Pic & Pause อย่ายิงหนู

วันนี้วันศุกร์ ไม่มีนิทานแต่มีรูปมาให้ดูครับ

ในปี 2015 Osman Sigirli เป็นหนึ่งในช่างภาพนิ่งที่เข้าไปทำข่าวสงครามกลางเมืองของซีเรีย และได้อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย

ระหว่างเดินอยู่ในค่าย ออสแมนเจอเด็กสาววัย 4 ขวบชื่อ Adi Hudea ตัดผมทรงกะลา หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ออสแมนจึงหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปเด็กน้อยเอาไว้

สิ่งที่เด็กน้อยอาดี้ทำคือเม้มริมฝีปาก ไม่พูดไม่จาอะไร และชูแขนขึ้นทั้งสองข้าง ราวกับพร้อมมอบตัว

เด็กคนนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้


ขอบคุณภาพและเรื่องราวจาก Quora: Sean Kernan’s answer to What is one picture that gave you chills?

Pic & Pause: ทำไมตึกสูงในฮ่องกงต้องมีรู

วันนี้วันศุกร์ ไม่มีนิทานแต่มีภาพถ่ายมาให้ดูและคิดตามครับ

นี่คือภาพของตึก Residence Bel-Air ซึ่งเป็นที่พักอาศัยหรูหราในโซน Cyberport ทางตะวันตกของเกาะฮ่องกง

สงสัยมั้ยครับว่าทำไมตึกต้องมีรูด้วย? ไม่ใช่แค่ตึกนี้ตึกเดียว ยังมีอีกหลายสิบตึกทั่วฮ่องกงที่มีรูตรงใจกลางตึก

ใครเคยไปเที่ยวฮ่องกงย่อมรู้ว่าห้องพักแต่ละห้องค่อนข้างเล็กมากเมื่อเทียบกับห้องพักในประเทศอื่นๆ เนื่องจากราคาที่ดินในฮ่องกงนั้นสูงลิบลิ่ว

แล้วทำไมเจ้าของตึกถึงยอมเจาะรูตรงกลางจนเสียพื้นที่ให้เช่าและโอกาสในการทำเงินมหาศาล?

เหตุผลก็เพราะมังกรครับ

ตึกสูงหลายตึกที่อยู่ติดทะเล จะมี “ประตูมังกร” เพื่อให้มังกรบินจากภูเขาผ่านประตูนี้ไปดื่มน้ำได้อย่างสะดวก

หากตึกไม่มีรู มังกรบินผ่านไม่สะดวก จะถือว่าฮวงจุ้ยไม่ดี

แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นๆ ที่ตึกมีรู เช่นเรื่องความสวยงาม การตลาด การเปิดช่องให้แสงและลมผ่านได้

แต่ผมชอบเหตุผลประตูมังกรที่สุดแล้ว


ขอบคุณภาพจาก WikiCommons: Residence Bel-Air1.JPG

ขอบคุณข้อมูลจาก:

The Culture Gap: Why Do Some Buildings in Hong Kong Have Holes in Them?

CNN: The truth behind the mysterious holes in Hong Kong’s high-rises

Pic & Pause: X-Ray Girl

วันนี้วันศุกร์ ไม่มีนิทาน แต่มีรูปภาพมาให้ดูครับ

  1. มองหากำแพงว่างๆ หรือฝ้าว่างๆ เอาไว้ก่อน
  2. จ้องไปที่จุดสีแดงบนจมูกของผู้หญิงในรูปนี้เป็นเวลา 30 วินาที
  3. มองไปที่กำแพง/ฝ้า แล้วกะพริบตาถี่ๆ

Enjoy!


ขอบคุณภาพจาก Reddit

Pic & Pause: ส่งน้อง

วันนี้วันศุกร์ ไม่มีนิทานแต่มีภาพถ่ายมาให้ดูกันครับ

ภาพเด็กญี่ปุ่นคนนี้ถูกถ่ายโดยช่างภาพข่าว (photojournalist) ชื่อ Joe O’Donnell ในปี 1945 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2

O’Donnell เล่าถึงที่มาที่ไปของภาพไว้ดังนี้

“ผมเจอเด็กชายอายุราว 10 ขวบเดินผ่านมา บนหลังแบกเด็กทารกเอาไว้

ญี่ปุ่นในยุคนั้นเด็กที่โตหน่อยจะแบกน้องเล็กไว้บนหลัง เพื่อจะพาไปไหนต่อไหนและเล่นด้วยกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ต่างจากเด็กคนอื่น

ผมคิดว่าเขาน่าจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ร้ายแรง

เขาไม่ได้ใส่รองเท้า หน้าตาของเขาตึงเครียด

ทารกบนหลังคอพับคออ่อนเหมือนกำลังหลับลึก เด็กชายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราว 5-10 นาที

แล้วเหล่าชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสีขาวก็เดินมาที่เด็กชาย ก่อนจะค่อยๆ แกะเชือกที่ผูกเป้ที่อุ้มเด็กทารกนั้นออก

นั่นคือตอนที่ผมตระหนักว่าเด็กทารกเสียชีวิตแล้ว

พวกเขาอุ้มเด็กทารกที่แขนและขา และวางร่างนั้นบนกองเพลิง

เด็กชายยืนนิ่งไม่ไหวติง สายตาจับจ้องไปที่เปลวไฟ

เขากัดริมฝีปากล่างอย่างแรงจนเลือดไหล

เปลวเพลิงมอดลงไปราวกับอาทิตย์อัสดง

เด็กชายคนนั้นหันหลังกลับ แล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน


ขอบคุณภาพจาก WW2 Wrecks: Japanese boy bringing his dead brother to a cremation pyre, 1945.

Pic & Pause: ฮิปโปเรียกแม่

วันนี้วันศุกร์ ไม่มีนิทานแต่มีรูปภาพที่มีเรื่องราวครับ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศเคนย่า ในเดือนธันวาคม 2004

ฮิปโปตัวนี้ชื่อว่า “โอเว่น” หนัก 300 กิโลกรัม ตอนที่อายุไม่ถึง 1 ขวบมันตกลงไปในแม่น้ำ Sabaki ที่ไหลลงมหาสมุทรอินเดีย ก่อนที่มันจะถูกคลื่นสึนามิซัดเข้าชายฝั่งในวันที่ 26 ธันวาคม 2004 (พ.ศ.2547) และได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้

ระหว่างที่พักฟื้น โอเว่นได้เจอเต่าตัวผู้อายุเกิน 100 ปี ด้วยความที่ถูกพลัดพรากจากแม่ตั้งแต่ยังเล็ก โอเว่นจึงยึดเอาเต่าตัวนี้เป็น “แม่” ของมันแทน ซึ่งเต่าชราก็ไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด ทั้งสองตัวติดกัน ไม่ว่าจะว่ายน้ำ กิน หรือนอน แถมยังคลอเคลียกันราวกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ

ความรักความผูกพันอาจเกิดขึ้นได้ในที่ที่คาดไม่ถึงครับ


ขอบคุณภาพและเรื่องราวจาก Quora: Dale P Lee’s answer to Can animals establish a traumatic bond?