นิทานเมฆกับท้องฟ้า

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

นักแสวงหาคนหนึ่งมาพบกับผู้ทรงปัญญาซูฟีที่มีนามว่า “บายาซิด” และพูดว่า

“อาจารย์ครับ ผมเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ เวลาที่โกรธมักจะทำสิ่งที่เลวร้ายโดยไม่รู้ตัว ผมแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ผมทำลงไปเลย ผมจะทิ้งความโกรธนี้ได้อย่างไร จะเอาชนะมันได้อย่างไร จะควบคุมมันได้อย่างไรครับ?”

บายาซิดใช้มือจับหัวผู้ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ มองเข้าไปในตาเขา ผู้ที่เป็นศิษย์รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แล้วบายาซิดก็พูดว่า

“ความโกรธนั้นอยู่ที่ไหน? ข้าต้องการจะเห็นมัน”

ศิษย์หัวเราะอย่างเฝื่อนๆ พร้อมกับพูดว่า

“ตอนนี้ผมไม่ได้โกรธ มันเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้นครับ”

บายาซิดจึงพูดต่อไปว่า

“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวย่อมไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของเจ้า มันเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว มันมาแล้วก็จากไป มันเหมือนกับก้อนเมฆ ดังนั้นจะไปกังวลกับก้อนเมฆทำไม ? จงคิดถึงแต่ท้องฟ้าเพราะว่ามันอยู่ตรงนั้นเสมอ”


ขอบคุณนิทานจาก OSHO: หนังสือ เชาวน์ปัญญา (Intelligence) ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด แปลและเรียบเรียง

ติดตาม Anontawong’s Musings ได้ทาง

Blog: https://anontawong.com (subscribe เพื่อรับบทความทางอีเมลได้)
Facebook: facebook.com/anontawongblog
Blockdit: blockdit.com/anontawong
LINE: http://bit.ly/LINEanontawong
Twitter: twitter.com/anontawong
Instagram: instagram.com/anontawong

ศัตรูที่น่ากลัวคือเสียงในหัวของเราเอง

“ขอนอนต่ออีก 5 นาที”

“เล่นมือถือซักหน่อยดีกว่า”

“ซื้อเลย ของมันต้องมี”

“ทำแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง”

“ขอครั้งนี้อีกครั้งเดียว”

“ไม่เป็นไรมั้ง ใครๆ เขาก็ทำกัน”

“มึงทำไม่ได้หรอก”

“พยายามไปก็เท่านั้น”

“เค้าไม่ได้แคร์เราหรอก”

อุปสรรคหนักหนาแค่ไหนก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอุปสรรคที่เราสร้างขึ้นมา

ศัตรูที่น่ากลัวคือเสียงในหัวของเราเอง

คนที่ล้มเหลว คนที่คิดสั้นทั้งหลาย ก็เพราะพ่ายแพ้เสียงนี้

ถ้าจัดการมันได้ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไปแล้วครับ

งานที่ไม่มีใครมองเห็น

ใครเคยวิ่งมาราธอนมาก่อนจะเข้าใจความรู้สึกนี้

ระยะทาง 42.195 กิโลเมตรนั้นเท่ากับการวิ่งจากดาวคะนองไปรังสิต

เป็นระยะทางที่ไกลมาก มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะวิ่งไกลระดับนั้น

แต่จริงๆ แล้วก่อนจะถึงวันแข่ง ต้องซ้อมวิ่งกันอย่างน้อย 20 สัปดาห์ แค่ซ้อมสัปดาห์ละ 4 ครั้ง ครั้งหนึ่งวิ่งเฉลี่ย 10 กิโลเมตร แปลว่าเราต้องซ้อมวิ่งทั้งหมด 800 กิโลเมตร

ซ้อม 800 กิโลเมตรเพียงเพื่อที่จะได้มายืน ณ จุดสตาร์ทในวันแข่งมาราธอน

42.195 กิโลเมตรคืองานที่ทุกคนมองเห็น ส่วน 800 กิโลเมตรคืองานที่ไม่มีใครมองเห็น

Invisible work นั้นมีอยู่ทุกที่ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

กว่าโรนัลโดหรือเมสซีจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกได้ พวกเขาต้องซ้อมหนักแค่ไหน ซ้อมโดยไม่มีใครดู ยิงประตูโดยไม่มีใครปรบมือ

กว่าเพจดังๆ จะมีคนติดตามขนาดนี้ได้ เขาต้องขลุกอยู่หน้าจอคนเดียวกลางดึกไปไม่รู้กี่พันชั่วโมง

กว่าธุรกิจหนึ่งจะประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียง อาจต้องดิ้นรนและไม่มีใครสนใจเป็นเวลาหลายปี

สิ่งที่เราเห็นกันมันเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่อยู่ใต้น้ำนั้นใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า

ถ้าอยากจะไปจุดที่น้อยคนนักจะไปถึง ก็ต้องเผื่อใจกับงานที่ไม่มีใครมองเห็นไว้ด้วยนะครับ

คนที่เราอยากเป็นเขาจะทำตัวแบบไหน

Maslow’s Hierarchy of Needs นั้นเป็นปิระมิดที่มีทั้งหมด 5 ชั้น

ชั้นแรกเป็นเรื่องทางกายภาพ อยากกินให้อิ่มท้อง อยากมีที่พักอาศัย

ชั้นสองคือความปลอดภัย มีงานทำ มีเงินใช้

ชั้นสามคือความรู้สึกได้เป็นที่รัก มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเพื่อนฝูงที่พึ่งพาได้

ชั้นสี่คือความรู้สึกว่าได้เป็นคนสำเร็จ

และชั้นบนสุดคือการได้บรรลุศักยภาพในตัวตน

การได้บรรลุศักยภาพของตัวเองในทุกมิติเป็นเรื่องที่ทุกคนพึงทำ

เพราะมันคือการเติบโตทั้งในด้านร่างกาย ความสามารถ จิตใจ และจิตวิญญาณ

“ร่างสุดท้าย” ของเราที่สมบูรณ์ที่สุด แข็งแกร่งที่สุดนั้นจะหน้าตาแบบไหนกันนะ

เขาจะนอนต่อบนเตียงหรือจะลุกไปวิ่ง

เขาจะใช้โซเชียลสร้างประโยชน์หรือจะโดนโซเชียลใช้งาน

เขาจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ หรือจะทำทุกทางเพื่อรักษาสัจจะที่เคยให้ไว้

คนที่เราอยากเป็นเขาจะทำตัวแบบไหน

ถามคำถามนี้กับตัวเองอยู่บ่อยๆ

จะได้ไม่ลืมว่าเรามาทำอะไรที่นี่ครับ

4 มิติของความสำเร็จ

หนังสือ Barking up the Wrong Tree ของ Eric Barker พูดถึงความสำเร็จในสี่ด้านไว้ดังนี้

Achievement: Do you feel like you’re winning?
เรารู้สึกว่าเราบรรลุหรือทำอะไรเสร็จลุล่วงบ้างรึเปล่า เรากำลังรู้สึก “ชนะ” อยู่รึเปล่า ซึ่งชนะในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงเอาชนะคนอื่น แต่เป็นการชนะใจตนเอง มันคือการบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แค่บอกว่าวันนี้จะอ่านหนังสือให้ได้ 3 หน้าแล้วได้ลงมือทำ เราก็จะรู้สึกว่าเราบรรลุอะไรบางอย่างที่มีความหมายกับเราแล้ว

Legacy: Do you feel like you’re influencing others in a positive way?
เราล้วนแต่มีความปรารถนาที่อยากทำให้ชีวิตใครบางคนดีขึ้น อยากสร้าง positive impact ให้กับผู้คน โดยเริ่มต้นจากคนใกล้ตัวก่อนก็ได้ ถ้าเรามีลูก เราสอนลูกดีแล้วรึยัง เราให้เวลาเขาเพียงพอรึเปล่า ถ้าเราทำงานบริษัท เราได้ถ่ายทอดวิชาที่เรามีให้กับรุ่นน้องเพื่อให้เขาเป็นคนทำงานที่เก่งขึ้นรึเปล่า อะไรคือสิ่งที่เราอยากทิ้งไว้ข้างหลังในวันที่เราไม่อยู่แล้ว

Significance: Do you feel like you’re needed by the people closest to you?
เราทุกคนล้วนอยากเป็นที่รัก อยากเป็นที่ต้องการของใครบางคน อยากเป็นคนที่มีคนคิดถึง ซึ่งหากอยากเป็นคนสำคัญเราก็ควรทำตัวให้มีประโยชน์และเป็นคนที่น่ารัก อาจจะไม่ต้องน่ารักสำหรับทุกคนก็ได้ แค่น่ารักกับคนที่เราเลือกแล้วก็พอ

Happiness: Do you feel like you’re enjoying life?
เรากำลังสนุกกับชีวิตอยู่มั้ย หรือเรากำลังมีความสุขอยู่แต่เราไม่รู้ตัว? เราจึงควรให้เวลากับการทบทวนตัวเองว่าวันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง พยายามอยู่กับปัจจุบัน เล่นบ้างอะไรบ้าง อย่าเอาแต่ทำงานอย่างเดียว เพราะสิ่งดีๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราเองต่างหากที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่

ลองสำรวจตัวเองดูนะครับว่าใน 4 ด้านนี้ มิติไหนที่เราทำได้ดี มิติไหนที่ยังขาดไป

จะได้เป็นคนที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงครับ


ติดตาม Anontawong’s Musings ได้ที่

https://anontawong.com (subscribe เพื่อรับบทความทางอีเมลได้)
facebook.com/anontawongblog
blockdit.com/anontawong
twitter.com/anontawong
instagram.com/anontawong
http://bit.ly/LINEanontawong