หนังสือพิมพ์ขายอะไร?

20150930_NewspapersSell

“หนังสือพิมพ์ขายอะไร?”

นี่คือคำถามที่อาจารย์ชื่อเจสซี่ถามพวกเราในคราบเรียนวิชา Seminar in Language & Communication Research ที่นิด้า (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์)

“หนังสือพิมพ์ขายอะไร?”

นักเรียนในห้องหลายคนก็ตอบทันทีว่า ขายข่าว!

แต่ผมไม่ได้ตอบทันที เพราะเดาว่าถ้าเจสซี่เอามาถาม คำตอบก็น่าจะลึกซึ้งกว่านั้นหน่อย

เคยได้ยินมาว่า หนังสือพิมพ์นั้น ต้นทุนในการพิมพ์สูงกว่าราคาขายเสียอีก สิ่งที่ทำให้หนังสือพิมพ์อยู่ได้คือรายได้จากโฆษณาต่างหาก

ผมเลยตอบไปว่า “ขายโฆษณา”

เจสซี่บอกว่า ใกล้เคียงมากขึ้น แต่ยังไม่ถูกซะทีเดียว เจสซี่ถามให้เราคิดต่อว่า เวลาเรา “ขาย” อะไรบางอย่าง สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร

สมมติเราขายกาแฟ สิ่งที่เราให้ลูกค้าคือกาแฟ และลูกค้าที่กินกาแฟก็เอาเงินให้เรา

หนังสือพิมพ์ ถ้าคิดชั้นเดียว ก็คือเราให้ข่าวกับลูกค้า และลูกค้าก็ให้เงินกับเรา

แต่เม็ดเงินที่ทำให้หนังสือพิมพ์อยู่ได้คือคนที่มาลงโฆษณา หรือ advertisers นั่นเอง

อย่างไทยรัฐ บางหน้าเราก็จะเจอโฆษณาทั้งหน้าเลย หรือบางหน้าก็มีซอยย่อยๆ ซึ่งราคาที่ไทยรัฐชาร์จก็ลดหลั่นกันไป

ผมก็เลยตอบไปอีกทีว่า “หนังสือพิมพ์ขายพื้นที่ในหนังสือพิมพ์ ให้กับคนที่มาลงโฆษณา”

เจสซี่บอกว่า ใกล้เคียงขึ้นอีกนิดละ

การขายคือการนำส่ง “คุณค่า” บางอย่างให้ลูกค้า และลูกค้าก็จ่ายเงินเราเป็นการตอบแทน

“พื้นที่ในหนังสือพิมพ์” จะถือว่ามี “คุณค่า” รึเปล่า ถ้าหนังสือพิมพ์นั้นไม่มีคนอ่านเลย?

“คุณค่า” ที่แท้จริงที่หนังสือพิมพ์ส่งให้กับผู้ลงโฆษณา จึงไม่ใช่พื้นที่ แต่เป็นความสนใจของผู้อ่านต่างหาก

ครับ หนังสือพิมพ์ขาย “ความสนใจของผู้อ่าน” ให้กับ “ผู้ลงโฆษณา” – Newspapers sell reader’s attention to advertisers

การทำธุรกิจของหนังสือพิมพ์จึงมีสองขยัก

ขยักแรก – ทำเนื้อหาให้ดีๆ เพื่อที่จะได้มีคนอ่านเยอะๆ

ขยักที่สอง – เมื่อมีคนอ่านเยอะๆ ก็จะนำจำนวนของผู้อ่านนี่แหละ ไปขายให้กับคนลงโฆษณา

นอกจากหนังสือพิมพ์แล้ว สื่อเกือบทุกสื่อก็ใช้โมเดลเดียวกัน คือดึงคนให้มาเสพสื่อของตัวเองเยอะๆ แล้วค่อยขายพื้นที่โฆษณา

ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร ทีวี หรือแม้กระทั่ง Google และ Facebook

ในฐานะผู้เสพสื่อ เราเคยคิดว่าตัวเองเป็น “ลูกค้า”

แต่จริงๆ แล้วเราเป็น “สินค้า” ต่างหาก!

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

เหตุผลที่ Amazon ไม่ใช้ Powerpoint ในการประชุม

20150929_AmazonNoPowerpoint

เชื่อว่าผู้อ่าน Anontawong’s Musings ทุกคนน่าจะรู้จัก Amazon ร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (และตอนนี้กำลังกลายร่างเป็น Everything Store คือขาย “สากกะเบือยันเรือรบ”)

ผู้ก่อตั้งแอมะซอนคือ เจฟ เบโซส (Jeff Bezos) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นห้วหน้าที่เป็นเผด็จการพอตัว เพราะทุกอย่างในแอมะซอนต้องทำตามทิศทางของเขาทั้งหมด

สิ่งหนึ่งที่เจฟ เบโซสทำที่แอมะซอนคือการ “แบน” PowerPoint ในห้องประชุม

เจฟให้เหตุผลว่า PowerPoint ทำให้ชีวิตของคนพรีเซ้นท์ง่าย แต่ทำให้ชีวิตของคนฟังยาก

เนื้อหาที่อยู่ในสไลด์มักจะมาเป็น bullet points ซึ่งบางทีก็อาจจะกว้างเกินไปหรือตกหล่นเนื้อหายิบย่อยที่มีความสำคัญ

การทำ PowerPoint มักจะทำให้เจ้าของเรื่องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำสไลด์ให้สวยงาม แทนที่จะเอาเวลามานั่งคิดให้ละเอียดว่าต้องการนำเสนออะไร ดังคำพูดของเจฟที่ว่า

“Now we’ve got highly paid people sitting there formatting slides—spending hours formatting slides—because it’s more fun to do that than concentrate on what you’re going to say. . . . Millions of executives around the world are sitting there going, “Arial? Times Roman? Twenty-four point? Eighteen point?”

“สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพนักงานที่เราจ้างมาแพงๆ ใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งทำสไลด์ เพราะมันสนุกกว่ามานั่งใส่ใจว่าเขาควรจะพูดอะไร (และพูดอย่างไร) ผู้บริหารนับไม่ถ้วนจึงนั่งอยู่หน้าจอคอมแล้วถามตัวเองว่า “จะใช้ฟอนท์ Arial หรือ Times New Roman ดีนะ? จะใช้ฟอนท์ขนาด 24 pts หรือ 18 pts ดีนะ?”

ซึ่งผมก็เห็นด้วยจริงๆ ว่าการเปิดโอกาสให้ทำ PowerPoint มักจะทำให้คนที่ต้องพรีเซ้นท์ไม่ค่อยจะเตรียมตัวอะไรเท่าไหร่ เผลอๆ นั่งทำขึ้นมาก่อนเข้าประชุมนั่นแหละ

สิ่งที่เจฟสั่งให้พนักงานทุกคนในแอมะซอนทำก็คือ แทนที่จะใช้สไลด์ คนที่เป็นเจ้าของเรื่องต้องเขียน Narrative Memo ความยาว 6 หน้าแทน

ผมไม่มีข้อมูลว่า Narrative Memo ที่ว่ามีเนื้อหาอย่างไรบ้าง แต่ถ้าให้เดาคงอารมณ์คล้ายๆ รายงาน ที่ต้องบอกรายละเอียดว่าจะนำเสนอเรื่องอะไร มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ทำไมถึงคุ้มที่จะทำโปรเจ็คนี้ ฯลฯ

และ Memo นี้จะได้รับการแจกในที่ประชุม และในช่วง 10-15 นาทีแรกของการประชุม ทุกคนจะนั่งอ่านรายงานนี้อย่างเงียบๆ

คนสัมภาษณ์ถามเจฟว่า ทำไมไม่ส่งรายงานให้อ่านก่อนเข้าประชุมไปเลย

“Time doesn’t come from nowhere. This way you know everyone has the time. The author gets the nice warm feeling of seeing their hard work being read.”

“เวลาไม่ได้หากันได้ง่ายๆ ถ้าเราให้ทุกคนอ่านพร้อมกันในห้องประชุมเราก็แน่ใจได้ว่าทุกคนมีเวลาอ่านแน่นอน แถมคนทำรายงานก็รู้สึกดีด้วยที่เห็นทุกคนนั่งอ่านรายงานที่ตัวเองทุ่มเทเขียนขึ้นมา”

เมื่อต้องมานั่งเขียน Memo ที่ทุกคนจะต้องอ่านและต้องใช้ในการถกเถียง คนที่เป็นเจ้าของเรื่องย่อมต้องใช้ความคิดและความตั้งใจมากกว่าการทำ PowerPoint ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความคิดของเขาตกผลึกมากขึ้น และนำเสนอข้อมูลได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น (โดยที่ความยาวไม่เกิน 6 หน้า)

อีกข้อดีหนึ่งของการทำ Memo ก็คือเราจะไม่เสียเวลากับคำถามที่ไม่จำเป็น

“If you have a traditional ppt presentation, executives interrupt. If you read the whole 6 page memo, on page 2 you have a question but on on page 4 that question is answered.”

“ถ้าคุณพรีเซ้นต์โดยใช้พาวเวอร์พอยท์ ผู้บริหารที่ฟังอยู่มักจะถามคำถามขัดจังหวะอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าคุณนั่งอ่านรายงานเงียบๆ ทั้ง 6 หน้า ตอนคุณอ่านถึงหน้า 2 คุณอาจจะมีคำถาม แต่พออ่านถึงหน้า 4 คุณก็จะได้คำตอบด้วยตัวคุณเอง”

—–

ผมยังไม่เคยได้ยินว่าองค์กรไหนนอกจากแอมะซอนใช้วิธีการเขียน Narrative Memo ก่อนเข้าประชุมอย่างนี้นะครับ

(ยิ่งเมืองไทยยิ่งไม่ต้องพูดถึง บางที่ไม่มีวาระการประชุมด้วยซ้ำ)

แต่เห็นว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจดีเลยอยากเอามาแชร์

ถ้าใครเอาไปลองใช้แล้วได้ผลยังไง กลับมาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ

—–

* EDIT: 30 Sep 2015: ตอนแรกผมเขียนชื่อภาษาไทยของ Jeff Bezos ว่า เจฟ เบซอส แต่จริงๆ ควรจะเป็น เจฟ เบโซส มากกว่าครับ ขอบคุณคุณ Choopong Choosamer และ ussatlantis ที่ท้วงติงมาครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก Moving People To Action: AMAZON STAFF MEETINGS: “NO POWERPOINT,  Philantropy Daily: Jeff Bezos’ PowerPoint prohibition 

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ต้นเหตุแห่งความทุกข์

20150928_RootOfSuffering

จั่วหัวมาเหมือนจะเข้าแนวธรรมะ และมีภาษาบาลีอย่าง “อวิชชา” หรือ “ตัณหา”

แต่เปล่าครับ วันนี้ผมจะไม่พูดเรื่องทุกข์ในรูปแบบนั้น

วันนี้ผมมีวิธีอธิบายความทุกข์ที่ “วัยรุ่น” กว่านั้นมาแชร์ให้ฟังครับ

ขอแอบโฆษณานิดๆ ว่า “ปิ๊ง” คอนเซ็ปต์นี้ขึ้นได้เองเมื่อหลายปีที่แล้ว และแอบภูมิใจอยู่ลึกๆ

แต่แล้วก็มารู้ทีหลังว่าสิ่งที่ปิ๊งขึ้นมานั้นไม่ใช่ความคิดที่ลึกซึ้งอะไร เพราะคนอื่นๆ ก็คิดได้คล้ายๆ กันเพียงแต่อาจจะใช้ศัพท์ที่ต่างกันนิดหน่อย

ต้นเหตุของความทุข์คืออะไร?

ผมว่าความทุกข์เกิดจากการที่ความจริงไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของเรา – suffering happens when reality doesn’t match your expectation.

ตัวอย่างที่ 1:

เย็นวันนี้รถติดมากๆ ผมขับรถออกจากออฟฟิศแฟนตอนห้าโมงครึ่ง แต่รถไปติดบนทางด่วนนานเกือบสองชั่วโมง

ความหงุดหงิดเกิดขึ้นทันที่ เพราะผมคาดหวังเอาไว้ว่าจะถึงบ้านก่อนหนึ่งทุ่ม แต่ตอนที่อยู่บนทางด่วน รถเขยิบนาทีละไม่กี่เมตร ก็รู้ซึ้งถึงความจริงว่า กว่าจะถึงบ้านก็คงล่วงเลยถึงสองทุ่มเป็นแน่แท้

สิ่งที่คาดหวังกับความเป็นจริงไม่สอดคล้องกัน ความทุกข์จึงเกิด

ตัวอย่างที่ 2:

ผู้ชายอย่างเราบางทีก็พูดอะไรไม่ค่อยคิด จนทำให้แฟนเสียใจและน้อยใจ พอแฟนน้อยใจผมก็พยายามขอโทษ แต่แฟนก็ยังโกรธอยู่ดี พอง้อไปสักพักยังไม่เห็นอาการดีขึ้น ผมก็ชักจะเริ่มไม่โอเคแล้ว เพราะผม “คาดหวัง” ว่าแฟนควรหยุดโกรธได้แล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือแฟนยังโกรธอยู่

เมื่อความคาดหวังกับความจริงไม่สอดคล้องกัน ผมก็เลยพลอยทุกข์ใจตามไปด้วย

ลองถามตัวคุณเองก็ได้ครับว่า สถานการณ์ที่ทำให้คุณทุกข์ใจนั้น เข้าล็อค “ความจริง กับ ความคาดหวัง ไม่สอดคล้องกัน” อย่างที่ผมว่ารึเปล่า

  • เราอกหัก เพราะว่าเราคาดหวังให้เขารักเราเหมือนอย่างที่เรารักเขา
  • เราเจ็บปวดเมื่อคนที่เรารักจากเราไป เพราะเราคาดหวังให้เขาอยู่กับเราไม่ไปไหน
  • เราร้อนรนเวลาใครมานินทาเราเสียๆ หายๆ เพราะเราคาดหวังให้เขาพูดแต่ความจริง

เมื่อความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากการ mismatch ดังนั้นถ้าจะหายทุกข์ได้ก็มีสองทาง

คือเปลี่ยนความจริง หรือไม่ก็เปลี่ยนความคาดหวัง

การเปลี่ยนความจริงทำได้ครับ แต่เหนื่อยหน่อย เหมือนอย่างที่สตีฟ จ๊อบส์และแอปเปิ้ลเปลี่ยนโลกแห่งการฟังเพลงและโทรศัพท์มือถือมาแล้ว

แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเปลี่ยนโลกอย่างพวกเรา การเปลี่ยนความคาดหวังน่าจะเป็นวิธีที่เรียบง่ายกว่าและเหนื่อยน้อยกว่ากันเยอะ

แม้จะเป็นวิธีที่เรียบง่าย แต่ก็ใช่ว่ามันจะง่ายดายนะครับ (Simple but not easy)

เพราะเราคุ้นชินกับการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมาโดยตลอด และจิตใต้สำนึกเราก็เรียกร้องให้โลกหมุนไปตามใจเรา แม้จิตสำนึก (สมอง) จะรู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

แล้วจะบรรเทาอาการอย่างนี้ได้อย่างไร?

วิธีที่ผมพบว่าเวิร์คกับตัวเองที่สุดก็คือการฝึกรู้สึกตัวอยู่บ่อยๆ เพื่อให้เห็นว่าตอนนี้เรากำลังติดกับดัก “ความคาดหวัง” ที่ไม่สอดคล้องกับ “ความเป็นจริง” อยู่รึเปล่า

เมื่อเรารู้ตัว ว่ากำลังทุกข์ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะครับว่า จะเลือกทุกข์ต่อไป หรือเลือกที่จะเปลี่ยนความจริง หรือเลือกที่จะเปลี่ยนความคาดหวังของตัวเอง

—–

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่