เวลาตื่นไม่ยอมตื่น เวลานอนไม่ยอมนอน

ช่วงนี้ “ใกล้รุ่ง” ลูกชายวัยสี่ขวบครึ่งของผมมีพลังงานล้นเหลือเป็นพิเศษ

สามทุ่มกว่ายังวิ่งไปวิ่งมา ผมปิดไฟห้อง เปิดโคมไฟอ่านนิทานจบไป 3 เรื่องแล้วก็ยังลืมตาแป๋วในขณะที่ “ปรายฝน” พี่สาวของใกล้รุ่งหลับไปเรียบร้อยแล้ว บางทีผมอ่านนิทานต่ออีก 2-3 เรื่องก็ยังไม่หลับ จนต้องใช้ท่าไม้ตายปิดโคมไฟ-ปิดวาจาแล้วนอนเฉยๆ จนหลับไปทั้งลูกและพ่อ

เช้าวันถัดมา เวลาโดนปลุกตอน 7 โมง ใกล้รุ่งก็จะอ้อยอิ่งที่สุด นอนหลับตาตัวไม่กระดิก พอเปิดม่านให้แสบตา เขาก็จะนอนคว่ำเพื่อพยายามจะหลับต่อ ต้องใช้เวลาร่วม 5 นาทีในการชวนคุย แกล้งจั๊กจี้ และสุดท้ายต้องช้อนตัวขึ้นมาอุ้มและพาลงมาอาบน้ำข้างล่าง

เมื่อวานนี้พอเดินลงมา ทิ้งใกล้รุ่งบนโซฟา ใกลุ้ร่งก็ยังนอนคว่ำต่อ ผมก็เลยหมั่นเขี้ยวแซวใกล้รุ่งพร้อมใช้มือตีก้นเป็นจังหวะว่า “เวลาตื่นไม่ยอมตื่น (ตีก้นหนึ่งที) เวลานอนไม่ยอมนอน (ตีก้นอีกหนึ่งที)”

แล้วผมก็ตระหนักได้ว่า ที่พูดไปนี่ก็เข้าตัวอยู่เหมือนกัน


พอโตมาเป็นผู้ใหญ่ ถึงเวลานอนเราก็ไม่ยอมนอน เพราะช่วงเวลากลางดึกนั้นเป็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่ามีอิสรภาพอย่างแท้จริง หลังจากที่ต้องทำตามความคาดหวังของคนอื่นมาทั้งวัน

เราจึงนอนดูซีรี่ส์ตอนแล้วตอนเล่า หรือนอนไถฟีดได้เป็นชั่วโมง

พอถึงเวลาตื่น เราก็เลยต้องตื่นอย่างไม่เต็มใจ บางคนต้องพึ่งพากาแฟเพื่อให้มีเรี่ยวมีแรงพอที่จะทำงานไหว

เวลาช่วงเช้าที่เหมาะแก่การทำงานชิ้นใหญ่ เราก็เผลอไผลไปเช็คโซเชียล หรือไม่ก็ตอบอีเมล รู้ตัวอีกทีคนก็เริ่มทักสแล็ค-ทักไลน์จนเราไม่อาจทำงานที่ต้องใช้สมาธิได้อีกต่อไป ระหว่างวันก็มีประชุมติดๆ กัน ก็เลยกลายเป็นว่าต้องมานั่งทำงานของตัวเองตอนดึกๆ แล้วจบด้วยการดูซีรี่ส์เป็นการให้รางวัลตัวเอง เป็นวงจรอย่างนี้เรื่อยไป

เวลาที่มีนัดแล้วเราไปสาย ก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือควรจะเตรียมตัวออกจากบ้านได้ตั้งนานแล้ว แต่เราก็ใช้เวลาไปกับอย่างอื่นจนนาทีสุดท้าย แล้วก็ต้องมานั่งเครียดบนท้องถนนโดยไม่ใช่เรื่อง

กล่าวโดยสรุปก็คือ เราสามารถหลีกเลี่ยงความเครียดส่วนใหญ่ในชีวิตได้ หากเราทำสิ่งที่ควรทำในเวลาที่ควรทำ

ฟังดูง่ายๆ แต่ทำได้ไม่ง่าย – simple but not easy

อาจจะเริ่มต้นด้วยการนอนในเวลาที่ควรนอน และตื่นอย่างเต็มใจในเวลาที่ควรตื่น

ถ้าเราทำสิ่งที่ควรทำในเวลาที่ควรทำได้อย่างสม่ำเสมอ ชีวิตน่าจะดีขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ

จดหมายถึงใกล้รุ่ง

20171204_neardawn

ถ.อ่อนนุช เขตประเวศ

กรุงเทพมหานคร

5 นาฬิกา จันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560

สวัสดีใกล้รุ่ง

ถ้าลูกยังไม่เกิด วันนี้จะเป็นวันที่ลูกอยู่ในท้องแม่ครบ 40 สัปดาห์พอดี

แต่เนื่องจากลูกเกิดตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 วันนี้ลูกจึงมีอายุครบ 11 วัน

เกือบสองสัปดาห์ที่เรารู้จักกันมา ใกล้รุ่งเป็นเด็กเลี้ยงง่าย กินนมเก่ง โชคดีที่ใกล้รุ่งไม่งอแง การเลี้ยงลูกคราวนี้จึงเหนื่อยน้อยกว่าคราวก่อนมาก

ใกล้รุ่งเป็นลูกคนที่สองของแม่ผึ้งกับพ่อรุตม์ และเป็นลูกชายคนแรกของบ้านหลังนี้

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฟ้าส่งพี่สาวของลูกมาให้ช่วงปลายหน้าฝนพอดี พ่อกับแม่เลยตั้งชื่อให้เขาว่า “ปรายฝน” (พ่อมีเขียนจดหมายถึงพี่ปรายฝนด้วยนะ)

มีแต่คนบอกว่า งั้นคนต่อไปก็ต้องชื่อต้นหนาวสิ

พ่อก็ได้แต่คิดในใจว่าคงไม่ใช่ เพราะถ้าเกิดได้ลูกชายขึ้นมา เวลาพูดว่า “ต้นหนาวๆๆ” มันจะฟังดูเป็นผู้ชายอ่อนแอไปหน่อย

แล้วชื่อใกล้รุ่งมาได้ยังไง พ่อจะเล่าให้ฟัง

ตอนที่พ่อรู้ตัวว่าแม่ผึ้งตั้งครรภ์ และเมื่อนับวันแล้วจะครบ 40 สัปดาห์ในวันที่ 4 ธันวาคม มันก็ทำให้เรานึกถึงคนๆ หนึ่ง

ในช่วงเวลาที่พ่อกับแม่โตมา วันที่ 5 ธันวาคมเป็นวันที่มีความหมายกับคนไทย เพราะเป็นวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นที่รักยิ่งของคนทั้งประเทศ (ลูกคงงงว่า คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักของคน 70 ล้านคนได้อย่างไร ไว้ลูกโตอีกหน่อยพ่อจะเล่าให้ฟังนะ)

เมื่อรู้ว่าวันเกิดของลูกจะใกล้กับวันเกิดของในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อกับแม่ก็คิดว่า ถ้าชื่อของลูกมีความเชื่อมโยงกับพระองค์ท่านบ้างก็น่าจะดี

ทุกครั้งที่เรียกชื่อลูก พ่อกับแม่จะได้ระลึกถึงพระองค์ท่านด้วย

ช่วงนั้นแม่เขากำลังหัดเล่นเปียโนเพลง “ยามเย็น”  เวอร์ชั่นที่วี วิโอเล็ตร้องในหนัง “พรจากฟ้า” แต่พ่อคิดว่าถ้าตั้งชื่อลูกว่ายามเย็น ต้องโดนเพื่อนตัวแสบเรียกสั้นๆ ว่า “ยาม” แน่ๆ

โชคดีที่ยังมีเพลงพระราชนิพนธ์อีกเพลงที่ใกล้เคียงกับยามเย็น นั่นก็คือ ใกล้รุ่ง

ซึ่งก็สอดคล้องกับ ปรายฝน คือมีสองพยางค์ ใช้คำไทยแท้ และมีความเชื่อมโยงกับ “เวลา” ทั้งคู่

(พ่อเป็นคนให้ความสำคัญกับเวลามาก เพราะสิ่งที่เราเรียกว่า “ชีวิต” นั้น จริงๆ แล้วก็คือ “เวลา” ที่เราได้มาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้)

แม่ถามพ่อว่า ถ้าชื่อใกล้รุ่ง จะไม่โดนเพื่อนล้อเหรอว่า “ใกล้รุ่งๆ แล้วเมื่อไหร่จะรุ่งล่ะ?”

จริงๆ พ่ออยากให้ลูกรู้สึก “ใกล้รุ่ง” อยู่ตลอดเวลานะ เพราะมันจะทำให้ลูกมีความหวังและมีความเพียร เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดว่าตัวเอง “รุ่งแล้ว” นั่นแสดงว่าลูกกำลังตกอยู่ในความประมาท

พ่อกับแม่เก็บชื่อ “ใกล้รุ่ง” ไว้เป็นความลับ ไม่บอกใครเลย ขนาดพี่ปรายฝนก็ยังไม่รู้ แต่เวลาคุยกับลูกตอนอยู่ในท้อง พ่อกับแม่จะเรียกลูกว่า “หนวดขาว”

หนวดขาวคือชื่อตัวละครใน One Piece การ์ตูนเรื่องโปรดของพ่อ เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

อีกเหตุผลที่พ่อเลือกหนวดขาวมาตั้งเป็นโค้ดเนมให้ลูก ก็เพราะว่าหนวดขาวสามารถควบคุมแผ่นดินได้ พูดง่ายๆ ก็คือเขามีพลังแผ่นดินนั่นเอง

ถ้าปรายฝนเป็นลูกฟ้า ใกล้รุ่งก็น่าจะเป็นลูกดิน

ก่อนที่ใกล้รุ่งจะคลอด พ่อกับแม่ก็กังวลเล็กน้อยว่า ปรายฝนจะรู้สึกว่ารึเปล่าว่าน้องมาแบ่งความรักจากพ่อและแม่ไป

แต่ความกังวลนี้ก็คลี่คลาย เพราะพอพี่ปรายฝนเห็นหน้าใกล้รุ่งครั้งแรก เขาก็เอามือลูบหัวลูกเบาๆ แถมยังค่อยๆ ก้มลงมาหอมแก้มใกล้รุ่งตั้งหลายครั้ง

ช่วงแรกพี่ปรายฝนเขาหวงใกล้รุ่งขนาดที่ว่า ถ้าคนอื่นจะอุ้มใกล้รุ่ง ปรายฝนจะทักท้วงทันทีว่า “ไม่อุ้มๆ” ยอมให้อุ้มได้คนเดียวเท่านั้นคือแม่ผึ้ง

พี่ปรายฝน มีชื่อจริงว่า “วลีรัตน์” ซึ่งผู้ใหญ่ที่บ้านพ่อเคารพนับถือตั้งให้

7 วันก่อนที่ใกล้รุ่งจะคลอด พ่อก็ขอให้ผู้ใหญ่ท่านเดิมตั้งชื่อให้เช่นกัน พอวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ย.พ่อก็ได้รับคำอวยพรมาว่า

“ทายาทแห่งธรรมนามสอดคล้องผู้เป็นพี่ ด้วยวาจาอันซื่อสัตย์ แลเป็นวาจาอันทรงฤทธิ์ ด้วยบุญที่กำเนิดเกิดเป็นทายาทของลูก นามนั้นชื่อ สัจจรัตน์”

ขอให้ลูกเป็นคนมีสัจจะ

ขอให้ลูกเป็นคนติดดิน

ขอให้ลูกแข็งแรง

ขอให้ลูกมีจิตใจที่ดีงาม

ขอบคุณที่มาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้

พ่อขอให้สัจจะว่าจะดูแลใกล้รุ่งให้ดีที่สุดครับ

 

รักลูกเสมอ
แม่ผึ้ง-พ่อรุตม์-พี่ปรายฝน