คนสวิสอยากไปเที่ยวที่ไหน

คนมีแฟนเป็นดาราเขาแอบปลื้มใคร

คนมีเงินเป็นหมื่นล้านเขายังอยากได้อะไร

คนมีอำนาจล้นฟ้ายังมีความฝันอยู่อีกมั้ย


ผมมีเพื่อนชาวสวิสคนหนึ่งชื่อ Michi ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2001 สมัยผมได้ทุน IAESTE ไปฝึกงานที่เมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ (จำได้ว่าฝึกงานเสร็จ กลับเมืองไทย ก็เจอเหตุการณ์ 9/11 เลย)

มิกิจะส่งเมสเสจมาหาผมทางเฟซบุ๊คปีละครั้ง เล่าให้ฟังว่าปีที่ผ่านมาครอบครัวของเขาเป็นยังไงบ้าง ทำเป็นไฟล์ PDF มีภาพประกอบจริงจัง เขาบอกว่าไฮไลท์ของปี 2021 ของลูกสาวทั้งสองคนคือการได้ไปเล่นสกี และได้ไปเที่ยวชายหาด Dalmatian Coast ในโครเอเชีย

ผมไม่เคยได้ยินชื่อ Dalmatian Coast มาก่อนเลยกูเกิ้ลดูภาพ ก็เห็นว่าสวยดี เป็นเมืองเล็กๆ มีบ้านหลังคาสีน้ำตาลแดงเต็มไปหมด แต่หาดทรายตรงที่เป็นจุดท่องเที่ยวนั้นสั้นมาก ความยาวน่าจะไม่เกิน 200 เมตร

ผมดู PDF ของ Michi แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในขณะที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นดินแดนในฝันของคนไทยหลายคน คงมีคนไทยน้อยคนนักที่ใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวชายหาดในโครเอเชีย


ตอนที่ผมไปฝึกงานที่ซูริค ผมได้ไปอพาร์ตเมนต์เพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกว่ารูมเมตชาวสวิสของเขามีรูป 4×6 นิ้วหนึ่งรูปที่วางอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา เพราะมันคือ dream destination สำหรับเขา

พอผมถามว่ารูปอะไร เขาบอกว่ามันคือรูปชายหาดแห่งหนึ่งในเมืองไทย

ครับ ชาวสวิสคนนี้อยากมาเที่ยวเมืองไทยมาก เพราะว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่ติดทะเล ทิศเหนือติดเยอรมันนี ตะวันออกติดออสเตรีย ใต้ติดอิตาลี ตะวันตกติดฝรั่งเศส

แม้ n=1 แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า ในขณะที่คนไทยฝันถึงสวิตเซอร์แลนด์ คนสวิสก็ฝันถึงเมืองไทยเหมือนกัน


ผมเลยมาคิดเล่นๆ ต่อว่า มนุษย์เรามีสิ่งที่เราอยากได้มากมาย ซึ่งก็ไม่พ้นโลกธรรม 8 คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

แต่ถ้าเราได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้ว มันจะเป็นยังไงต่อนะ – where do we go from here?

คนที่มีแฟนสวยระดับดาราโลก เขาจะยังแอบปลื้มใครและอยากจะไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับใครอีกรึเปล่า

คนที่มีเงินเป็นหมื่นล้านแล้ว เขายังอยากไขว่คว้าอะไรอีก (ซึ่งก็เป็นหนึ่งในคำถามที่ผมเคยถกกับเพื่อนสมัยคุณทักษิณขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ แล้วเราก็สรุปว่า คงเพราะอยากมีอำนาจเพื่อที่จะได้บริหารสิ่งต่างๆ ไปในทางที่เขามองว่าเหมาะสม)

แล้วคนที่มีเงินและมีอำนาจล้นฟ้าล่ะ เมื่อได้มาครบทั้งลาภ ยศ และสรรเสริญแล้ว เขายังมีความฝันอีกมั้ย และที่สำคัญเขาหาความสุขเจอรึเปล่า

มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของแจ๊ค หม่า ที่บอกว่าวันหนึ่งเขาอยากกลับไปเป็นครูสอนหนังสือ

หรือจริงๆ แล้วนี่คือการละเล่นที่มนุษย์ไม่มีวันชนะ ไม่ว่าชีวิตเราจะสมบูรณ์เพียบพร้อมเพียงใด เราก็ยังไม่วายใฝ่ฝันในสิ่งที่เรายังไม่มีหรือเคยมีแล้วสูญเสียไปอยู่ดี

เหมือนคนสวิสที่ใฝ่ฝันถึงการมาเที่ยวเมืองไทย

เหมือนคนที่ได้มาทุกอย่างแล้วอยากกลับไปเป็นคนธรรมดาครับ

มันมักใช้เวลามากกว่าที่คิดเสมอ

20190127_takeslonger

ไม่ว่าจะเป็นการทำโปรเจ็ค

สร้างบริษัท

หาคนที่ใช่

เก็บเงินให้ได้ตามเป้า

ดังนั้นเราต้องใจเย็นๆ และไม่บีบคั้นตัวเองเกินไป

เพราะสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นดั่งใจ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย

เราทำได้แค่เพียงทำส่วนของเราให้เต็มที่ สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ฟ้าดิน

ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ยังไม่ตาย

บางที ความสำเร็จของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดครับ

ชีวิตไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นเส้นวงกลม

20180815_lifeisacircle

จุดสุดท้ายจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้น

จุดสูงสุดจึงกลายเป็นจุดต่ำสุด

ตอนเราอยู่ม.6 เราเก๋าสุดในโรงเรียนแล้ว แต่พอเข้ามหาลัยเราก็กลายเป็นเฟรชชี่น้องใหม่

พอเราอยู่ปี 4 เราเก๋าสุดในมหาลัยแล้ว แต่พอเรียนจบ เราก็กลายเป็นเพียงน้องใหม่ในชีวิตคนทำงานเท่านั้น

ทำงานก้าวหน้าจนได้เป็น CEO เก๋าสุดในองค์กรแล้ว แต่เมื่อไปรู้จักกับ CEO ที่อื่นๆ เราก็เป็นเพียงน้องใหม่เท่านั้น

ทำงานจนเข้าสู่ชีวิตวัยเกษียณ แล้วเราก็กลายเป็นเพียงน้องใหม่สำหรับกลุ่มคนชรา

และเมื่อเราเดินทางไปจนถึงจุดสุดท้ายของชีวิต เมื่อผ่านจุดนั้นไป เราก็กลายเป็นน้องใหม่ในอีกโลกหนึ่งเช่นกัน

โอโช (Osho) บอกว่าบิ๊กแบงเป็นกำเนิดของจักรวาลก็จริง แต่ก่อนจะมีบิ๊กแบง ก็มีจักรวาลอยู่ก่อนแล้ว จักรวาลที่ขยายตัว-ย่อตัวเป็นวัฎจักรมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ

เป็นการยากที่เราจะคิดถึงสรรพสิ่งที่ไม่มีจุดเริ่มต้นได้

แต่ถ้าลองคิดง่ายๆ แม้แต่การ “เริ่มต้น” ของตัวเราเอง จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เริ่มต้นจากการไม่มีอะไร เพราะมันมีอะไรมาก่อนต่างหากเราถึงเกิดขึ้นมาได้

ชีวิตจึงไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นเส้นวงกลม

เป็นเช่นนั้นเสมอมา และจะเป็นเช่นนั้นเสมอไปครับ


คอร์ส Time Management Workshop รุ่น 11 เรียนบ่ายวันเสาร์ที่ 1 กันยายนเต็มเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณทุกๆ คนมากครับ จะเปิดอีกครั้งช่วงปลายปีครับ

ข้อคิดจากพี่ต่อ ฟีโนมีน่า

201708909_torphenomena

ถ้าลองนึกถึงชื่อโฆษณาไทยที่คุณโปรดปรานซัก 3 เรื่อง มีโอกาสสูงมากที่อย่างน้อยหนึ่งในนั้นจะเป็นฝีมือการกำกับของพี่ต่อ ฟีโนมีน่า

เช่นหนังโฆษณาซึ้งๆ ของไทยประกันชีวิต (ปู่ชิว, แม่ต้อย, Que Sera Sera)

หรือโฆษณา จน เครียด กินเหล้า!  ของสสส.

หรือโฆษณาเงินติดล้อ – เราไม่อยากให้คุณกลับมาหาเราอีก

งานของพี่ต่อกวาด Cannes Lion ซึ่งเปรียบเสมือนรางวัลออสการ์ของคนทำโฆษณามาแล้วหลายสิบรางวัล จนนิตยสาร a day ต้องเชิญพี่ต่อมาขึ้นปกแล้วพาดหัวว่าคนคนนี้คือผู้กำกับโฆษณาอันดับ 1 ของโลก

ผมจึงดีใจมากที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพี่ต่อได้เข้ามาพูดให้พนักงานที่บริษัทวงในร้อยกว่าคนฟัง (ทุกๆ สองศุกร์ เราจะมีกิจกรรม Wongnai WeShare ที่เราจะเชิญคนเจ๋งๆ มาร่วมพูดคุย)

พี่ต่อมาพูดโดยไม่มีสคริปต์ เน้นตอบคำถามเป็นหลัก และการตอบแต่ละข้อพี่ต่อจะหยุดคิดก่อนพูดเสมอ (เป็นการพูดคุยที่มี “ความเงียบ” แซมอยู่ตลอดทางมากที่สุด)

นี่คือข้อคิดที่ผมได้จากการฟังพี่ต่อในวันนั้นครับ

1. ใช้ชีวิตให้ตรงประเด็น เราถามพี่ต่อไปว่า อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ พี่ต่อตอบว่าเขาแค่เป็นคนจับประเด็นเก่ง และหลักการการทำงานของเขาก็คือเวลาทำงาน ก็ทำให้ดีที่สุด พองานเราดี จะแต่งตัวยังไงก็ไม่สำคัญ ขับรถอะไรก็ไม่เกี่ยว connection ก็ไม่จำเป็น เพราะงานเราดีซะอย่าง ยังไงเขาก็ต้องจ้างเรา พอเราใช้ชีวิตตรงประเด็น ชีวิตมันก็จะง่าย

2. ทำอะไรควรสร้างการผลิต สำหรับคนที่อยากรวย อยากมีอิสระทางการเงินเร็วๆ พี่ต่อแนะนำให้ลองสำรวจดูว่า กิจกรรมที่เราทำหรือเงินที่เราใช้ไปนั้นมันสร้างการผลิตรึเปล่า ถ้าไม่สร้างการผลิตก็พยายามอย่าไปทำ เช่นปลูกไม้ประดับไม่สร้างการผลิต ปลูกผักสวนครัวสร้างการผลิต นั่งคุยการเมืองไม่สร้างการผลิต ถ้าคุณเป็นห่วงบ้านเมืองก็ลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างไปเลย

3. อ่านหนังสือให้เยอะๆ เราจะเข้าใจคนดู (ลูกค้า / Consumers) ได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ธรรมชาติของเขาเป็นอย่างไร พี่ต่อจึงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยเยอะมาก รวมถึงอ่านหนังสือขึ้นหิ้งอย่างสามก๊ก ซุนวู มูซาชิด้วย ถามว่าพี่ต่อจะแนะนำหนังสืออะไรให้พนักงานวงในอ่าน พี่ต่อพูดถึงหนังสือ Good Luck ของนานมีบุ๊คส์ เป็นหนังสือที่บอกว่าโชคไม่มีอยู่จริง ความสำเร็จเป็นสิ่งที่เราสร้างเอง (เย็นวันนั้นมีน้องวิ่งไปซื้อมา 4 เล่มเลยนะครับ ผมเองก็ไปสอยมาแล้วหนึ่งเล่มเช่นกัน ไว้จะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป)

4. อย่าพยายามทำปลาแซลม่อนให้เป็นปลาช่อน เวลาเลือกคนมาแสดงโฆษณา พี่ต่อจะเลือกคนที่ทำสิ่งๆ นั้นเป็นอยู่แล้ว เช่นถ้าตัวละครต้องขี่มอเตอร์ไซค์ เขาก็จะไม่เอาคนขับรถยนต์มาแสดง เพราะแค่แอคติ้งง่ายๆ อย่างการปิดเบาะมอเตอร์ไซค์ลง คนขี่มอเตอร์ไซค์จะทำได้สมจริงกว่าคนขับรถยนต์แน่ๆ ถ้าเราอยากได้ปลาช่อนก็อย่าไปเอาปลาแซลม่อนมาทำใหเป็นปลาช่อน สู้เอาเวลาไปเฟ้นหาปลาช่อนดีกว่า

5. ปัญหาเป็นเรื่องดี เพราะมันบอกให้รู้ว่ายังมีอะไรที่ไม่ดี เริ่มจากคำถามที่ว่ามีโฆษณาตัวไหนที่พี่ต่อไม่ชอบมั้ย พี่ต่อตอบว่ามีหลายตัวมากที่พอกลับไปดูแล้วเจอจุดที่มันควรจะดีกว่านี้ได้ เช่นแอคติ้งมากเกินไป ซาวด์ไม่โอเค ฯลฯ แต่กว่าจะรู้ตัวคือต้องผ่านไปซัก 1 ปีแล้วกลับมาดูใหม่ เพราะพอทำงานไปเยอะๆ รสนิยมของเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราจะมองเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองได้ดีขึ้น พอเจองานที่เขาไม่ชอบแล้ว พี่ต่อจะจำแนกออกมาเป็นข้อๆ เลยว่ามีอะไรบ้างไม่ชอบเพราะอะไร แล้วพี่ต่อก็จะไม่ทำมันอีก

พี่ต่อบอกว่าข้อผิดพลาดโคตรมีประโยชน์ เพราะถ้าเราเรียนรู้จากมันและไม่ทำมันผิดซ้ำ กราฟชีวิตของเราจะพุ่ง อันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในวันนั้นสำหรับผม เพราะผมรู้ตัวว่าไม่ค่อยกล้าสบตากับจุดอ่อนของตัวเองซักเท่าไหร่ เช่นไม่ค่อยกลับไปอ่านงานเขียนเก่าๆ และไม่กล้าอัดวีดีโอตัวเองตอนที่สอนหนังสือ แต่จากนี้ไปจะต้องลองดูซักหน่อยแล้วครับ

ขอบคุณพี่ต่ออีกครั้งที่สละเวลามาเล่าประสบการณ์และแนวทางการดำเนินชีวิตให้พวกเราฟัง และขอบคุณยุ้ย เพื่อน HR ที่เคยทำงานอยู่ฟีโนมีน่าและได้มารู้จักกันที่ทอมสันรอยเตอร์ ที่ช่วยประสานงานจนเชิญพี่ต่อสำเร็จนะครับ

—–

ป.ล. ปีแรกที่ผมเขียนบล็อก ผมมีเขียนถึงพี่ต่อในเรื่อง เงิน/ความสุข/คุณค่าด้วยนะครับ

ป.ล.2 “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” หนังสือเล่มแรกของผมวางแผงแล้ว หาซื้อได้ที่ซีเอ็ด นายอินทร์ B2S และศูนย์หนังสือจุฬาครับ

TGIM_HardCopies

เราเกิดมาเพื่อมีความสุข(?)

20170727_purposeoflife

ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีหากเราจะคอยถามตัวเองบ้างว่า “จริงๆ แล้วเราต้องการอะไร”

เพราะบางทีเราก็ก้มหน้าก้มตามากเกินไป

ก้มหน้าก้มตากับงาน ก้มหน้าก้มตาดูแลลูก ก้มหน้าก้มตากับมือถือ ก้มหน้าก้มตากับการสังสรรค์เฮฮา

เรายุ่งกับการทำๆๆ จนบางทีก็อาจหลงลืมไปว่า ทั้งหมดนี้นั้นทำไปเพื่ออะไร

คำตอบหนึ่งก็คือ เพื่อจะได้มีความสุข

เราทำงาน จะได้มีเงินมาดูแลคนที่เรารัก จะได้เอาเงินมาซื้อความสุขได้

เราทำหน้าที่ของพ่อแม่ จะได้เห็นลูกมีความสุข แล้วเราก็มีความสุขได้

เราเล่นมือถือ จะได้รู้เรื่องชาวบ้าน จะได้เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งก็ทำให้มีความสุขได้

แล้วเราก็สังสรรค์เฮฮากับเพื่อน เพราะเชื่อว่ามันสนุกและทำให้เรามีความสุขได้

แต่แม้เป้าหมายปลายทางคือความสุข แต่มันก็มีความทุกข์ปนอยู่ไม่น้อย

เพราะตอนที่ทำงานก็โดนเจ้านายกดดัน โดนลูกค้าด่า โดนปัญหาสารพัดสารพัน

เวลาดูแลลูก เราก็ต้องอดหลับอดนอน ไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีเวลาให้ตัวเอง

ตอนเล่นมือถือ ถ้าอยู่กับมันนานเกินไป ยิ่งไถฟีดเท่าไหร่ก็จะยิ่งค่อยๆ รู้สึกผิดและรู้สึกแย่ลงเท่านั้น

และมีหลายครั้งที่อยู๋ในวงสังสรรค์ แต่กลับเหงายิ่งกว่าอยู่คนเดียว แถมถ้าดื่มเยอะ วันรุ่งขึ้นยังปวดหัวอีก

มันจึงมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อมีความสุข

“I cannot believe that the purpose of life is to be “happy.” I think the purpose of life is to be useful, to be responsible, to be honorable, to be compassionate. It is, above all, to matter: to count, to stand for something, to have made some difference that you lived at all.”

“ผมไม่อาจเชื่อได้ว่าเป้าหมายของชีวิตคือการมีความสุข ผมคิดว่าเป้าหมายของชีวิตคือการทำตัวให้เป็นประโยชน์ มีความรับผิดชอบ มีคุณธรรม มีเมตตา และที่สำคัญที่สุดคือมีแก่นสาร มีความหมาย ได้ยืนหยัดเพื่ออะไรบางอย่าง และได้สร้างความแตกต่างให้สมกับที่เกิดมาในชาตินี้”

—Leo C. Rosten

สำหรับคุณ Leo Rosten เป้าหมายของชีวิตคือการทำให้ชีวิตนี้มีความหมายด้วยการทำตัวให้มีประโยชน์

ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งนะ

ผมว่าเราสามารถมีชีวิตที่สร้างประโยชน์และมีความสุขได้ด้วย เพียงแต่สองอย่างนี้บางทีมันก็อาจไม่ได้มาพร้อมกันเท่านั้นเอง

ช่วงที่งานหนักๆ หรือลูกยังอายุไม่เกิน 3 เดือน ความสุขทางกายภาพคงเป็นสิ่งหาได้ยาก แต่อย่างน้อยเราก็ยังบอกตัวเองได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มีมีประโยชน์ ทั้งต่อสังคมโดยรวมและต่อมนุษย์ตัวน้อยๆ คนหนึ่ง

แม้กระทั่งการเล่นมือถือหรือการสังสรรค์ เราก็ยังสามารถสร้างประโยชน์ได้ เช่นเมื่ออ่านเจอบทความดีๆ แล้วแชร์ต่อให้เพื่อนอ่าน หรือเวลาไปงานปาร์ตี้ก็อาจจะบอกกับตัวเองว่าหน้าที่ของเราในคืนนี้คือทำให้เพื่อนมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์หรือบริบทไหน เราสามารถทำตัวให้มีประโยชน์ได้เสมอ

และเมื่อเราทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาก็น่าจะนำมาซึ่งความสุขและความอิ่มใจครับ


Time Management Workshop วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม ยังมีที่ว่างอีก 2 ที่ ดูรายละเอียดการสมัครได้ที่ https://goo.gl/wF7mS2

facebook.com/anontawongblog
anontawong.com/archives