Sharing from Quora: What are the best tricks to keep yourself motivated?

Answer by Jaideep Gottapu:

การอยู่ใน Comfort Zone จะว่าไปก็สบายดี

เหมือนทุกอย่างถูก optimized ไว้แล้ว

เรารู้แล้วว่าแต่ละวันจะเจออะไร และจะต้องทำอะไรบ้าง

ซึ่งย่อมทำให้เรามีชีวิตแบบไม่เครียด เรื่อยๆ ชิลล์ๆ

แต่บางทีชีวิตก็ต้องการสีสัน

ซึ่ง comfort zone ไม่สามารถมอบให้เราได้

หากอยากสนุก และอยากสร้างประสบการณ์พิเศษ

ก็อาจเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องออกจาก comfort zone เพื่อเจอกับประสบการณ์แปลกใหม่ สิ่งใหม่ๆ และคนใหม่ๆ

อาจต้องเหนื่อยมากขึ้น อาจต้องเสี่ยงมากขึ้น อาจมีการกระเพื่อมในใจระลอกใหญ่

แต่นั่นแหละคือโอกาสให้เราได้เรียนรู้ และได้เติบโต

อยากได้ลูกเสือ ก็ต้องเข้าถ้ำเสือ คุณว่าอย่างนั้นมั้ย?

Source: Quora What are the best tricks to keep yourself motivated?

Pic & Pause: Segregated Water Fountains

ColoredDrink

ภาพนี้ถูกถ่ายโดย Elliot Erwitt ในรัฐนอร์ธแคโรไลนา (North Carolina)

เมื่อปี 1950 หรือ 65 ปีล่วงมาแล้ว

ภาพนี้มีชื่อว่า Segregated Water Fountains

Water Fountains ก็คือที่ดื่มน้ำ

Segregated/Segregation คือการแบ่งแยกพื้นที่ระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาว

ซึ่งเป็นเรื่องปกติในยุคสมัยนั้น

ไม่ว่าจะเป็นห้องอาหาร ห้องน้ำ หรือรถบัส

คนผิวดำจะถูกกีดกันไม่ให้ใช้สาธารณูปโภคร่วมกับคนผิวขาวเลย

—–

เมื่อเห็นรูปนี้ คำหนึ่งก็ลอยมา

“อำมาตย์”

ไม่ได้คิดจะยึดโยงอะไรกับการเมืองไทยนะครับ

แต่ภาพนี้มันแสดงความเป็นอำมาตย์-ไพร่ ได้ชัดเอามากๆ

อเมริกา ชาติที่่ภูมิใจในอุดมการณ์ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม

ครั้งหนึ่งก็เคยกระทำกับ “คนอื่น” ได้ขนาดนี้

จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ตอนนั้นเขาคิดอะไรกันอยู่

—-

ถึงชาติไทยเราจะมีวัฒนธรรมแบบอำมาตย์-ไพร่มาช้านาน

แต่ในความรู้สึกของผม เราก็ยังได้รับความเคารพในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมกันมากกว่าที่คนผิวดำเคยได้รับ

ลองคิดว่าถ้าเมืองไทยเรามี Segregation

แล้วผมมาเดินห้างพารากอน

แต่พอจะเข้าห้องน้ำแล้วถูกยามไล่ให้ไปเข้าชั้นใต้ดิน

เพียงเพราะหน้าตาผมมันบ่งบอกว่าผมมาจากอีสาน

มันคงจะเจ็บปวดน่าดูเนอะ

—–

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัย

ตอนที่มี Segregation ในอเมริกานั้น

คนผิวขาวส่วนใหญ่ก็อาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

เป็น “เรื่องธรรมดา” (normal) ที่ต้องกีดกันคนผิวดำ

หรือบางคนอาจจะมองว่าเป็น “เรื่องธรรมชาติ” (natural) ด้วยซ้ำไป

ก็อดคิดไม่ได้ว่่าสังคมไทยในตอนนี้

มีประเด็นหรือปัญหาอะไรที่ยังหมักหมม ไม่ได้รับการแก้ไข

เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหารึเปล่า?

คนที่กำลังอ่านบล็อกนี้ของผม

จะว่าไปก็อาจจะเทียบเท่าได้กับคนผิวขาวของอเมริกา

เพราะว่าเรามีอินเตอร์เน็ตใช้ มีรายได้เป็นอันดับ Top 20% ของประชากรในประเทศนี้

แล้วชาวไทยอีก 80% ที่เหลือ เขากำลังประสบชะตากรรมอย่างคนผิวดำในปี 1950 รึเปล่า

อำมาตย์อย่างพวกเรากำลังทำให้เขา “ดื่มน้ำจากก๊อกของคนผิวดำ” โดยที่เราไม่รู้ตัวรึเปล่า

หวังว่าจะไม่นะครับ

แต่ก็ไม่แน่…

เพราะอีก 65 ปีต่อจากนี้ เมื่อตอนที่รุ่นหลานเรามองกลับมา

เขาอาจจะเห็นปัญหาที่เรา “ทำเป็นมองไม่เห็น” อย่างแจ่มชัดก็ได้

และเขาอาจจะอดสงสัยไม่ได้ว่า ตอนนี้พวกเราคิดอะไรกันอยู่

บัญชีใจ

20150129_EmotionalBank

ความสัมพันธ์ของคนเราก็เหมือนกับการฝากเงินในบัญชีธนาคาร

เรามีบัญชีเป็นร้อยๆ บัญชี เท่ากับจำนวนคนที่เราคบหาด้วย

และตัวเลขในบัญชีก็เป็นตัวชี้วัด “ความไว้ใจ” ที่คนๆ น้้นมีให้เรา

นี่คือตัวอย่างของบัญชีใจที่เราอาจมีครับ

20150129_EmotionalBankExample

พ่อแม่นั้นรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข (อาจจะมีบ้างแต่ก็น้อยกว่าคนอื่นๆ เยอะ) เพราะฉะนั้นถึงเราจะทำอะไรผิดพลาดไป ท่านก็ยังพร้อมที่จะไว้ใจและเชื่อใจเราเสมอ

ในขณะที่อีกฟากนึง คนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกันคนละขั้ว หรือคนที่เป็นศัตรูกับเรา ตัวเลขในบัญชีย่อมติดลบ แค่เราอ้าปากก็ผิดแล้ว!

แนวคิดเรื่องบัญชีใจ (Emotional Bank Account) ของ Stephen R.Covey จากหนังสือ 7 Habits of Highly Effective People มีประโยชน์หลายข้อ

1. ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องการ “ฝาก” และการ “ถอน” ความไว้เนื้อเชื่อใจ
การ “ฝากเงิน” ทางบัญชีใจคือการทำสิ่งต่างๆ ให้ตัวเลขในบัญชีคนๆ นั้นเยอะขึ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องชายและหญิง

เมื่อรู้จักกันใหม่ๆ ฝ่ายชายก็จะ “ฝากเงิน” เข้าบัญชีใจของผู้หญิงที่เขาจีบ

ไม่ว่าจะด้วยการแอบซื้อขนมไปวางที่โต๊ะ  หมั่นโทร.ไปหา ส่ง message หวานๆ ก่อนนอน หรือคอยไปรับไปส่ง

เมื่อเงินในบัญชีสูงขึ้นเรื่อยๆ (ระดับความไว้ใจมากขึ้น) ผู้หญิงก็ตกลงปลงใจเป็นแฟนด้วย

และถ้าต่างฝ่ายต่างฝากเงินเข้าบัญชีของกันและกัน ก็อาจจะลงเอยด้วยการแต่งงาน

ส่วนเรื่องการ “ถอนเงิน” จากบัญชีใจก็คือการกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

ซึ่งมักจะเป็นกรณีคลาสสิคที่เกิดขึ้นหลังจากแต่งงานกันไปแล้ว!

ฝ่ายชายสามารถ “ถอนเงิน” ได้ด้วยการไม่ช่วยทำความสะอาดบ้าน กลับบ้านดึก พูดจาเป็นมะนาวไม่มีน้ำ และไม่คอยดูแลฝ่ายหญิงเหมือนแต่ก่อน

เงินในบัญชีจึงลดลงเรื่อยๆ จาก 700,000 เหลือ 500,000 เหลือ 300,000…

แล้วถ้าฝ่ายหญิงจับได้เมื่อไหร่ว่าฝ่ายชายไปมีกิ๊ก

ตัวเลขในบัญชีก็อาจจะติดลบได้ทันที!

2. ช่วยเตือนเราว่า ฝั่ง Debit กับ Credit อาจจะไม่ Balance กัน
บางทีเราคิดว่าเรา “ถอน” มาแค่ 20,000 แต่สำหรับแฟนเราเขาอาจจะรู้สึกว่าความไว้ใจหายไป 200,000 ก็ได้

เพราะเรื่องเล็กสำหรับเรา อาจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา

หรือเรารู้อยู่แล้วว่ายังไงๆ พ่อแม่ก็ต้องเข้ามาช่วยเหลือเราเวลาเรามีปัญหา เราจึงไม่ตั้งใจเรียนหรือทำตัวไร้สาระไปวันๆ

โดยหารู้ไม่ว่าเราได้ทำให้พ่อแม่เสียใจและผิดหวังแค่ไหน

3. ช่วยกระชับความสัมพันธ์
ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรากับใครก็ตามมัน “ตึงๆ” เราก็เพียงแต่ต้องใส่ใจการฝากเงินและระวังเรื่องการถอนเงินให้มากขึ้น

จะให้ดี เราควรจะฝากให้มากๆ แล้วถอนให้น้อยที่สุด

วิธีการรักษาเงินในบัญชีใจให้สูงอยู่เสมอนั้นทำได้โดย

1.ทำความเข้าใจอีกฝ่าย ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดและเข้าอกเข้าใจในตัวตนของเขา
2.รักษาคำพูด ตัวเลขในบัญชีความไว้ใจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราเป็นคนมีสัจจะ
3.บอกเขาว่าเราต้องการอะไร ไม่มีใครมีพลังวิเศษที่จะมาอ่านใจเราได้ เพราะฉะนั้นคิดอะไรก็พูดออกมาน่าจะดีกว่า
4.ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะเรื่องเล็กๆ ในตอนนี้อาจจะเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ในอนาคตได้
5.ใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม ถ้าการกระทำของเราตั้งอยู่บนหลักการของการไม่เบียดเบียน คนรอบข้างย่อมจะวางใจเรามากขึ้น
6.พูดขอโทษทุกคร้้งที่เรา “ถอนเงิน” ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด ดังนั้นถ้าเราเผลอไปสร้างบาดแผลให้ใคร ก็อย่ารอช้าที่จะเอ่ยคำขอโทษ

—–

ลองสำรวจตัวเองนะครับ ว่าบัญชีที่เราถืออยู่ มีบัญชีไหนที่ตัวเลขน้อยเกินควรรึเปล่า?

ถ้ามีการอย่าลืมฝากเงินมั่งนะครับ

จะได้มีความร่ำรวยทางใจที่ยั่งยืนครับ

—–
Sources: The 7 Habits of Highly Effective People, Integrated Leader (PDF)

บาดแผลที่ยังคงอยู่

20150128_Scar

“บาดแผลที่ผู้อื่นทำกับเรานั้น ถึงอย่างไรก็ยังพอหาทางรักษาได้
แต่บาดแผลที่ได้มาจากการทำร้ายผู้อื่น อาจต้องอยู่กับเราตลอดไป”
– เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

—–

อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกว่า

ถ้าใครที่ผ่านโลกมามาก และมาพบเจอถ้อยคำนี้ เขาอาจจะสะอึก

หรือบางรายอาจน้ำตาตกในเลยก็ได้

—–

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

และข้อดีของการอยู่ร่วมกันคือการได้พึ่งพาอาศัย

ได้รัก และได้ผูกพันกัน

แต่สิ่งที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้คือการกระทบกระทั่ง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

—–

ผมเชื่อว่าเราหลายคนมีบาดแผลในวัยเด็ก

ซึ่งเกิดจากคนที่รักเรามากที่สุดอย่างพ่อกับแม่

บางบาดแผลเราอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

แต่ผมเชื่อว่าพ่อกับแม่ยังไม่ลืม และอาจยังรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้

—–

พอเราโตขึ้น เราก็อาจกำลังสร้างบาดแผลให้กับคนที่เรารักมากที่สุดเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นคนที่เลี้ยงเรามา คนที่เรากำลังเลี้ยงอยู่ หรือคนที่ยืนเคียงข้างเรา

ผมก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองมีสติ และระวังทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ

ด้วยความหวังว่า หากต้องมีแผลเกิดขึ้น มันจะเป็นเพียงแค่รอยขีดข่วน

และจะไม่ใช่แผลเป็นที่จะฝังลึกอยู่ในใจเขา และใจเรา ตลอดไป

ผมภาวนาอย่างนั้นจริงๆ

กระจก

20150127_Loving

ผมว่าเราทุกคนเคยเจอสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า Bad Hair Day

วันที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นไปดั่งใจเอาซะเลย

แฟนพูดจาไม่น่ารัก หัวหน้าเรียกไปดุเรื่องงาน เพื่อนไปกินข้าวเที่ยงไม่ชวน ฯลฯ

ใช่ครับ วันที่ราวกับว่าคนทุกคนบนโลกจงใจจะแกล้งเรา

แต่ถ้าเริ่มตั้งต้นด้วยทฤษฎีที่ว่า โลกภายนอกเป็นเพียงภาพสะท้อนของโลกภายใน เราอาจจะทำให้สถานการณ์นี้ดีขึ้นได้

ถ้าเราทำใจร่มๆ เริ่มจากการมีเมตตากับตัวเองก่อน เราก็จะมีเมตตากับคนอื่นและอาจจะเห็นบางอย่างที่เรามองข้ามไป

แฟนพูดจาไม่น่ารัก แต่ลึกๆ เขาอาจจะพูดด้วยความเป็นห่วงเราก็ได้
หัวหน้าเค้าอาจไม่ได้คิดว่ากำลังดุเราอยู่ แต่คิดว่ากำลังการสอนงานให้กับลูกน้องที่วันหนึ่งอาจต้องมาทำหน้าที่แทนเขา
เพื่อนไม่มาชวนไปกินข้าว อาจเพราะเขาเห็นเรากำลังยุ่งๆ อยู่ (แถมหน้าไม่รับแขก) แต่เขาอาจตั้งใจจะส่งไลน์มาถามก็ได้ว่าอยากฝากซื้ออะไรมั้ย

แล้วเราก็จะเริ่มเห็นว่า ไม่มีใครคิดจะมาทำตัวเป็นศัตรูกับเราหรอก เขาไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น

วันนี้ขอให้พบเจอแต่คนดีๆ นะครับ