คนขับรถไร้มารยาท

20170914_baddrivers

ผมก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น

ผมเคยวิ่งผ่านทางม้าลายโดยไม่ได้จอดรอให้คนข้ามถนน

ผมเคยนั่งเหม่อรอรถติดไฟแดงแถวๆ เหม่งจ๋ายจนโดนคันหลังบีบแตรไล่เพราะไปขวางทางเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดของเขา

ผมเคยขับคร่อมเลนจนคนขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งแซงขึ้นมาแล้วหันมาส่งสัญญาณมือว่าทำไมวิ่งไม่ชิดซ้าย

ผมเชื่อว่าเราทุกคนที่ขับรถเป็นล้วนเคยทำผิดพลาดจนโดนคันอื่นบีบแตรใส่หรือโดนคนเดินถนนค้อนใส่มาแล้วทั้งนั้น

ทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่ได้เป็นคนแย่อะไรนะ เพียงแต่ในจังหวะนั้นอาจจะฟังเพลงเพลินไปหน่อย หรือกำลังไปสาย หรือกำลังโดน Google Maps สับขาหลอกอยู่

คราวหน้าที่เราเจอคนขับรถไร้มารยาท การคิดว่าเราเองก็อาจเคยเป็น “คนขับรถไร้มารยาท” เช่นกันอาจจะช่วยให้เราใจเย็นลงได้บ้างนะครับ

—–

ขอบคุณคุณผู้อ่านที่อุดหนุนหนังสือเล่มแรกของผม “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” จนตอนนี้ติดอันดับ Bestseller ของซีเอ็ดครับ (https://goo.gl/e326HZ)  หากใครยังไม่ได้จับจอง ยังสามารถหาซื้อได้ที่ซีเอ็ด นายอินทร์ คิโนะคุนิยะ เอเชียบุุ๊คส์ บีทูเอส ศูนย์หนังสือจุฬา หรือสั่งตรงกับผมก็ได้ครับ bit.ly/tgimannounce

ป้ายนั้นมีสองด้าน

20160617_signage

ผมทำงานอยู่ที่ตึกอื้อจื่อเหลียง และร้านป้าหยวกที่อยู่ข้างตึกคือที่ที่ผมกับพี่ที่ออฟฟิศจะฝากท้องสำหรับมื้อเที่ยง

แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ฝนตกหนักตั้งแต่เช้า พวกเราก็เลยไปกินข้าวที่โรงอาหารชั้น 9 ตั้งแต่ 11.30 เพราะรู้ว่าถ้าลงไปช้ากว่านี้อาจไม่มีที่นั่ง เพราะโรงอาหารคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเพราะว่าเขาไปกินนอกตึกไม่ได้

ผมสั่งก๋วยเตี๋ยวต้มยำมากิน รสชาติอร่อยทีเดียว พร้อมกับคุยกับพี่ๆ ที่ไม่ได้กินชั้น 9 กันมานานว่า สงสัยวันนี้ป้าหยวกจะเหงาแย่เลยนะ ฝนตกแบบนี้คงไม่มีคนไปกินร้านป้าเค้าเท่าไหร่

กินของคาวเสร็จก็เดินไปซื้อขนมหวาน

ป้าคนที่ขายขนมกำลังมือระวิงกับลูกค้าคนก่อน ส่วนผมก็สั่งขนมที่ค่อนข้างซับซ้อนคือเอาทับทิมกรอบ+สับปะรด+วุ้นมะพร้าว ป้าก็รีบๆ งงๆ แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอโทษจริงๆ นะ วันนี้ลูกค้ามาเร็วจนเตรียมของไม่ทันเลย”

ที่น่าสนใจคือระหว่างที่พูดคำขอโทษนั้น คุณป้าหน้าชื่นตาบานมาก


สมัยก่อนเวลาอ่าน a day หน้าแรกๆ ที่ผมจะพลิกไปอ่านคือการ์ตูน hesheit ของวิศุทธิ์ พรนิมิตร

การ์ตูนตอนหนึ่งเป็นรูปของผู้ชายที่กำลังยืนหน้าร้านคาเฟ่ที่มีป้าย “CLOSED” แขวนอยู่ แล้วคิดในใจว่า “เมื่อไหร่ร้านจะเปิดเสียทีนะ”

ซักพัก ก็มีพนักงานสาวเดินมาพลิกป้ายจาก “CLOSED” เป็น “OPEN”

ผู้ชายก็ดีใจมาก พูดทำนองว่า “ดีจัง ร้านเปิดแล้ว” ว่าแล้วก็เดินเข้าร้าน

ส่วนพนักงานสาวที่ยืนมองป้ายจากในร้าน ก็เห็นคำว่า “CLOSED”

แล้วคิดในใจว่า “เมื่อไหร่ข้างนอกจะเปิดเสียทีนะ”*


สมัยก่อน ผมเดินทางมาทำงานด้วยรถไฟฉึกฉัก

ขึ้นรถที่สถานีหัวหมาก มาลงที่อโศก แล้วค่อยต่อรถใต้ดินมาลงสถานีลุมพินี

การขึ้นรถไฟที่สถานีหัวหมากแต่ละครั้งจะมีอุปสรรคคือการข้ามถนนศรีนครินทร์ซึ่งมีรถเยอะอยู่ตลอด และสมัยก่อนยังไม่มีสะพานลอยให้คนข้าม

ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุด และปลอดภัยที่สุดสำหรับคนขึ้นรถไฟก็คือการข้ามถนนพร้อมรถไฟนั่นแหละ

สมมติว่าตอนเย็นผมนั่งรถไฟจากอโศกมาลงที่สถานีหัวหมาก ผมจะวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ข้ามถนนในจังหวะที่รถทั้งหลายยังโดนกั้นอยู่

เพราะถ้าพลาดจังหวะนี้ไป การข้ามถนนจะเป็นเรื่องยากมาก

อาจเป็นด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงอารมณ์เสียน้อยกว่าคนอื่นเวลาเจอรถติดนานๆ เพราะมีรถไฟมา


ในบางสถานการณ์ แม้คนกลุ่มหนึ่งจะเสียประโยชน์ แต่จะมีคนอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์

วันที่ฝนตก ป้าหยวกขายข้าวได้น้อยลง แต่ป้าชั้น 9 ขายขนมหวานได้มากขึ้น

“ร้านเปิด” สำหรับลูกค้า คือ “โลกปิด” สำหรับพนักงาน

คนขับรถอาจเสียอารมณ์เวลาต้องรถติดเพราะรถไฟมา แต่สำหรับคนที่เดินทางโดยรถไฟแล้ว ช่วงนี้คือนาทีทองของการข้ามถนน

ยังมีอีกหลายสถานการณ์ที่มักทำให้เราหงุดหงิด แต่ทำให้คนอื่นยิ้มได้ เช่น

รถติดตรงสี่แยกอาจทำให้เราหงุดหงิด แต่ทำให้เด็กขายพวงมาลัยยิ้มได้

ฤดูร้อนอาจทำให้เราหงุดหงิด แต่ทำให้คนขายน้ำปั่นยิ้มได้

ฝนตกอาจทำใหเราหงุดหงิด แต่ทำให้ต้นไม้ยิ้มได้

เมื่อเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดหรือน่ารำคาญ ถ้าเราระลึกได้ว่ายังมีเพื่อนร่วมโลกที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์พวกนี้

ก็อาจช่วยให้เราหงุดหงิดน้อยลง และใจเย็นมากขึ้นครับ


* ขออธิบายเพิ่มเติมสำหรับคนที่อ่านแล้วงง เนื่องจากป้าย OPEN/CLOSED นั้นอยู่บนแผ่นอันเดียวกัน เมื่อร้านเปิด ถ้ามองจากนอกร้านจะเห็นคำว่า “OPEN” แต่ถ้ามองจากในร้าน ย่อมเห็นคำว่า “CLOSED” ซึ่งในความคิดของพนักงานสาวก็คือ เธอยังออกไปไหนไม่ได้จนกว่าจะปิดร้าน

ขอบคุณภาพจาก Flickr: Closed by Jason

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

รีบเย็น

20160327_Hurry

“คนเราต้อง ‘รีบเย็น’ อย่า ‘รีบร้อน’ ยิ่งช่วงวิกฤติก็ยิ่งต้องใจเย็น”

– พระมิตซูโอะ เควสโก
a day BULLETIN 100 Interview The Observer
พฤษภาคม 2554 สัมภาษณ์โดยวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม

—–

สำหรับคนทั่วๆ ไป อารมณ์กับการกระทำมักจะไปในทิศทางเดียวกัน

ถ้าอารมณ์ดีๆ ชิวๆ ก็จะทำอะไรแบบเนิบๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ

แต่ถ้ากำลังหงุดหงิด ก็อาจจะทำอะไรเร่งๆ ส่งๆ ไป

แต่พระมิตซูโอะ ก็เตือนว่า เรายังมีอีกทางเลือกหนึ่ง

คือเราสามารถทำอะไรเร็วๆ ได้ โดยที่ใจยังเย็นเป็นน้ำอยู่

เพราะจะว่าไปแล้ว เวลาเราใจเย็น ไม่ได้แปลว่าร่างกายจะทำอะไรเร็วๆ ไม่ได้ซะหน่อย

ถ้าเรากำลังจะไปนัดสาย เราสามารถจะเดินเร็วขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งจะวิ่งก็ยังได้ โดยที่ใจไม่เตลิดเปิดเปิงไปไหน

ถ้าสังเกตตัวเอง เวลาที่เรารีบร้อน ใจเราจะไม่อยู่กับปัจจุบันและไม่อยู่กับตัวเอง

เราอาจจะคิดไปถึงอนาคตว่า ถ้าไปสายจะโดนมองไม่ดีอย่างไรบ้าง

หรืออาจคิดถึงอดีตว่า เมื่อเช้าไม่น่าชิวเกินไปเลย รู้งี้ออกจากบ้านให้เร็วกว่านี้ก็ดีหรอก

หรือใจเราอาจมัวแต่เพ่งโทษคนอื่น หงุดหงิดที่รถติด หรือรถคันหน้าขับช้า จนเราเองกลายร่างเป็นคนไม่น่ารักไปด้วย

หลงไปอนาคต หลงไปอดีต หลงไปเพ่งโทษคนอื่น ใจมันก็เลยร้อนรุ่ม

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง การหลงไปแบบนี้มันไม่ได้ช่วยให้เราไปถึงที่หมายเร็วขึ้นเลยซักนาทีเดียว

ถ้าเราใจเย็นซักหน่อย จอดรถข้างทางโทร.ไปขอโทษคนที่นัดหมายไว้ว่าจะไปถึงช้านิดนึง และลองเปิด Google Maps สำรวจเส้นทางดีๆ ว่าทางไหนน่าจะเร็วที่สุด

แค่เปลี่ยนวิธีคิดนิดนึง เราก็อาจจะ “รีบเย็น” ได้จริงๆ นะครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก a day BULLETIN 100 Interview The Observer

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อย่ายุ่ง

20160112_DontBeBusy

เคยมีช่วงไหนในชีวิตมั้ยครับที่คุณรู้สึกว่า “ยุ่งมาก” ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งตลอดทั้งเดือน

ไม่แน่ ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกอย่างนี้อยู่ก็ได้ (แต่ก็ยังมีเวลามาอ่านบทความของผมเนอะ ขอบคุณมากครับ!)

จะว่าไป คำว่า “ยุ่ง” นี่เป็นคำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เพราะในภาษาไทย นอกจากยุ่งจะแปลว่า busy แล้ว มันยังแปลว่า messy ด้วย (ยุ่งเหยิง)

เท่าที่สังเกตจากตัวเอง วันใดที่รู้สึกว่ายุ่งมากๆ มักจะเป็นวันที่รู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยทัน มีอะไรต้องทำตลอดเวลา

ที่สำคัญ พอหมดวันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้ทำอะไรที่มีคุณค่าเท่าไหร่

เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่า “วันนี้ยุ่งทั้งวันเลย” มักจะตามมาด้วยความรู้สึกที่ว่า “ยังทำอะไรไม่เสร็จเลย” เสมอๆ

ดังนั้น ผมเลยคิดว่า ถ้าเราอยากให้งานของเรามีประสิทธิภาพจริงๆ เราควรจะทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ไม่ยุ่ง

ไม่ยุ่ง ไม่ได้แปลว่าไม่ทำอะไร

เพราะสิ่งที่ตรงข้ามก้บ “ยุ่ง” ไม่ใช่ “ขี้เกียจ”

สิ่งที่ตรงข้ามกับยุ่ง น่าจะเป็น “จดจ่อ” (focused) มากกว่า

ยิ่งเราจดจ่อกับงานตรงหน้าได้มากเท่าไหร่ เราก็จะรู้สึกยุ่งน้อยลงเท่านั้น

พอจดจ่อจนงานหนึ่งเสร็จ เราสามารถที่จะพักเบรค คุยกับคนโน้นคนนี้ได้เพื่อเป็นการชาร์จแบตให้ตัวเอง ก่อนจะกลับมาจดจ่อกับงานชิ้นถัดไป

แน่นอน เรื่องอย่างนี้พูดง่ายแต่ทำยาก

แต่ก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

ต่อไปนี้คือรายการของสิ่งที่ผมลองแล้วช่วยให้รู้สึกว่าตัวเองยุ่งน้อยลง

  • To Do List ในแต่ละวัน ควรจะมีงานแค่เพียงสามชิ้น
  • ไม่เช็คอีเมล์หรือเล่นเฟซ จนกว่าเราจะทำงานหนึ่งในสามชิ้นนั้นเสร็จ
  • ปิด Instant Messaging ในคอม อย่างน้อยก็ในช่วงเช้า
  • ปิด Notifications ของแอพต่างๆ ในมือถือ
  • Log out จาก Facebook
  • ใช้ time blocking เพื่อจะได้ไม่โดนนัดประชุมพร่ำเพรื่อ
  • จัดโต๊ะให้สะอาด

เมื่อใดก็ตาม ที่คุณรู้สึกตัวได้ว่า กำลังยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจ

จงกลับมาหายใจดูครับ

สูดลมหายใจลึกๆ เข้าออกซักสามครั้ง

แล้วบอกตัวเองว่า “Slow down”.

โลกหมุนเร็วก็จริง แต่อย่าปล่อยให้ใจของเราหมุนเร็วกว่าโลก

มันไม่ดีต่อสุขภาพครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

พัลวัน

20150804_Multitasking

Muti-tasking is the ability to screw everything up simultaneously
– Jeremy Clarkson

Multi-tasking คือทักษะในการทำงานให้ไม่ได้เรื่องซักอย่าง
– เจเรมี่ คลากสัน

—–

เวลาผมเล่นเน็ตผ่านบราวเซอร์ Chrome ผมจะมีแท็บประมาณ 5-15 แท็บเปิดค้างไว้อยู่เสมอๆ จนแฟนผมชอบแซวว่า ทำไมต้องเปิดแท็บจำนวนมหาศาลขนาดนั้น

ตอนนี้ ถ้ามองไปด้านล่างสุดของจอ ผมมีโปรแกรมเปิดอยู่ 5 โปรแกรม – Notepad, Windows Explorer, Chrome, Evernote และ Excel

ทั้งๆ ที่ ณ ตอนนี้ผมจำเป็นต้องใช้ Chrome แค่อย่างเดียวเอง

ใจของเรานั้นซุกซน กระโดดไปมาตลอดเวลา

และจำนวนแท็บและโปรแกรมที่เราเปิดทิ้งไว้ ก็เป็นตัววัดที่ดีระดับนึงว่า เรามีความฟุ้งซ่านมากแค่ไหน

พูดจบประโยคข้างบน ผมก็เลยปิดทุกแท็บและทุกโปรแกรม ยกเว้นโปรแกรม Writer ที่ใช้เขียนบทความนี้อยู่

รู้สึกขึ้นมาได้ทันทีเลยว่า ใจโล่งขึ้น โปร่งขึ้น

ในยุคที่คนติด Facebook และ LINE กันงอมแงม สมาธิยิ่งสั้นลงเรื่อยๆ ความฟุ้งซ่านยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

และผมว่าอาการจะหนักกว่านี้เมื่อ wearable technology อย่าง Apple Watch เริ่มแพร่หลาย

ในอนาคตอันใกล้ ความสามารถในการทำ single-tasking อาจจะเป็นทักษะที่มีคุณค่ามาก

เพราะมันเป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะทำได้

คุณล่ะครับ ตอนนี้เปิดโปรแกรมอยู่กี่ตัว เปิดแท็บอยู่กี่แท็บ?

ลองลดให้เหลือแค่แท็บเดียวดูมั้ย?