Book Insights – Everything is F*cked – A Book about Hope by Mark Manson

20191222

สมมติว่าพนักงานสตาร์บัคส์ไม่ได้เขียนชื่อเราบนแก้วกาแฟ แต่เขียนไว้ว่าอย่างนี้

“วันหนึ่งคุณและทุกคนที่คุณรักก็จะตาย และนอกเหนือจากคนจำนวนเพียงน้อยนิดในเวลาอันแสนสั้น สิ่งที่คุณพูดหรือทำแทบจะไม่มีความหมายใดๆ นี่คือความจริงที่ยากจะยอมรับ (Uncomfortable Truth) และทุกสิ่งที่คุณคิดหรือทำก็เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้

เราเป็นแค่เพียงละอองฝุ่นในจักรวาลที่สาละวนกันอยู่บนจุดน้ำเงินจุดเล็กๆ นี้ เราจินตนาการไปเองว่าเรานั้นมีความสำคัญ เราคิดไปเองว่าเรามีความหมาย จริงๆ แล้วเราเป็นได้แค่ nothing

ดื่มกาแฟ %!$ ให้อร่อยนะ (Enjoy your fucking coffee)”

—–

สิ่งที่ตรงข้ามกับความสุขไม่ใช่ความทุกข์หรือความโกรธ เพราะถ้าเราโกรธแสดงว่าเรายังมีหวังอยู่ สิ่งที่ตรงข้ามกับความสุขคือความสิ้นหวัง (hopelessness) และนี่เป็นบ่อเกิดของการป่วยทางจิตแทบทุกโรค

—–

เราอยู่ในช่วงเวลาที่มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เรากลับรู้สึกสิ้นหวังกว่าที่เคย ยิ่งอะไรๆ ดีขึ้นเท่าไหร่เรายิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น นี่คือปริศนาแห่งความเจริญ (paradox of progress) ยิ่งประเทศไหนมั่งคั่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่คนในประเทศนั้นจะฆ่าตัวตายยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

—–

The Classic Assumption สมมติฐานคลาสสิคของเราก็คือ ถ้าคนๆ หนึ่งไม่มีวินัยหรือเป็นคนใช้ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือจิตใจไม่เข้มแข็งพอ

แต่ความเป็นจริงก็คือเราต้องใช้มากกว่า willpower ในการควบคุมตัวเอง จริงๆ แล้วอารมณ์เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจและในการกระทำเพียงแต่เรามักไม่รู้ตัว

—–

เรามีสมองอยู่สองส่วนคือ Thinking Brain และ Feeling Brain เรามักจะคิดว่า Thinking Brain ของเราเป็นใหญ่ เป็นคนขับรถชีวิตคันนี้ แต่จริงๆ แล้วคนขับรถคือ Feeling Brain ต่างหาก เพราะทุกการกระทำของเราถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยเหตุผล

หลายครั้งที่รู้ทั้งรู้ว่านี่คือสิ่งที่เราควรทำ แต่เราก็ไม่ทำ เพราะ I don’t feel like it. (Feeling Brain เป็นตัวนำ)

Feeling Brain นั้นแข็งแรงกว่า Thinking Brain หลายสิบเท่า บางครั้ง Thinking Brain เลยมักจะเออออห่อหมกตาม Feeling Brain เช่นเรากำลังลดน้ำหนักแต่เกิดอยากกินไอติมขึ้นมา Feeling Brain ตัดสินใจแล้วว่ากูจะกินไอติมแท่งนี้ Thinking Brain สู้ไม่ไหวเลยพยายามเข้าข้างตัวเองว่า “เออ วันนี้ฉันทำงานหนักมาทั้งวันแล้วนะ ดังนั้นต้องให้รางวัลตัวเองหน่อย”

Feeling Brain ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าต้องทำอะไร และยิ่ง Thinking Brain จะใช้เหตุผลกับ Feeling Brain ยิ่งเป็นไปไม่ได้ การโน้มน้าวด้วยข้อมูลนั้นไม่ได้ช่วยอะไร

วิธีที่จะโน้มน้าว Feeling Brain ได้คือการโน้มน้าวด้วยอารมณ์ ถ้าอยากออกกำลังกาย ก็ต้องทำให้มันนึกถึงหุ่นดีๆ ที่จะได้มา หรือความรู้สึกเซ็กซี่ตอนใส่ชุดว่ายน้ำลงทะเล รวมถึงความชื่นชมจากคนรอบข้าง

Thinking Brain จะคิดแนวราบ ว่าอะไรเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ส่วน Feeling Brain จะคิดแนวดิ่งว่าอะไรดีกว่ากัน

—–

วิธีเดียวที่จะเปลี่ยนคุณค่าที่เรายึดถือ (values) ได้คือต้องเจอประสบการณ์ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เรายึดมั่น และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเปลี่ยนความเชื่อ เราก็ต้องพานพบกับความเจ็บปวดเสมอ ไม่มีการเติบโตใดที่ไม่เจ็บปวด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่ไม่ลำบาก

เหตุผลที่โลกนี้ต้องมีศาสนาเพราะสมัยก่อนตอนที่เทคโนโลยีไม่ก้าวหน้า การพัฒนาไม่มี ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้นถ้าคุณเกิดมาจน คุณก็ไม่มีความหวังว่าชีวิตคุณจะดีขึ้น ถ้าคุณเกิดมาเป็นทาส คุณก็จะเป็นทาสไปตลอดชีวิต ศาสนามอบความหวังด้วยการสัญญาว่า ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า ชีวิตหลังความตายของคุณจะดีกว่าชีวิตนี้

นิทเช่บอกว่าคนเราจะยิ่งใหญ่ได้ ต้องมองไปไกลกว่าความหวัง ไกลกว่าดีหรือชั่ว แต่จง amor fati ซึ่งแปลว่า love one’s fate เจออะไรมาก็จงรับมันไว้ด้วยความปรีดา

—-

Child -> Pleasures
“เด็กเล็ก” จะวิ่งเข้าหาความสุขโดยไม่สนใจอย่างอื่น ไม่สนใจสายตาใคร

Adolescents -> Principles -> Pleasures
“เด็กวัยรุ่น” จะเริ่มคิดถึงหลักการที่จะนำไปสู่ความสุข เช่นถ้าใส่แว่นนี้จะดูเท่รึเปล่า ถ้าฟังเพลงนี้จะอินเทรนด์รึเปล่า

ทั้งเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี เพียงแต่วัยรุ่นมีความเนียนกว่าหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังมุ่งหาความสุขหรือ pleasures ไม่ต่างกัน

Adult -> Principles
“ผู้ใหญ่ (ที่แท้จริง)” จะยึดมั่นในหลักการ โดยไม่สนใจว่ามันจะนำไปสู่ความสุขหรือไม่

Emmanuel Kant บอกว่าสิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากทุกสิ่งในจักรวาลนี้ก็คือ “Consciousness” หรือความรู้สึกตัว เราเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่คิดอย่างมีเหตุมีผลและใช้ชีวิตอย่างมีสติได้

—–

Hope หรือความหวังนั้นมันมีจุดอ่อนตรงที่มันยังเป็นการ “แลกเปลี่ยน” (transactional) อยู่ เช่นไม่กินสิ่งนี้ แล้วคุณจะได้ไปสวรรค์ อย่าฆ่าคนๆ นี้ ไม่อย่างนั้นคุณจะตกนรก ทำงานหนักและอดออม คุณจะได้มีความสุข

แต่ถ้าอยากจะก้าวข้าม Hope ไป เราต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีข้อแม้ (act unconditionally) รักโดยไม่หวังให้เขารักตอบ เคารพเขาโดยไม่หวังให้เขาต้องเคารพเรา เป็นคนซื่อสัตย์แม้จะไม่มีใครชื่นชม หากเรายังแอบหวังผลตอบแทน นั่นก็แปลว่าเรายังไม่ได้รักเขาจริงๆ ไม่ได้เคารพเขาจริงๆ ไม่ได้มีความซื่อสัตย์อย่างแท้จริง

Humanity (มนุษยธรรม) คือเป้าหมายในตัวมันเอง ไม่ใช่ช่องทางที่นำพาเราไปสู่เป้าหมาย (use humanity as an end in and of itself, not as a means to an end)

วิธีเดียวที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้คือการทำตัวเองให้ดีขึ้น

—–

จากงานวิจัยหลายสิบปี ไม่ว่ากลุ่มตัวอย่างจะรวยจนแค่ไหนหรือเคยผ่านประสบการณ์ดีหรือร้ายอะไรมา ความสุขเฉลี่ยของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 7 เต็ม 10 เสมอ แล้วเราก็จะมีภาพในจินตนาการว่า “10” มีหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งคะแนนสิบเต็มในจินตนาการนี่แหละที่มันนำพาให้เราต้องดิ้นรนอยู่ไม่สุขอยู่ร่ำไป

เรารู้จักสูตร E = mc^2 โดย c คือความเร็วแสงซึ่งไอน์สไตน์บอกว่ามันเป็น universal constant ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนได้คือ space-time

เราคิดว่า “ตัวเรา” คือ “ค่าคงที่สากล” (universal constant) เช่นกัน เราวันนี้ก็คือเราคนเดิมในเมื่อวานและจะเป็นเราคนเดิมในวันพรุ่งนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา

แต่ในความเป็นจริงก็คือ “ตัวเรา” ไม่ใช่ universal constant สิ่งเดียวที่เป็น universal constant คือ pain หรือ ทุกข์ แล้วเราเองต่างหากที่ปรับตัวไปเรื่อยๆ เพื่อให้รับมือกับทุกข์ระดับต่างๆ ได้ (ความสุขของเราจึงอยู่ที่ประมาณ 7/10 เสมอ)

เนื่องจาก pain เป็นค่าคงที่สากล เราจึงไม่มีทางหลุดพ้นจากมันได้ การทำอะไรก็แล้วแต่เพื่อจะหลีกหนีความทุกข์จึงไร้ประโยชน์และมีแต่จะทำให้ปัญหาแย่ลง

The pursuit of happiness หรือการตามหาความสุขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของอเมริกานั้นจะพาเราไปผิดทาง การมีชีวิตที่ดีไม่ใช่การหลบหลีกความทุกข์ ชีวิตที่ดีคือการยอมทนทุกข์ด้วยเหตุผลที่เราเลือกแล้ว (Living well doesn’t mean avoding suffering; it means suffering for the right reasons)

เทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้เราเชื่อว่าคนเราควรจะทุกข์น้อยลงแต่จริงๆ แล้วความทุกข์ไม่เคยหายไปไหน มันแค่เป็นความทุกข์ที่พัฒนาแล้วเท่านั้นเอง (improvement of pain is not an elimination of pain) มันแค่แปรรูปจากความทุกข์ทางร่างกายมาเป็นความทุกข์ทางจิตใจเท่านั้นเอง

เราต้องไม่สับสนระหว่าง Freedom กับ Variety สมมติว่าไมค์มีช้อยส์ขนมปังให้เลือก 20 ช้อยส์ แต่เจนมีให้เลือกแค่ 2 ช้อยส์ ไมค์ไม่ได้มีอิสรภาพ (freedom) มากกว่าเจน เขาแค่มีความหลากหลายมากกว่าเจนเท่านั้น

อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้โดยแท้จริงผ่านการ self-elimination เท่านั้น เลือกว่าจะตัดอะไรออกไปในชีวิต

ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่บอกว่าจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นนั้น แท้จริงเป็นเพียง “Modern diversions” หรือการเบี่ยงเบนความสนใจ มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอแต่อย่างใด

—–

เมื่อถึงวันที่ AI สามารถเขียน AI ได้ดีกว่าที่เราเขียน วิถีชีวิตของเราอาจไม่ต่างกับยุคหลายพันปีก่อนที่มนุษย์บูชาและปฏิบัติตามพลังที่เราไม่อาจหยั่งถึงและไม่อาจต่อกรด้วยได้

สุดท้ายแล้ว AI อาจจะเป็น The Final Religion ที่นิทเช่เคยพูดถึง และเราไม่ควรตัดสิน AI ไปล่วงหน้า เพราะสิ่งแย่ๆ ที่เราคิดว่า AI จะทำนั้นล้วนแล้วแต่ขับมาจากความคิดความเชื่อของมนุษย์ที่ยังกิเลสหนาปัญญาด้อย ซึ่ง AI คงไม่ทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้น

คำแนะนำก็คือ อย่าหวัง – Don’t hope

แล้วก็อย่าสิ้นหวังด้วย – Don’t despair either

อย่าคิดว่าเรารู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะไอ้ความเชื่อที่เราว่าเรารู้แล้วนี่แหละที่ทำให้เรามีปัญหาอยู่ทุกวันนี้

อย่าหวังว่าอะไรจะดีขึ้น แค่เป็นคนที่ดีขึ้นก็พอ Don’t hope for better. Be better.


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ  Everything is F*cked – A Book about Hope by Mark Manson

(Book Insights ไม่ใช่ Book Summary และไม่ใช่ Book Review ดังนั้นจึงจะไม่พยายามพูดถึงหนังสือทั้งเล่ม และจะไม่วิจารณ์ด้วยว่าดีไม่ดี หรือผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร สิ่งที่ Book Insights จะทำคือการดึงเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ขึ้นมาพูดเป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับเนื้อหาแบบลัดสั้นที่สุดครับ)

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมวางแผงคริสต์มาสนี้ อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ fb.com/anontawongblog/posts/1529356450556797

Book Insights – The Culture Code

20191026

เคยมีการทดลองให้ทำงานกลุ่มด้วยการนำสิ่งเหล่านี้มาสร้างสิ่งก่อสร้างให้สูงที่สุด

– เส้นสปาเก็ตตี้ดิบ 20 เส้น
– สก๊อตเทป 1 หลา
– ด้าย 1 หลา
– มาชเมลโลว์ 1 ก้อน

โดยเฉลี่ยแล้ว กลุ่มเด็ก MBA จะสร้างได้เตี้ยกว่ากลุ่มเด็กอนุบาล โดยเด็ก MBA สร้างได้สูงแค่ 10 นิ้ว ส่วนเด็กอนุบาลสร้างได้สูง 26 นิ้ว

เวลาที่เด็ก MBA ทำงานกลุ่ม ภายนอกอาจดูเหมือนว่ามีการแบ่งงานกันดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่การทำงานร่วมกัน แต่เป็นการทำ status management (จัดการที่ทาง/สถานะของตัวเอง) คำถามที่วนอยู่ในหัวพวกเขาคือ “ใครคือผู้นำกลุ่มในตอนนี้” “ฉันวิจารณ์ไอเดียคนอื่นได้รึเปล่า” “มีกฎอะไรบ้าง” ทำให้การทำงานร่วมกันไม่มีประสิทธิภาพแถมยังมีการชิงดีชิงเด่นกันอย่างเนียนๆ ด้วย

ขณะที่เด็กอนุบาลนั้น ภายนอกอาจดูยุ่งเหยิง แต่พวกเขาไม่สนใจเรื่อง status management ทุกคนล้วนอยากช่วยกัน ลองผิดลองถูก เรียนรู้ว่าอะไรเวิร์คหรือไม่เวิร์คแล้วค่อยๆ พาตัวเองไปสู่ทางออกที่ดีกว่า

เด็กอนุบาลไม่ได้ฉลาดกว่าเด็ก MBA แค่ทำงานฉลาดกว่าเฉยๆ (they are not smarter, they just work in a smarter way)

หนังสือเล่มนี้พูดถึง 3 skills หลักๆ
1. Build Safety – สร้างความรู้สึกปลอดภัย
2. Share Vulnerability – ยอมรับในความอ่อนแอและความกังวลของตัวเอง
3. Establish Purpose – มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน

—–

Build Safety

เคยมีการทดลองด้วยการส่ง “คนพลังงานลบ” เข้าไปในที่ประชุมของคนทำงาน โดยมีหน้าที่หลักๆ คือทำตัวเป็น Jerk (คนนิสัยเสีย), Slacker (คนขี้เกียจ), และ Downer (คนหม่นหมอง) เมื่อคนจำพวกนี้เข้าไปในกลุ่มไหน พลังงานของกลุ่มจะตกลงทันที และคนอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะทำตัวคล้อยตามไปด้วย

แต่มีกลุ่มหนึ่งที่คนพลังงานลบทำอะไรไม่ได้ เพราะมีคนอย่าง Jonathan อยู่ โดยเวลาที่ Jerk พูดอะไรไม่ดีออกมา โจนาธานจะตอบอย่างนุ่มนวลและถามคำถามใหม่ที่ทำให้คนอื่นๆ ได้แสดงความเห็น และโจนาธานก็จะฟังอย่างตั้งใจก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง จนทำให้บรรยากาศของทีมกลับมาดีขึ้น

โจนาธานทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องใช้คำใหญ่โต ไม่ต้องพูดจาปลุกใจ ไม่ต้องบอกว่าใครต้องทำอะไร สิ่งที่เขาทำเพียงสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อให้คนอื่นๆ ได้มีบทบาทเท่านั้นเอง

เท่าที่ได้ไปสังเกตการณ์ในองค์กรที่มีทีมเวิร์คที่ดีอย่าง IDEO, หน่วย SEAL หรือโรงเรียน KIPP เราจะเห็นสิ่งเหล่านี้ในการทำงานกลุ่ม
– คนยืน/นั่งอยู่ใกล้กัน และมักจะเป็นวงกลม
– คนในกลุ่มสบตากันเยอะมาก
– มีการแตะเนื้อต้องตัวอยู่บ่อยๆ handshakes, fist bumps, hugs
– ไม่มีใครพูดยาวๆ แต่จะผลัดกันพูดสั้นๆ
– ทุกคนได้พูดพอๆ กัน
– มีการขัดจังหวะกันน้อยมาก
– มีคำถามเยอะมาก
– ฟังอย่างตั้งใจ
– เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
– มีมารยาท (พูดขอบคุณ เปิดประตูให้เพื่อน)

อีกหนึ่งการทดลองที่เปิดให้ผู้เข้าร่วมได้ลองแก้ปัญหา puzzle โดยจะใช้เวลานานเท่าไรก็ได้ เมื่อผ่านไปสองนาทีก็มีคนส่งกระดาษมาให้ เขียนโดยลายมือของคนชื่อสตีฟบอกว่า “ผมเคยทำ puzzle นี้มาก่อน และผมมีเคล็ดลับที่อยากจะบอก…” เมื่อผู้เข้าร่วมได้รับกระดาษแผ่นนี้แล้ว เขามีแนวโน้มที่จะใช้เวลากับการแก้ puzzle นานขึ้นถึง 50% ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเคล็ดลับในกระดาษก็ไม่ได้ช่วยอะไร สิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงคือความรู้สึกที่ว่ามีใครบางคนแคร์เราอยู่

การส่งสัญญาณว่าเราแคร์นั้นทำแค่ครั้งเดียวไม่พอ แม้เค้าจะรู้อยู่แล้วว่าเราแคร์ก็เถอะ เหมือนคนรักกันก็ควรบอกรักกันบ่อยๆ

ในการทำ staff orientation ของ Call Center แห่งหนึ่ง พนักงานใหม่ได้รับการเทรนเหมือนกันหมด แต่ตอนท้ายมีการแบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้กลับบ้านเลย ส่วนกลุ่มที่สองได้รับการเทรนเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง ผ่านไป 7 เดือน กลุ่มที่สองมีโอกาสสูงกว่ากลุ่มแรกถึง 250% ที่จะยังทำงานที่นี่อยู่ ความแตกต่างก็คือในการเทรน 1 ชั่วโมงที่กลุ่มที่สองได้รับนั้น พวกเขาได้รับ “สัญญาณ” ว่าองค์กรนี้แคร์เขา ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่ว่า ช่วงเวลาไหนของวันที่เขาทำงานได้ดีที่สุด เขามีทักษะพิเศษอะไรบ้าง รวมถึงการได้รับแจกเสื้อที่มีชื่อของตัวเองปักอยู่

คนชอบนึกว่าองค์กรที่มี culture ที่ดีคือองค์กรที่คนทำงานอย่างมีความสุขความสบาย แต่ความเป็นจริงก็คือผู้คนในองค์กรที่มี culture ที่แข็งแรงนั้นไม่ได้แคร์เรื่องการมีความสุขเท่ากับความสามารถและโอกาสในการแก้ปัญหายากๆ ร่วมกัน

ในอีกหนึ่งการทดลองที่ให้เด็กมัธยมเขียนเรียงความและให้อาจารย์เป็นคนให้ฟีดแบ็ค ปรากฎว่ามีประโยคหนึ่งที่ทรงพลังเป็นพิเศษ นักเรียนที่ได้รับประโยคนี้มีโอกาสสูงมากที่จะแก้ไขเรียงความให้ดีกว่าเดิม ประโยคที่ว่าคือ

I’m giving you these comments because I have very high expectations and I know that you can reach them

ครูเขียนคอมเม้นท์เหล่านี้เพราะว่าครูมาตรฐานสูงและครูก็รู้ว่าเธอทำได้

ประโยคนี้เป็นสัญญาณสร้างความปลอดภัยในสามระดับ
1. เธอเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเรา
2. กลุ่มของเรานั้นพิเศษ เพราะเรามาตรฐานสูง
3. ครูรู้ว่าเธอสามารถทำตามมาตรฐานนี้ได้

เคยมีการศึกษาว่าอะไรเป็นปัจจัยให้ทีมๆ หนึ่งสร้างผลงานได้โดดเด่นกว่าทีมอื่นๆ และได้พบกว่า กลุ่มคนที่ผลงานโดดเด่นนั้นมี clusters of high communications ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่มีการติดต่อสื่อสารพูดคุยกันบ่อยๆ นั่นเอง

ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิด high communications คือ “ระยะทางระหว่างโต๊ะ” ยิ่งโต๊ะอยู่ใกล้กันเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดการสื่อสารมากขึ้นเท่านั้น ถ้านั่งห่างกันไม่เกิน 8 เมตรจะสื่อสารกันถี่มาก แต่ถ้านั่งไกลกว่านั้น การสื่อสารจะตกลงอย่างรวดเร็ว ดูภาพประกอบได้ที่ Allen Curve

คนที่นั่งใกล้กันจะส่งเมลหากันบ่อยกว่าคนที่นั่งห่างกันถึง 4 เท่า และทำโปรเจ็คเสร็จเร็วกว่าถึง 32%

—–

Share Vulnerability

วิธีดูว่าวันนี้เรามีวันทำงานที่ดีหรือไม่ – ถ้าเราขอความช่วยเหลือ 10 ครั้ง แสดงว่าวันนี้โอเค ถ้าวันนี้เราทำทุกอย่างเองคนเดียว แสดงว่าหายนะอาจมาเยือนในไม่ช้า

คำถามชุด A กับ B ต่างกันอย่างไร?

ชุดคำถาม A
– ของขวัญที่ดีที่สุดที่คุณเคยได้รับคืออะไร?
– ลองเล่าถึงสัตว์เลี้ยงตัวล่าสุดที่คุณมีให้ฟังหน่อย?
– ตอนมัธยมปลายเรียนที่ไหน มันเป็นยังไงบ้าง?
– นักแสดงที่คุณชื่นชอบมีใครบ้าง?

ชุดคำถาม B
– ถ้าคุณมีแก้ววิเศษที่ตอบคุณได้ทุกอย่าง คุณจะถามอะไร?
– มีอะไรที่อยากจะทำมานานแล้วยังไม่ได้ทำบ้างมั้ย? ทำไมถึงยังไม่ได้ทำ?
– อะไรคือความสำเร็จที่สำคัญที่สุดในชีวิตคุณ?
– คุณร้องเพลงให้ตัวเองฟังครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? แล้วร้องให้คนอื่นล่ะ?

คำถามสองชุดนี้ดูเผินๆ แล้วจะเหมือนกันคือเป็นคำถามที่ค่อนข้าง personal แต่จริงๆ แล้วคำถามชุด B นั้นตอบได้ยากกว่า เวลาคุณคิดจะตอบคำถามในชุด B หัวใจคุณอาจเต้นแรงขึ้น คุณอาจรู้สึกไม่แน่ใจ คุณอาจรู้สึกกังวลว่าจะเปิดเผยตัวตนของคุณมากเกินไป

คำถามชุด B จะสร้างความรู้สึกใกล้ชิดได้มากกว่าคำถามชุด A ถึง 24%

เรามักเชื่อว่าเราต้องสร้างความไว้วางใจก่อนเราถึงจะกล้าทำอะไรเสี่ยงๆ ได้ แต่ในบางทีการได้ทำอะไรเสี่ยงๆ ร่วมกันกันก่อนก็สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจเช่นกัน

คำพูดที่สำคัญที่สุดที่ผู้นำจะพูดกับลูกน้องได้คือ “เรื่องนี้พี่พลาดเอง” (I screwed that up)

คนมักจะคิดว่าความกล้าหาญคือการถือปืนเดินเข้าหาข้าศึก แต่ความกล้าหาญที่แท้คือการมองเห็นความจริงและการพูดความจริงต่อกัน

ความรู้สึกใกล้ชิดกันนั้นมักจะเกิดแบบทันทีทันใด มันจะมี moment หนึ่งที่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าได้ยินและเข้าใจซึ่งกันและกัน และความสัมพันธ์หลังจากนั้นก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เวลาคุณถามอะไรไป คำตอบแรกที่ได้มักจะไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง คุณต้องฝึกที่จะหัดถามคำถามเดิมด้วยรูปประโยคที่ต่างออกไปหลายๆ รอบเพื่อเข้าใจว่าคนที่คุณคุยด้วยกำลังคิดอะไรอยู่

ก่อนเริ่มโปรเจค ควรจะให้ทีมตอบคำถามต่อไปนี้
1. อะไรคือผลลัพธ์ที่เรามุ่งหวัง?
2. อะไรคืออุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้
3. เราได้เรียนรู้อะไรจากโปรเจคที่คล้ายๆ กันมาแล้วบ้าง
4. อะไรที่จะทำให้เราทำสำเร็จในโปรเจคนี้

หลังจากจบโปรเจคแล้ว ควรจะถามคำถามต่อไปนี้
1. อะไรคือสิ่งที่เราหวังจะให้เกิด
2. สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คืออะไร
3. อะไรคือสาเหตุของผลลัพธ์เหล่านั้น
4. ครั้งหน้า อะไรคือสิ่งที่เราจะทำเหมือนเดิม
5. ครั้งหน้า อะไรคือสิ่งที่เราจะทำต่างออกไป

—–

Establish Purpose

แบบฝึกหัดที่เรียกว่า Mental Contrasting จะทำให้เรามีความเพียรพยายามมากขึ้นถึง 60% ในการบรรลุเป้าหมาย โดยมีสองขั้นตอนเท่านั้นคือ

1. คิดถึงเป้าหมายที่เป็นไปได้ และจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเราบรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว

2. จินตนาการถึงอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นระหว่างทาง เช่นถ้าเราตั้งเป้าจะลดน้ำหนัก ให้คิดถึงสถานการณ์ที่เราได้กลิ่นคุกกี้และอดใจไม่ไหวจนหยิบขึ้นมากิน

Adam Grant เคยทำการทดลองกับ Call Center ของ University of Pennsylvania ที่ต้องโทร.ไปหาศิษย์เก่าเพื่อขอรับบริจาคทุนการศึกษา ตอนแรก call center นี้มี performance ต่ำมาก แต่พออดัมเอาจดหมายจากหนึ่งในนักเรียนทุนให้คนใน call center อ่าน ยอดการบริจาคก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ขั้นต่อมา อดัมเลยพานักศึกษาที่ได้รับทุนมาพบกับพนักงาน call center แบบเห็นหน้า การพูดคุยใช้เวลาเพียง 5 นาทีเพื่อให้นักศึกษาได้บอกว่าเขามาจากไหน และทุนการศึกษานั้นสร้างความแตกต่างอย่างไรบ้าง ปรากฎว่าเดือนถัดมาจำนวนการโทร.หาศิษย์เก่าเพิ่มขึ้น 142% และยอดบริจาครายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 172%

—–

ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ The Culture Code: The Secrets of Highly Successful Groups 

Book Insights – The Concise Mastery

20191013_mastery

เกมที่เราควรเล่นคือหา niche (ตลาดจำเพาะ) ที่เราสามารถ dominate ได้ โดยเราอาจจะเริ่มจากสายงานที่เราถนัดก่อน แล้วค่อยๆ ขยับเข้าสู่สายงานที่แคบลงเรื่อยๆ จนไปเจอ niche ที่ยังไม่มีใครครอบครอง ซึ่ง niche นี้จะสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเราที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้

เวลาเลือกงาน ให้เลือกงานที่จะให้โอกาสเราได้เรียนรู้มากที่สุด ความรู้ที่ practical คือสินทรัพย์ที่จะปันผลให้เราอย่างงามไปอีกหลายสิบปี

ถ้าเราเลือกงานโดยดูว่าใครจ่ายหนักสุด สุดท้ายเราจะโฟกัสผิดจุด เพราะรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา เราจะมัวกังวลว่าคนอื่นจะมองเรายังไง เราต้องเอาอกเอาใจใครบ้าง ฯลฯ

เวลาฝึกฝน เราต้องพาตัวเองเข้าสู่ the cycle of accelerated returns ให้ได้ เพราะเมื่อเข้าสู่วงจรนี้เราจะสนุกไปกับการฝึกฝนจนทำให้เราฝึกได้ยาวนานขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เราพัฒนาในอัตราเร่งขึ้นอีก ซึ่งกว่าจะเข้าสู่วงจรนี้ได้ เราต้องกัดฟันเพื่อผ่านช่วงแรกที่ยากลำบากที่เราไม่เก่ง-ไม่ชอบไปให้ได้ก่อน

คนเราเมื่อพัฒนามาถึงจุดนึงแล้วก็จะตัน เพราะเรามักจะฝึกฝนด้วยวิธีเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ทำให้เราไม่เก่งขึ้นเสียที ถ้าเราอยากจะก้าวข้ามจุดนี้ไปให้ได้ เราต้องทำ Resistance Practice ซึ่งก็คือการ “ฝืนธรรมชาติ” ฝืนที่จะไม่ผ่อนปรนกับตัวเอง ต้องเป็นนักวิจารณ์ที่เข้มงวดผับผลงานที่เราผลิตออกมา ต้องมองให้ออกว่าอะไรที่เรายังอ่อนอยู่และขยี้ไปตรงจุดนั้น

ถ้าต้องการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต เราต้องมีความรู้ที่ “กลมกล่อม” อันเกิดจากส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างศาสตร์และศิลป์ เมื่อ 500 ปีที่แล้ว วิทยาศาสตร์กับศิลปะถูกแยกขาดออกจากกัน แต่จริงๆ แล้วเมื่อสองสิ่งนี้อยู่ร่วมกันมันจะสร้างสิ่งอัศจรรย์ได้ นี่คือเหตุผลที่ทำไมงานของดาวินชีถึงยังอมตะเหนือกาลเวลา

เราควรจะเรียนรู้ทักษะให้หลากหลายมากที่สุด หากเรารู้แค่ไม่กี่เรื่องและเดินตาม career path อย่างตายตัวและเคร่งครัด สุดท้ายพออายุ 40 กว่าเราจะติดหล่มในอาชีพใดอาชีพหนึ่งโดยไม่สามารถย้ายงานไปทำอย่างอื่นได้ แต่ถ้าเรียนรู้ทักษะให้หลากหลายเข้าไว้ โอกาสจะยังมีเข้ามาไม่ขาดสาย

เหตุผลที่เราควรมี mentor เพราะว่าชีวิตเรานั้นสั้นเกินกว่าจะที่เรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูก การเรียนรู้ผ่านตัวหนังสือนั้นก็ไม่ efficient พอเพราะเนื้อหาในหนังสือไม่ได้ customized สำหรับตัวเรา การได้ mentor ที่เปี่ยประสบการณ์และมองขาดว่าเรายังต้องปรับปรุงเรื่องอะไรจะทำให้เราพัฒนาได้ในอัตราเร่ง

คนที่เป็น Masters ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาเรื่องงานและข้อมูลที่ถาโถมพวกเขา หากเราสามารถแบ่งเบาภาระเหล่านี้ให้เขาได้ เราก็มีโอกาสที่เขาจะเมตตาเรามากกว่าลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่ไปขอฝากตัวด้วย

คนที่เพิ่งรู้จักกับเราได้ไม่นานแต่เอ่ยปากชมเราเกินเหตุมีแนวโน้มที่จะริษยาเราอยู่ลึกๆ และกำลังหาโอกาสเข้าใกล้เพื่อทำร้ายเรา

บางทีเราก็ต้องทำตัวลึกลับ บางทีเราก็ต้องตรงไปตรงมา อย่าวางตัวให้คนอื่นๆ เดาทางเราออกง่ายเกินไป

Masters จะต้องมี Original Mind หรือการมองอะไรเหมือนกับเห็นเป็นครั้งแรกราวกับเด็กๆ

ด้วยความรู้ที่ลึกซึ้งและจิตใจที่เปิดกว้าง ทำให้ Masters จึงมี creativity สูงมาก

วิธีที่จะได้ไอเดียสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดคือค่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ ค้นคว้าให้เยอะและอย่ารีบร้อน แม้มันดูต้องลงแรงและเวลามหาศาลแต่วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมองย้อนกลับมา เราจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหรอก

การเรียนรู้ที่ดีคือการเอามันไปประยุกต์ใช้จริงๆ เปลี่ยนความรู้ของคนอื่นมาเป็นความรู้ของเราด้วยการมองให้เห็นความเชื่อมโยงของความรู้หลายแขนงและอนุมานกฎหรือสูตรที่อยู่เบื้องหลังชุดความรู้เหล่านั้นให้ได้

ไม่มีช่วงเวลาใดที่สูญเปล่าถ้าเราใส่ใจกับทุกบทเรียนที่ติดมากับทุกประสบการณ์

อย่าลืมฝึกฝน memory เราด้วย งานที่เราเคยต้องใช้ความจำอย่างเบอร์โทรศัพท์ การคำนวณอย่างง่ายๆ หรือการจดจำเส้นถูกเทคโนโลยีทำแทนให้หมแล้ว หากเราไม่ใช้กล้ามเนื้อสมองส่วนความจำนี้บ้างมันก็จะฝ่อไม่ต่างจากกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ

เราต้องหัดสังเกตสิ่งแวดล้อม ไม่ต่างอะไรกับสมัยบรรพบุรุษเรายังอยู่ในทุ่งสะวันนาในแอฟริกา ในที่ทำงานเราต้องหัดเป็นคนช่างสังเกต ทุกสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงคือสัญลักษณ์ให้เราถอดรหัสและตีความ ยิ่งเราสามารถเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเราได้มากเท่าไหร่ เรายิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น

—–

ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ The Concise Mastery by Robert Greene 

(Book Insights ไม่ใช่ Book Summary และไม่ใช่ Book Review ดังนั้นจึงจะไม่พยายามพูดถึงหนังสือทั้งเล่ม และจะไม่วิจารณ์ด้วยว่าดีไม่ดี หรือผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร สิ่งที่ Book Insights จะทำคือการดึงเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ขึ้นมาพูดเป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับเนื้อหาแบบลัดสั้นที่สุดครับ)