค์ไม่อาจทนรับได้”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แต่เขาไม่ได้ถ่มน้ำลายใส่หน้าท่าน เขาถ่มน้ำลายใส่ตถาคต ลองมองชายคนนั้นสิ แล้วท่านจะเห็นว่าเขาลำบากใจเพียงใด ลองมองชายคนนั้นสิ แล้วท่านจะเห็นใจเขา เขาอยากบอกอะไรสักอย่างแก่ตถาคต แต่ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เขาตกที่นั่งลำบากเหมือนกับตถาคต เขาโกรธมากจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับที่ตถาคตรักมากเกินกว่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดและการกระทำได้ ตถาคตรู้ว่าเขาลำบากใจที่จะพูดออกมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงถ่มน้ำลาย ลองมองชายคนนี้สิ”

ขณะที่พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเขา พระอานนท์ก็มองเขาเช่นกัน ขณะที่พระพุทธเจ้าบันทึกความทรงจำจากข้อเท็จจริง พระอานนท์ก็บันทึกความทรงจำที่ผ่านการปรุงแต่ง

ชายคนนี้แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสเช่นนั้น เขาตกใจมาก หากพระพุทธเจ้าทรงทุบตีเขา หรือหากพระอานนท์พุ่งเข้าใส่เขา เขาคงจะไม่ตกใจ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์จะตอบโต้เช่นนั้น แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงเห็นใจเขา และเห็นว่าเขาลำบากใจเพียงใด ชายคนนี้กลับไปนอนไม่หลับทั้งคืน เขาใคร่ครวญและพิจารณาถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้น เขารู้สึกเจ็บปวดเสียใจ เขารู้สึกตัวแล้วว่าทำอะไรลงไป บาดแผลในใจเขาเปิดออกแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น เขาวิ่งพรวดพราดเข้าหาพระพุทธเจ้าและทิ้งตัวลงแทบพระบาทของพระองค์ พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า “ดูสิ ปัญหาเดิมอีกแล้ว ตอนนี้เขามีความในใจต่อตถาคตมากมาย แต่เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เขาจึงสัมผัสเท้าของตถาคต ชายคนนี้ไม่รู้จะทำเช่นไร เขามีความในใจมากเกินกว่าจะสื่อสารออกมาได้ แต่ท่าทางของเขาบ่งบอกอะไรบางอย่าง ดูสิ”

เขาเริ่มร้องไห้และกล่าวว่า “โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิดท่านผู้เจริญ ข้าเสียใจเหลือเกิน ข้าช่างโง่เขลาแท้ๆ ที่ถ่มน้ำลายใส่คนเช่นท่าน”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ลืมมันไปเถิด ผู้ที่ท่านถ่มน้ำลายใส่ไม่มีอีกแล้ว ผู้ที่ถ่มน้ำลายก็ไม่มีอีกต่อไป ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ตถาคตก็เป็นคนใหม่ ดูสิ ดวงตะวันกำลังทอแสงรับวันใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด ไม่มีวันวานอีกต่อไป จงให้มันจบสิ้นไปพร้อมกันเถิด อีกอย่างหนึ่งตถาคตจะให้อภัยท่านได้อย่างไร เพราะท่านไม่เคยถ่มน้ำลายใส่ตถาคต ท่านถ่มน้ำลายใส่คนที่จากไปแล้วต่างหาก”


ขอบคุณนิทานจาก OSHO: พลังสร้างสรรค์ : ของกำนัลแด่ผู้ฉีกกรอบ แปลโดย ภัทริณี เจริญจินดา