นิทานพระเงียบ

20170929_silentmonks

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

พระใหม่ 4 รูปตกลงกันว่าจะนั่งสมาธิโดยไม่พูดคุยกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์

คืนวันแรก เทียนเล่มเดียวถูกลมพัดจนดับไป

พระรูปแรกเอ่ย “แย่แล้ว เทียนดับ!”

พระรูปที่สองเอ่ย “ไหนว่าจะไม่คุยกันไง?”

พระรูปที่สามเอ่ย “ทำไมคุณสองคนต้องทำลายความเงียบด้วยเนี่ย?”

พระรูปที่สี่เอ่ย “ไม่ไหวๆ ผมเป็นคนเดียวเลยนะที่ไม่ได้พูด”

—–

ขอบคุณนิทานจาก Zen Stories: Sounds of Silence

คุณคือคนที่สำคัญที่สุดในครอบครัว

20170928_mostimportant

You are the most important part of the family. Take care of yourself first. Then you’ll be able to take care of everyone else even better.
-Deepak Chopra

ระหว่างดูแลตัวเองกับดูแลคนที่เรารัก มันไม่ง่ายเลยที่จะเลือกว่าจะทำอะไรก่อน

หลายคนอาจคิดว่าการดูแลตัวเองก่อนคือการเห็นแก่ตัว แต่จริงๆ แล้วมันอาจเป็นวิธีที่ยั่งยืนที่สุดก็ได้

ยิ่งมีคนพึ่งพาเรามากเท่าไหร่ เรายิ่งจำเป็นที่เราต้องดูแลตัวเองให้ดีมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าร่างกายเราไม่พร้อม ใจย่อมขุ่นมัวง่าย ต่อให้เจตนาดีแค่ไหนแต่พลังงานลบของเราก็ถูกปล่อยออกมาอยู่ดี

คนตาบอดนำทางไม่ได้ฉันใด คนเป็นทุกข์ก็ไม่อาจทำให้คนอื่นมีความสุขได้ฉันนั้นครับ

—–

เปิดรับสมัคร Time Management Workshop รอบบ่ายวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม (เหลือ 5 ที่นั่ง) ดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ https://goo.gl/Scii9o

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

เราควรตั้งเป้าหมายให้ต่ำเข้าไว้

20170927_smallgoals

จริงๆ ผมก็ไม่ได้ต่อต้านการตั้งเป้าหมายสูงๆ นะครับ

เพียงแต่อยากมานำเสนอทางเลือกสำหรับคนที่เคยตั้งเป้าหมายสูงแล้วแป้ก

ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

รูปประกอบของบทความนี้เป็นตารางที่เอาไว้จดว่าผมวิดพื้นไปกี่ทีแล้ว

สังเกตได้ว่ามันเป็นของเดือนกรกฎาคม และพื้นที่ถูกแรเงาไปแค่ 1 ใน 4

โดยผมตั้งเป้าหมายให้ “เร้าใจ” ด้วยการบอกว่าจะวิดพื้นให้ครบ 3000 ครั้งในหนึ่งเดือน ซึ่งถ้าคิดเฉลี่ยก็คือวันละ 100 ครั้ง

2-3 วันแรกก็ฟิตดีอยู่หรอก แต่พออุ้มลูกแล้วมีอาการไหล่ยอก ก็เลยต้องหยุดไปหลายวัน พอจะกลับมาวิดพื้นได้ใหม่ก็รู้สึกว่าเป้าหมายมันเริ่มไกลเกินเอื้อม หลังๆ เลยไม่ยอมดูตารางนี้และหยุดวิดพื้นไปเสียดื้อๆ (แต่ก็ยังแปะเอาไว้เป็นอนุสรณ์สำหรับอนาคต)

ผมว่าโลกธุรกิจนั้นเหมาะกับการตั้งเป้าหมายสูงๆ เพราะมันมีแรงขับดันมากพอจากทุกๆ ด้านที่บังคับให้เราต้องทำตามเป้าหมายนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่แข่ง หรือผลตอบแทนที่จะได้มาหากเราทำได้ตามเป้า

แต่ในชีวิตส่วนตัวแรงผลักดันมันไม่ได้มากขนาดนั้น ถ้าวันนี้ผมไม่วิดพื้น ก็ไม่โดนเจ้านายด่า ไม่โดนหักเงินเดือน และไม่ต้องแคร์ว่าใครจะวิดพื้นได้มากกว่าผม

พอไม่มีแรงผลักดันจากภายนอกมากพอ สิ่งเดียวที่หวังพึ่งได้คือแรงผลักดันจากภายใน ซึ่งบางคนก็มีล้นเหลือ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีแรงขับขนาดนั้น

สำหรับคนที่รู้ตัวว่าไม่ได้จัดอยู่ในประเภท “ฝันให้ไกลแล้วต้องไปให้ถึง” ก็อย่าเพิ่งไปโทษตัวเองว่ามีวินัยหรือยังไม่มีแรงบันดาลใจมากพอ

บล็อก Anontawong’s Musings มีคนอ่านไปแล้วกว่า 2 ล้านครั้ง

ถ้าตอนที่ผมเริ่มเขียนบล็อกเมื่อสองปีที่แล้ว ผมตั้ังเป้าว่าจะต้องทำให้บล็อกผมมีคนอ่าน 2 ล้านครั้งภายในปี 2560 ผมคงหยุดเขียนไปตั้งนานแล้ว เพราะช่วง 6 เดือนแรกมีคนอ่านแค่วันละไม่กี่สิบคนเท่านั้นเอง

เป้าหมายแรกของผมในวันที่ 2 มกราคม 2558 คือเขียนบล็อกติดต่อกันให้ได้ 3 วัน

พอเขียนครบ 3 วัน ก็ขยับเป้าเป็น 1 สัปดาห์

พอเขียนครบ 1 สัปดาห์ ก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น เลยบอกตัวเองว่าจะเขียนให้ครบ 1 เดือน

พอเขียนครบ 3 เดือนจึงมั่นใจมากพอจนประกาศออกไปว่าจะเขียนทุกวันต่อจากนี้ไป

ถ้าคุณเคยลองตั้งเป้าหมายสูงๆ แล้วแป้กมาแล้วหลายครั้ง ลองเปลี่ยนมาเป็นตั้งเป้าหมายต่ำๆ “สำหรับวันนี้” ดูนะครับ

แทนที่จะตั้งเป้าว่าจะวิดพื้นให้ได้ 3,000 ครั้งใน 1 เดือน ก็เปลี่ยนเป็นวันนี้จะวิดพื้นให้ได้ 10 ครั้ง

แทนที่จะตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนัก 3 กิโลในเดือนนี้ ก็สัญญากับตัวเองว่า วันนี้ฉันจะเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์

หรือแทนที่จะตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือเดือนละ 1 เล่ม ก็ตั้งเป้าว่าวันนี้ฉันจะอ่านหนังสือ 3 หน้า

เป้าหมาย 3 ปี 5 ปี คุณจะตั้งสูงเท่าไหร่ก็แล้วแต่คุณเลย

แต่เป้าหมายสำหรับวันนี้ คุณควรจะตั้งให้มันต่ำเข้าไว้ ต่ำเสียจนคุณไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ทำมัน

พอเป้ามันต่ำ เราก็มักจะทำได้เกินเป้าเสมอ ซึ่งตรงนี้แหละจะเป็นแรงผลักดันชั้นดีที่จะทำให้เราอยากทำมันอีกในวันพรุ่งนี้

เพราะผมเชื่อว่าในเกมชีวิตส่วนตัว ความเสมอต้นเสมอปลายนั้นสำคัญกว่าความร้อนแรง

และสำหรับบางคน “ช้าแต่ชัวร์” นั้นดีกว่า “เร็วแต่ล้ม” เสียกลางทางครับ


หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

เปิดรับสมัคร Time Management Workshop รอบบ่ายวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม (เหลือ 10 ที่นั่ง) ดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ https://goo.gl/Scii9o

ให้ความกลัวนั่งเบาะหลัง

20170926_backseat

เมื่อวานนี้ผมได้ฟังสัมภาษณ์ของ Elizabeth Gilbert ผู้เขียน Eat Pray Love และ Big Magic

เธอบอกว่ามีีผู้คนมากมายที่เข้ามาปรึกษาเธอเกี่ยวกับการทำงานสร้างสรรค์อย่างการเขียนนิยาย วาดรูป หรือแต่งกลอน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ทำ

และต่อให้แต่ละคนมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าอย่างไร พอขุดลงไปลึกๆ จริงๆ ก็จะเหลืออยู่เหตุผลเดียวเสมอ คือพวกเขากำลังกลัวอยู่

กลัวว่าไม่มีพรสวรรค์ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ กลัวว่าจะมีคนทำไปแล้ว กลัวว่าผลงานจะถูกเกลียด และที่แย่ไปกว่านั้นคือกลัวว่าจะไม่มีคนสนใจ

แล้วคนที่มาหากิลเบิร์ตก็ถามว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่กลัว

กิลเบิร์ตบอกว่าในโลกนี้คนที่ไม่กลัวอะไรเลยมีแค่เด็กทารกกับคนป่วยทางจิตเท่านั้น

จริงๆ แล้วความกลัวเป็นสิิ่งที่จำเป็นมาก เพราะถ้าไม่มีมันเราคงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้

“ขับรถเร็วไปแล้วนะ”

“ซอยนี้มันเปลี่ยวไปหน่อย”

“ตอนนี้คลื่นเริ่มแรงแล้ว เดินเข้าฝั่งหน่อยดีกว่า”

ความกลัวจะคอยเตือนเราเสมอเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย เราจึงควรมองความกลัวในใจเราเป็นเพื่อน

ข้อเสียของความกลัวคือมันแยกแยะไม่ค่อยออกระหว่างสถานการณ์ที่อันตรายจริงๆ กับสถานการณ์ที่ทำให้เรากังวล

ทุกครั้งที่เราทำงานสร้างสรรค์ เราจะมีความกังวล เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะออกมาดีหรือไม่ เมื่อกังวลก็เลยกลัว เมื่อกลัวก็เลยไม่กล้าลงมือทำ

กิลเบิร์ตมีวิธีคุยกับความกลัวอย่างเป็นมิตร:

“Thank you so much for how much you care about me and how much you don’t want anything bad to happen to me, and I really appreciate that. Your services are probably not needed here because I’m just writing a poem. No one’s gonna die, it’s ok.”

“ขอบคุณนะที่ใส่ใจฉันและไม่อยากให้ฉันเจออะไรไม่ดี แต่ตอนนี้เธอยังไม่จำเป็นต้องออกโรงก็ได้เพราะฉันแค่จะแต่งกลอนเท่านั้นเอง ไม่มีใครตายหรอก”

เราจึงไม่ต้องเอาชนะหรือต่อสู้กับความกลัว แต่มองมันเป็นเพื่อนที่คอยห่วงใยเรา

เปรียบเสมือนตอนเราขับรถ เราอาจให้เพื่อนที่ชื่อว่าความกลัวขึ้นรถมากับเราได้ แต่เราต้องเป็นคนขับ และให้ความกลัวนั่งเบาะหลัง

จะได้ออกเดินทางกันซักที

—–

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ bit.ly/tgimorder ครับ

อธิบายกฎแรงดึงดูด

20170925_lawofattraction

เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว มีหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่งที่ดังมาก

หนังสือเล่มนั้นชื่อ The Secret ที่เขียนโดยรอนดา เบิร์น (Rhonda Byrne)

เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้ว่าด้วยกฎแรงดึงดูด – Law of Attraction

กฎนี้บอกง่ายๆ ว่าให้คิดถึงสิ่งดีๆ แล้วจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาหาเอง

เช่นขับรถเข้าไปในห้างใหญ่ แล้วจินตนาการว่าจะมีที่จอดรถว่าง เดี๋ยวก็จะเจอที่จอดรถว่างจริงๆ

หรือให้คิดถึงความมั่งคั่งร่ำรวยเข้าไว้ แล้วจักรวาลจะนำพาความมั่งคั่งนั้นมาให้

มีคนไม่น้อยที่มองว่ากฎแรงดึงดูดเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะถ้าเอาแต่คิดว่าจะมีเงินล้านแต่ไม่ลงมือทำ มันจะไปมีเงินล้านได้อย่างไร

วันนี้เลยอยากจะมานำเสนอกฎแรงดึงดูดในอีกมุมหนึ่งครับ

—–

ในหนังสือ Thinking, Fast and Slow ของเจ้าของรางวัลโนเบล Daniel Kahneman บอกว่าคนเรานั้นมีระบบการคิดอยู่สองแบบ

ระบบที่ 1 (System 1) คือความคิดที่รวดเร็ว ใช้อารมณ์และสัญชาติญาณ

ระบบที่ 2 (System 2) คือความคิดที่ช้ากว่า ใช้ตรรกะและความรอบคอบ

ผมขอเรียกระบบแรกว่าระบบอัตโนมัติ (automatic) และระบบที่สองว่าระบบตั้งใจ (deliberate)

“ระบบตั้งใจ” นั้นจะถูกใช้งานเมื่อจำเป็น เช่นการคิดคำนวณและการวิเคราะห์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงาน แต่ระบบนี้เชื่องช้าและมีขีดจำกัด สังเกตง่ายๆ ว่าตอนค่ำๆ หลังจากทำงานมาทั้งวัน สมองของเราเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล เราจึงนอนไถเฟซบุ๊คอยู่ได้เป็นชั่วโมงทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่ามันไม่ดี

ส่วน “ระบบอัตโนมัติ” นั้นรวดเร็วกว่าและทำงานได้ทั้งวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้ชีวิต เช่นการอาบน้ำแต่งตัว ขับรถไปทำงานและอะไรก็ตามที่เป็นกิจวัตร รวมถึงการตัดสินใจอะไรไวๆ เช่นเจอหน้าคนนี้แล้วเราไม่ถูกชะตา หรือการที่นิ้วโป้งเราหยุดชะงักเมื่อไถฟีดไปเจอเรื่องที่เราสนใจ พูดรวมๆ ก็คือมันเอื้อให้เราทำสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องคิดนั่นเอง

ในแต่ละวันข้อมูลปริมาณมหาศาลจะประเดประดังเข้ามาผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยระบบอัตโนมัติจะรับเอาไว้เองเกือบทั้งหมด ระบบอัตโนมัติจึงทำหน้าที่เป็น “ตัวกรอง” เพื่อให้เหลือข้อมูลเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะหลุดรอดเข้าไปถึง “ระบบตั้งใจ” ซึ่งก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะระบบตั้งใจนั้นทำงานได้ช้าและเหนื่อยง่ายกว่าระบบอัตโนมัติมาก

นั่นคือเหตุผลที่เราสามารถมองเห็นหน้าคนนับร้อยในฝูงชนโดยไม่คิดอะไรจนกว่าจะเจอหน้าคนที่เรารู้จัก

—–

ตั้งแต่เริ่มทำงานมา ผมขับรถอยู่สองยี่ห้อเท่านั้นคือโตโยต้าและนิสสัน และผมก็คิดมาตลอดว่ารถสองยี่ห้อนี้คือรถที่มีจำนวนมากที่สุดในท้องถนนกรุงเทพ

แต่พอวันนึงแฟนอยากจะซื้อรถฮอนด้า จู่ๆ ผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่าท้องถนนมีรถฮอนด้ามากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย

ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาผมก็คงเห็นรถฮอนด้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ฮอนด้าที่ผมเห็นมันถูกกรองด้วยระบบอัตโนมัติออกไปเกือบหมด ผมเลยไม่มีภาพจำอยู่เลยว่าจริงๆ แล้วรถฮอนด้านั้นอาจมีมากกว่านิสสันหรือโตโยต้าซะอีก

สมัยเรียนประถม เวลาผมฟังเพลงผมก็จะได้ยินแต่ “เสียงนักร้อง” และ “เสียงดนตรี”

แต่พอเริ่มเล่นดนตรีตอนชั้นมัธยม ผมก็ฟังเพลงได้ละเอียดกว่าเดิม เริ่มได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินอย่าง “เสียงเบส” “เสียงประสาน” หรือเสียงแบ็คกราวด์ที่ทำให้ดนตรีแน่นขึ้น

เมื่อเราใส่ใจกับสิ่งใด เราจะเห็นสิ่งนั้นและได้ยินสิ่งนั้นมากขึ้น เพราะข้อมูลเหล่านั้นจะไม่ถูกคัดออกโดย “ระบบอัตโนมัติ” อีกต่อไป

และนี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีสำหรับกฎแรงดึงดูดครับ

หากเราคาดหวังที่จะเจอสิ่งดีๆ ในวันนี้ เราก็จะมองหาแต่สิ่งดีๆ และเมื่อเรามองหามัน มันก็จะถูกส่งมายัง “ระบบตั้งใจ” โดยที่ไม่ถูกคัดทิ้งโดย “ระบบอัตโนมัติ” ไปเสียก่อน

หากเราอารมณ์ดี เราก็จะคาดหวังให้คนอื่นอารมณ์ดีด้วย เราจึงยิ้มง่าย คนอื่นจึงยิ้มตอบ ซึ่งมันก็ทำให้เราเชื่อมั่นเข้าไปอีกว่าวันนี้จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น

แต่ในวันที่เราอารมณ์ไม่ดี คิดว่าวันนี้เจอแต่เรื่องแย่ๆ พอสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ระบบอัตโนมัติก็จะกรองสิ่งนั้นออกไปจนเรามองไม่เห็น แต่พอมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นเพียงหน่อยเดียวเราก็จะมองเห็นมันทันทีและคิดในใจว่า “นั่นไง เอาอีกแล้ว วันนี้วันซวยจริงๆ”

นั่นคือเหตุผลที่เวลาเรามีอคติกับใคร เราจะจับผิดเค้าได้ตลอดเวลา ในขณะที่เวลาเรารักเราหลงใคร ต่อให้เค้ามีสัญญาณไม่ดีอย่างไรเรากลับไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่เพื่อนทุกคนก็เตือนแล้วเตือนอีก

ดังนั้นเราอาจมองกฎแรงดึงดูดว่าเป็นการ “สับสวิทช์ตัวกรองข้อมูล”

จริงๆ ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นตามครรลองของมันนั่นแหละ

แต่เมื่อเราคาดหวังสิ่งดีๆ เราก็จะ “มอง” และ “เห็น” สิ่งดีๆ มากขึ้นเท่านั้นเอง

คนที่จดจ่อเรื่องช่องทางธุรกิจ จึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจตลอดเวลา ในขณะที่คนที่สนใจเรื่องใต้เตียงดารา ก็จะได้รับข่าวเมาธ์ดาราตลอดวันเช่นกัน ยิ่งเดี๋ยวนี้ Facebook มันมีกลไกที่ดึงแต่เรื่องที่เราสนใจขึ้นมาให้ดูเสียด้วย

ก็แล้วแต่เราแล้วล่ะครับว่าจะใช้กฎแรงดึงดูดให้เป็นคุณหรือเป็นโทษกับตัวเอง

——

หนังสือ “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” เริ่มขาดตลาดแล้ว หากหาซื้อไม่ได้ สามารถสั่งออนไลน์กับผม (พร้อมลายเซ็น) ได้ที่ whatisitpress.com ครับ

BookAdvertise