นิทานอีกาหาความสุข

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

มีอีกาอยู่ตัวหนึ่งที่ไม่มีความสุขกับชีวิตเอาเสียเลย

วันหนึ่ง ขณะที่มันเกาะอยู่บนกิ่งไม้ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา

น้ำตาอีกาหล่นลงมาโดนหัวนักบวชผู้หนึ่งที่นั่งภาวนาอยู่ใต้ต้นไม้ นักบวชจึงเงยหน้าเอ่ยถามอีกาว่า

“เจ้ากาเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้?”

“ข้ามีชีวิตที่รันทดยิ่งนัก ไม่มีใครรักข้าเลย เวลาข้าเข้าใกล้มนุษย์ผู้ใด ก็มีแต่ผู้คนขับไล่ ไม่เคยมีใครอยากป้อนอาหารให้ข้า ถ้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างนี้ข้าขอตายเสียดีกว่า”

“เจ้ากาเอ๋ย เจ้าควรจะมีความสุขกับสิ่งที่เจ้ามีนะ”

แต่อีกาไม่เข้าใจคำพูดของนักบวชและยังคงร้องไห้ไม่หยุด นักบวชจึงเอ่ยว่า

“บอกเราสิว่าเจ้าอยากเป็นอะไร เรามีเวทมนตร์คาถาที่จะเสกให้เจ้ากลายเป็นนกชนิดอื่นได้นะ”

“จริงหรือท่าน! ข้าอยากเป็นหงส์ยิ่งนัก ท่านเสกให้ข้าเป็นหงส์ได้รึเปล่า?”

“เราทำได้ แต่ก่อนที่เราจะทำเช่นนั้น เราอยากให้เจ้าลองไปถามหงส์ดูก่อนว่าเขามีความสุขจริงหรือไม่ ส่วนข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่แหละ”

กาจึงบินไปเจอหงส์ตัวหนึ่งกำลังว่ายน้ำอยู่

“สวัสดีหงส์ ข้าอิจฉาเจ้ายิ่งนัก รูปลักษณ์ของเจ้าช่างงดงาม ร่างกายของเจ้าก็ขาวบริสุทธิ์ราวกับน้ำนม เจ้าต้องเป็นนกที่มีความสุขที่สุดในโลกแน่ๆ”

“เปล่าเลย ข้าไม่ได้มีความสุข โลกนี้มีสีที่สวยงามมากมาย แต่ร่างกายข้ากลับเป็นสีขาวจืดๆ ข้าว่านกแก้วต่างหากที่น่าจะมีความสุขที่สุด เพราะเขามีสีสันสดใสเหลือเกิน”

อีกาจึงออกตามหานกแก้วจนเจอ

“สวัสดีนกแก้ว เจ้าต้องมีความสุขมากๆ เลยใช่มั้ย เจ้านั้นงดงามแถมยังมีสีสันแพรวพราวอีกด้วย”

“เปล่าเลย ข้าไม่ได้มีความสุข เพราะมนุษย์ชอบเลี้ยงนกแก้ว ข้ากลัวว่าสักวันหนึ่งข้าจะโดนมนุษย์จับไปขังอยู่ในกรง ข้าคิดว่านกที่น่าจะมีความสุขที่สุดคือนกยูงต่างหาก เขามีสีสันสวยงามยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

อีกาจึงออกบินตามหานกยูงอยู่นาน สุดท้ายก็เจอนกยูงตัวหนึ่งในสวนสัตว์ ผู้คนมากมายมาชื่นชมการรำแพนที่สวยงามของมัน

อีการอจนทุกคนกลับไปหมดแล้วจึงเข้าไปคุยกับนกยูง

“สวัสดีนกยูง เจ้าช่างแสนงดงาม ผู้คนนับร้อยนับพันต่างมารอชื่นชมความงามของเจ้า เจ้าน่าจะมีความสุขมากๆ เลยใช่มั้ย”

“ข้าก็เคยคิดว่าข้านั้นงดงามและมีความสุขที่สุด แต่ความงามของข้ากลับทำให้ข้าต้องมาอยู่ในสวนสัตว์แห่งนี้ แถมข้ายังต้องเจ็บตัวอยู่บ่อยๆ เพราะคนชอบมาถอนขนของข้าไปเป็นเครื่องประดับ ข้าไม่มีความสุขเลย”

“ถ้าขนาดเจ้ายังไม่มีความสุข เจ้าคิดว่าใครน่าจะมีความสุขล่ะ”

“ข้าได้สำรวจในสวนสัตว์นี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว และข้าก็ได้ข้อสรุปว่ามีเพียงอีกาอย่างเจ้าเท่านั้นที่ไม่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่มีใครคิดจะจับเจ้ามาเลี้ยง ดังนั้นข้าจึงคิดมาสักพักแล้วว่าถ้าชาติหน้ามีจริงข้าอยากเกิดเป็นอีกา จะได้มีอิสระบินไปไหนต่อไหนก็ได้”

ได้ยินดังนั้น อีกาก็กล่าวขอบคุณนกยูงและบินกลับไปหานักบวช

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มันรู้สึกดีที่ได้เกิดเป็นอีกา และไม่ต้องการเวทมนตร์คาถาใดๆ อีกแล้ว


ขอบคุณนิทานจาก Words of Wisdom: Short motivational story of Raven

ถ้าอยากยอมแพ้ให้รอวันพรุ่งนี้

Shane Parrish ได้เล่าไว้ในบล็อก Brain Food ว่าสมัยเล่นกีฬาตอนมัธยมปลาย หากทีมเพิ่งแข่งแพ้มาโค้ชจะซ้อมโหดมาก

มูฮัมหมัด อาลี นักมวยผู้ยิ่งใหญ่เคยพูดไว้ว่า ตอนเขาซิทอัพ เขาจะเริ่มนับตอนที่ท้องเริ่มปวดเท่านั้น โค้ชของ Shane ก็ทำแบบเดียวกัน คือจะเริ่มนับว่า sprint ไปแล้วกี่รอบตอนที่ผู้เล่นในทีมเริ่มหมดแรงกันแล้ว

เมื่อโดนฝึกซ้อมหนักขนาดนี้ ก็จะมีบางคนในทีมบอกว่าไม่ไหวแล้ว จะขอลาออกจากทีม ซึ่งโค้ชก็จะโต้กลับด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา และตบท้ายว่า

“If you really want to quit, you can quit tomorrow, but you can’t quit today.”

ถ้าอยากจะยอมแพ้ค่อยยอมวันพรุ่งนี้ก็ได้ แต่วันนี้คุณห้ามยอมแพ้

และวันถัดมาก็ไม่มีใครลาออกจากทีมแม้แต่คนเดียว

ในระยะยาวแล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนที่มีความเสมอต้นเสมอปลาย และการจะเป็นคนแบบนั้นได้เราก็ต้องมียุทธศาสตร์ที่จะ keep going ในเวลาที่ความยากลำบากและความท้อถอยมาเยือน

เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ให้บอกตัวเองว่าถ้าจะยอมแพ้ก็ให้รอวันพรุ่งนี้

แต่วันนี้ห้ามยอมครับ


ขอบคุณเนื้อหาจาก Brain Food: Unthinkable

3 ประโยคสำหรับคนที่แคร์สายตาคนอื่นมากเกินไป

ประโยคที่ 1 จาก Morgan Housel ผู้เขียน The Psychology of Money

“No one is impressed with your possessions as much as you are.”

เราอยากจะขับรถดีๆ อยากใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม อยากใช้นาฬิกาสวยๆ โดยหวังว่ามันจะทำให้เราเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักมากขึ้น

แต่แท้จริงแล้ว เราจะเป็นที่รักด้วยการเป็นคนนิสัยดีและมีความถ่อมตัวต่างหาก

เมื่อรู้ตัวว่าเราไม่จำเป็นต้องมีข้าวของเพื่อ impress คนอื่น เราก็จะหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เราต้องการจริงๆ มากกว่า ถ้าเราจะยอมจ่ายแพงก็เพราะว่าเราชอบหรือเพราะว่ามันคุณภาพดี ไม่ใช่เพราะว่าเราแอบหวังว่ามันจะทำให้เราดูดี

ประโยคที่ 2 จาก Mark Manson ผู้เขียน The Subtle Art of Not Giving a F**k

“Nobody remembers your mistakes as much as you do.”

นอกจากเราอยากจะดูดีและได้รับการยอมรับแล้ว ในมุมกลับกันเราก็ไม่อยากขายหน้าและไม่อยากโดนดูแคลน

ความกังวลนี้จึงทำให้หลายคนไม่กล้าออกไปพูดหน้าชั้นเรียน ไม่กล้ายกมือถามคำถาม ไม่กล้าอาสาทำงานที่ท้าทาย เพราะเราเอาแต่คิดว่า ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาคนอื่นจะมองเราอย่างไร

แต่ความผิดพลาดที่เกิดโดยสุจริตใจหรือเกิดเพราะว่าเรายังไม่เก่งพอนั้นแทบไม่มีใครจำได้หรอก

ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่าเราฝังใจกับความผิดพลาดโดยสุจริตใจของใครบ้าง ส่วนตัวผมเองให้นั่งนึกตั้งนานก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง และความผิดพลาดเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่กับคนทำพลาดแม้แต่นิดเดียว เพราะการทำงานกับความผิดพลาด (ซึ่งก็คือการเรียนรู้) นั้นเป็นของคู่กัน

ประโยคที่ 3 จาก Will Rogers นักแสดงนำภาพยนตร์เรื่อง Life Begins at 40

“At twenty we don’t care what the world thinks of us. . . at thirty we worry about what it thinks of us. . . at forty we’re sure it doesn’t think of us.”

ตอนวัยรุ่นเราไม่ค่อยแคร์สื่อ อยากโพสต์อะไรก็โพสต์ อยากทวีตอะไรก็ทวีต

พอทำงานมาได้สักพัก มีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษา มีคนรู้จักมากขึ้นแต่มีเพื่อนน้อยลง เราจึงไม่กล้าเป็นตัวของตัวเองมากนัก

พอทำงานมาได้ 20 ปี พอเข้าใจแล้วว่าโลกทำงานยังไง ตระหนักได้ว่าเราคิดเรื่องของตัวเองมากเพียงใด และคิดถึงเรื่องคนอื่นน้อยแค่ไหน เราก็จะเริ่มมีส่วนผสมที่ลงตัวของวัย 20 กับ 30 ปี คือไม่แคร์สายตาคนอื่นมากจนเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ประคองตนไม่ทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมหรือเบียดเบียนใครทั้งกายและวาจา

เมื่อเข้าใจว่าสายตาคนอื่นที่คอยมองเราอยู่นั้น แท้จริงแล้วคือสายตาของเราที่มองตัวเอง เราก็จะเป็นอิสระจากข้อจำกัดและความคาดหวังปลอมๆ ครับ

ถ้าคิดว่าตัวเองแก่แล้ว

ให้ระลึกว่าตัวเราในอนาคตจะอิจฉาตัวเราตอนนี้

เมื่อผ่านพ้นวัย 35 ปี หลายคนจะเริ่มรับรู้ได้ถึงร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม

กินดึกหน่อยอาหารก็ไม่ย่อย นอนน้อยก็ทำงานไม่ไหว นั่งนานๆ ก็ปวดหลังจนต้องไปนวด

เราจะเริ่มตัดพ้อว่า นี่เราแก่แล้วสินะ

แต่ถ้าตอนนี้เราอายุ 35 พอตอนเราอายุ 50 เราจะรู้สึกว่า 35 นี่ยังหนุ่ม-สาวกันอยู่

และตอนเราอายุ 65 เราจะรู้สึกว่าวัย 50 นั้นยังมีกำลังวังชาเหลืออีกมาก

และตัวเราในวัย 80 จะมองตัวเองในวัย 65 ด้วยความคิดถึง

ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหน ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีเสมอ เพราะไม่มีวันที่เราจะเด็กไปกว่านี้อีกแล้ว

มาใช้ “ความหนุ่มสาว” ของเราให้เต็มที่ตั้งแต่วันนี้กันครับ


ขอบคุณประกายความคิดจาก James Clear 3-2-1 newsletter

มนุษย์นั้นกลับมาได้เสมอ

ในปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ผู้แพ้สงครามอย่างเยอรมันนีอยู่ในสภาพที่บ้านเมืองล่มสลาย โรงงาน ทางรถไฟ คลังสินค้าล้วนถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทำลายจนราพณาสูร

GDP ของเยอรมันนีตกลงมาถึง 70% ยังไม่นับว่าต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามอีกหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

แต่ภายในเวลาเพียง 3 ปีครึ่ง GDP ของเยอรมันนีก็กลับมาเท่ากับก่อนเกิดสงครามอีกครั้ง


ในปี 2001 วันที่ 11 กันยายน ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในมหานครนิวยอร์ค เป็นเหตุการณ์ช็อคโลกที่แม้จะผ่านไป 2 ทศวรรษแล้วเราก็ยังจดจำกันได้ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

ในงานวิจัยงานหนึ่งที่จัดทำในปลายปี 2002 พบว่า ความเสียหายจากเหตุการณ์ 9/11 มีมูลค่าประมาณ 33,000-36,000 ล้านดอลลาร์

แม้กระนั้น การรื้อถอนและทำความสะอาดบริเวณที่ตึกเวิลด์เทรดถล่มลงมานั้นก็เสร็จเร็วกว่ากำหนดหลายเดือน การจ้างงานกลับมาดีขึ้นภายในเวลาครึ่งปี เช่นเดียวกับตลาดอสังหาและความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจที่มีต่อมหานครแห่งนี้ก็กลับมาอยู่ในระดับเดิมภายในเวลาไม่กี่เดือนเช่นกัน

เราเห็นเทรนด์คล้ายคลึงกันนี้กับญี่ปุ่นที่แพ้สงครามโลกครั้งที่สอง และกับนิวออร์ลีนส์ที่โดนพายุเฮอริเคนแคทรีนาเมื่อปี 2005

ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ เรามักจะจิตตกเมื่อตะหนักว่าฤดูหนาวนี้จะยาวนาน สำหรับบางคนอาจสิ้นหวังจนหมดกำลังใจ

แต่หลายครั้งหลายครา สังคมมนุษย์แสดงก็ได้แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะเจออุปสรรคหนักหนาแค่ไหน เราก็จะผ่านมันมาได้และอาจแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ – What doesn’t kill you makes you stronger.

เพราะมนุษย์นั้นกลับมาได้เสมอครับ


ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Stock Club: The World According to Morgan Housel

และ the New York Fed: Measuring the Effects of the September 11 Attack on New York City by Jason Bram, James Orr, and Carol Rapaport