สมมติว่าพนักงานสตาร์บัคส์ไม่ได้เขียนชื่อเราบนแก้วกาแฟ แต่เขียนไว้ว่าอย่างนี้
“วันหนึ่งคุณและทุกคนที่คุณรักก็จะตาย และนอกเหนือจากคนจำนวนเพียงน้อยนิดในเวลาอันแสนสั้น สิ่งที่คุณพูดหรือทำแทบจะไม่มีความหมายใดๆ นี่คือความจริงที่ยากจะยอมรับ (Uncomfortable Truth) และทุกสิ่งที่คุณคิดหรือทำก็เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้
เราเป็นแค่เพียงละอองฝุ่นในจักรวาลที่สาละวนกันอยู่บนจุดน้ำเงินจุดเล็กๆ นี้ เราจินตนาการไปเองว่าเรานั้นมีความสำคัญ เราคิดไปเองว่าเรามีความหมาย จริงๆ แล้วเราเป็นได้แค่ nothing
ดื่มกาแฟ %!$ ให้อร่อยนะ (Enjoy your fucking coffee)”
—–
สิ่งที่ตรงข้ามกับความสุขไม่ใช่ความทุกข์หรือความโกรธ เพราะถ้าเราโกรธแสดงว่าเรายังมีหวังอยู่ สิ่งที่ตรงข้ามกับความสุขคือความสิ้นหวัง (hopelessness) และนี่เป็นบ่อเกิดของการป่วยทางจิตแทบทุกโรค
—–
เราอยู่ในช่วงเวลาที่มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เรากลับรู้สึกสิ้นหวังกว่าที่เคย ยิ่งอะไรๆ ดีขึ้นเท่าไหร่เรายิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น นี่คือปริศนาแห่งความเจริญ (paradox of progress) ยิ่งประเทศไหนมั่งคั่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่คนในประเทศนั้นจะฆ่าตัวตายยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
—–
The Classic Assumption สมมติฐานคลาสสิคของเราก็คือ ถ้าคนๆ หนึ่งไม่มีวินัยหรือเป็นคนใช้ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือจิตใจไม่เข้มแข็งพอ
แต่ความเป็นจริงก็คือเราต้องใช้มากกว่า willpower ในการควบคุมตัวเอง จริงๆ แล้วอารมณ์เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจและในการกระทำเพียงแต่เรามักไม่รู้ตัว
—–
เรามีสมองอยู่สองส่วนคือ Thinking Brain และ Feeling Brain เรามักจะคิดว่า Thinking Brain ของเราเป็นใหญ่ เป็นคนขับรถชีวิตคันนี้ แต่จริงๆ แล้วคนขับรถคือ Feeling Brain ต่างหาก เพราะทุกการกระทำของเราถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยเหตุผล
หลายครั้งที่รู้ทั้งรู้ว่านี่คือสิ่งที่เราควรทำ แต่เราก็ไม่ทำ เพราะ I don’t feel like it. (Feeling Brain เป็นตัวนำ)
Feeling Brain นั้นแข็งแรงกว่า Thinking Brain หลายสิบเท่า บางครั้ง Thinking Brain เลยมักจะเออออห่อหมกตาม Feeling Brain เช่นเรากำลังลดน้ำหนักแต่เกิดอยากกินไอติมขึ้นมา Feeling Brain ตัดสินใจแล้วว่ากูจะกินไอติมแท่งนี้ Thinking Brain สู้ไม่ไหวเลยพยายามเข้าข้างตัวเองว่า “เออ วันนี้ฉันทำงานหนักมาทั้งวันแล้วนะ ดังนั้นต้องให้รางวัลตัวเองหน่อย”
Feeling Brain ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าต้องทำอะไร และยิ่ง Thinking Brain จะใช้เหตุผลกับ Feeling Brain ยิ่งเป็นไปไม่ได้ การโน้มน้าวด้วยข้อมูลนั้นไม่ได้ช่วยอะไร
วิธีที่จะโน้มน้าว Feeling Brain ได้คือการโน้มน้าวด้วยอารมณ์ ถ้าอยากออกกำลังกาย ก็ต้องทำให้มันนึกถึงหุ่นดีๆ ที่จะได้มา หรือความรู้สึกเซ็กซี่ตอนใส่ชุดว่ายน้ำลงทะเล รวมถึงความชื่นชมจากคนรอบข้าง
Thinking Brain จะคิดแนวราบ ว่าอะไรเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ส่วน Feeling Brain จะคิดแนวดิ่งว่าอะไรดีกว่ากัน
—–
วิธีเดียวที่จะเปลี่ยนคุณค่าที่เรายึดถือ (values) ได้คือต้องเจอประสบการณ์ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เรายึดมั่น และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเปลี่ยนความเชื่อ เราก็ต้องพานพบกับความเจ็บปวดเสมอ ไม่มีการเติบโตใดที่ไม่เจ็บปวด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่ไม่ลำบาก
เหตุผลที่โลกนี้ต้องมีศาสนาเพราะสมัยก่อนตอนที่เทคโนโลยีไม่ก้าวหน้า การพัฒนาไม่มี ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้นถ้าคุณเกิดมาจน คุณก็ไม่มีความหวังว่าชีวิตคุณจะดีขึ้น ถ้าคุณเกิดมาเป็นทาส คุณก็จะเป็นทาสไปตลอดชีวิต ศาสนามอบความหวังด้วยการสัญญาว่า ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า ชีวิตหลังความตายของคุณจะดีกว่าชีวิตนี้
นิทเช่บอกว่าคนเราจะยิ่งใหญ่ได้ ต้องมองไปไกลกว่าความหวัง ไกลกว่าดีหรือชั่ว แต่จง amor fati ซึ่งแปลว่า love one’s fate เจออะไรมาก็จงรับมันไว้ด้วยความปรีดา
—-
Child -> Pleasures
“เด็กเล็ก” จะวิ่งเข้าหาความสุขโดยไม่สนใจอย่างอื่น ไม่สนใจสายตาใคร
Adolescents -> Principles -> Pleasures
“เด็กวัยรุ่น” จะเริ่มคิดถึงหลักการที่จะนำไปสู่ความสุข เช่นถ้าใส่แว่นนี้จะดูเท่รึเปล่า ถ้าฟังเพลงนี้จะอินเทรนด์รึเปล่า
ทั้งเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี เพียงแต่วัยรุ่นมีความเนียนกว่าหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังมุ่งหาความสุขหรือ pleasures ไม่ต่างกัน
Adult -> Principles
“ผู้ใหญ่ (ที่แท้จริง)” จะยึดมั่นในหลักการ โดยไม่สนใจว่ามันจะนำไปสู่ความสุขหรือไม่
Emmanuel Kant บอกว่าสิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากทุกสิ่งในจักรวาลนี้ก็คือ “Consciousness” หรือความรู้สึกตัว เราเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่คิดอย่างมีเหตุมีผลและใช้ชีวิตอย่างมีสติได้
—–
Hope หรือความหวังนั้นมันมีจุดอ่อนตรงที่มันยังเป็นการ “แลกเปลี่ยน” (transactional) อยู่ เช่นไม่กินสิ่งนี้ แล้วคุณจะได้ไปสวรรค์ อย่าฆ่าคนๆ นี้ ไม่อย่างนั้นคุณจะตกนรก ทำงานหนักและอดออม คุณจะได้มีความสุข
แต่ถ้าอยากจะก้าวข้าม Hope ไป เราต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีข้อแม้ (act unconditionally) รักโดยไม่หวังให้เขารักตอบ เคารพเขาโดยไม่หวังให้เขาต้องเคารพเรา เป็นคนซื่อสัตย์แม้จะไม่มีใครชื่นชม หากเรายังแอบหวังผลตอบแทน นั่นก็แปลว่าเรายังไม่ได้รักเขาจริงๆ ไม่ได้เคารพเขาจริงๆ ไม่ได้มีความซื่อสัตย์อย่างแท้จริง
Humanity (มนุษยธรรม) คือเป้าหมายในตัวมันเอง ไม่ใช่ช่องทางที่นำพาเราไปสู่เป้าหมาย (use humanity as an end in and of itself, not as a means to an end)
วิธีเดียวที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้คือการทำตัวเองให้ดีขึ้น
—–
จากงานวิจัยหลายสิบปี ไม่ว่ากลุ่มตัวอย่างจะรวยจนแค่ไหนหรือเคยผ่านประสบการณ์ดีหรือร้ายอะไรมา ความสุขเฉลี่ยของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 7 เต็ม 10 เสมอ แล้วเราก็จะมีภาพในจินตนาการว่า “10” มีหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งคะแนนสิบเต็มในจินตนาการนี่แหละที่มันนำพาให้เราต้องดิ้นรนอยู่ไม่สุขอยู่ร่ำไป
เรารู้จักสูตร E = mc^2 โดย c คือความเร็วแสงซึ่งไอน์สไตน์บอกว่ามันเป็น universal constant ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนได้คือ space-time
เราคิดว่า “ตัวเรา” คือ “ค่าคงที่สากล” (universal constant) เช่นกัน เราวันนี้ก็คือเราคนเดิมในเมื่อวานและจะเป็นเราคนเดิมในวันพรุ่งนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา
แต่ในความเป็นจริงก็คือ “ตัวเรา” ไม่ใช่ universal constant สิ่งเดียวที่เป็น universal constant คือ pain หรือ ทุกข์ แล้วเราเองต่างหากที่ปรับตัวไปเรื่อยๆ เพื่อให้รับมือกับทุกข์ระดับต่างๆ ได้ (ความสุขของเราจึงอยู่ที่ประมาณ 7/10 เสมอ)
เนื่องจาก pain เป็นค่าคงที่สากล เราจึงไม่มีทางหลุดพ้นจากมันได้ การทำอะไรก็แล้วแต่เพื่อจะหลีกหนีความทุกข์จึงไร้ประโยชน์และมีแต่จะทำให้ปัญหาแย่ลง
The pursuit of happiness หรือการตามหาความสุขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของอเมริกานั้นจะพาเราไปผิดทาง การมีชีวิตที่ดีไม่ใช่การหลบหลีกความทุกข์ ชีวิตที่ดีคือการยอมทนทุกข์ด้วยเหตุผลที่เราเลือกแล้ว (Living well doesn’t mean avoding suffering; it means suffering for the right reasons)
เทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้เราเชื่อว่าคนเราควรจะทุกข์น้อยลงแต่จริงๆ แล้วความทุกข์ไม่เคยหายไปไหน มันแค่เป็นความทุกข์ที่พัฒนาแล้วเท่านั้นเอง (improvement of pain is not an elimination of pain) มันแค่แปรรูปจากความทุกข์ทางร่างกายมาเป็นความทุกข์ทางจิตใจเท่านั้นเอง
เราต้องไม่สับสนระหว่าง Freedom กับ Variety สมมติว่าไมค์มีช้อยส์ขนมปังให้เลือก 20 ช้อยส์ แต่เจนมีให้เลือกแค่ 2 ช้อยส์ ไมค์ไม่ได้มีอิสรภาพ (freedom) มากกว่าเจน เขาแค่มีความหลากหลายมากกว่าเจนเท่านั้น
อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้โดยแท้จริงผ่านการ self-elimination เท่านั้น เลือกว่าจะตัดอะไรออกไปในชีวิต
ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่บอกว่าจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นนั้น แท้จริงเป็นเพียง “Modern diversions” หรือการเบี่ยงเบนความสนใจ มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอแต่อย่างใด
—–
เมื่อถึงวันที่ AI สามารถเขียน AI ได้ดีกว่าที่เราเขียน วิถีชีวิตของเราอาจไม่ต่างกับยุคหลายพันปีก่อนที่มนุษย์บูชาและปฏิบัติตามพลังที่เราไม่อาจหยั่งถึงและไม่อาจต่อกรด้วยได้
สุดท้ายแล้ว AI อาจจะเป็น The Final Religion ที่นิทเช่เคยพูดถึง และเราไม่ควรตัดสิน AI ไปล่วงหน้า เพราะสิ่งแย่ๆ ที่เราคิดว่า AI จะทำนั้นล้วนแล้วแต่ขับมาจากความคิดความเชื่อของมนุษย์ที่ยังกิเลสหนาปัญญาด้อย ซึ่ง AI คงไม่ทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้น
คำแนะนำก็คือ อย่าหวัง – Don’t hope
แล้วก็อย่าสิ้นหวังด้วย – Don’t despair either
อย่าคิดว่าเรารู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะไอ้ความเชื่อที่เราว่าเรารู้แล้วนี่แหละที่ทำให้เรามีปัญหาอยู่ทุกวันนี้
อย่าหวังว่าอะไรจะดีขึ้น แค่เป็นคนที่ดีขึ้นก็พอ Don’t hope for better. Be better.
ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ Everything is F*cked – A Book about Hope by Mark Manson
(Book Insights ไม่ใช่ Book Summary และไม่ใช่ Book Review ดังนั้นจึงจะไม่พยายามพูดถึงหนังสือทั้งเล่ม และจะไม่วิจารณ์ด้วยว่าดีไม่ดี หรือผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร สิ่งที่ Book Insights จะทำคือการดึงเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ขึ้นมาพูดเป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับเนื้อหาแบบลัดสั้นที่สุดครับ)
“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมวางแผงคริสต์มาสนี้ อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ fb.com/anontawongblog/posts/1529356450556797