เมื่อคืนนี้ผมกับแฟนไปดูเดี่ยว 13 ของพี่โน้ต อุดมมาครับ
เป็นการดูเดี่ยวสดครั้งแรกของพวกเรา และได้ดูรอบการแสดงสุดท้ายพอดี
เป็นสามชั่วโมงที่เพลิดเพลิน เป็นความอัศจรรย์ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสะกดคนดูหลายพันคนได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรนอกจากไมโครโฟนหนึ่งตัว
นอกจากมุกนับร้อย นี่คือสามคำสอนจากเดี่ยว 13 ที่ผมจำได้ดีเป็นพิเศษครับ
คำสอนที่หนึ่ง
พี่โน้ตเล่าว่าเขาไม่ได้ไปงานแต่งงานมานานแล้ว
งานสุดท้ายที่พี่โน้ตไปคืองานของพี่ตูน-ก้อย
คนที่มารดน้ำสังข์มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมากมาย พี่โน้ตจึงไม่คิดว่าตัวเองจะถูกเชิญให้ขึ้นไปรดน้ำสังข์ด้วย
แต่พิธีกรก็ดันประกาศชื่อ พี่โน้ตบ่ายเบี่ยง แต่เมื่อโดนเรียกซ้ำก็เลยต้องจำใจเดินเข้าไปหาพี่ตูนกับก้อย และกระซิบบอกว่าพี่โน้ตถือคติว่า ถ้าเขาไม่มีสิ่งใด เขาก็ไม่อยากอวยพรสิ่งนั้น ลองดูดีๆ สิ ที่สองคนมาอยู่กันตรงนี้ ก็เพราะว่ามีความรักที่สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว แต่กูยังโสดอยู่เลย จะเอาอะไรไปอวยพรให้น้องๆ
อย่ากระนั้นเลย ให้พี่ตูนอวยพรให้พี่โน้ตหน่อยก็แล้วกัน
พี่ตูนก็เลยรดน้ำสังข์ให้พี่โน้ต ซึ่งก็เป็นข่าวดังในข่วงนั้น
แน่นอนว่ามันคงจะถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสม แต่เบื้องหลังของการกระทำก็น่านำไปคิดต่ออยู่เหมือนกัน
กี่ครั้งที่เราให้ในสิ่งที่เราไม่มี? กี่ครั้งที่เราเรียกร้องในสิ่งที่เราเองก็ทำไม่ได้?
คำสอนที่สอง
ทุกเดี่ยวจะมีการแซวการเมือง เช่นเดียวกับเดี่ยว 13
พี่โน้ตบอกว่า แต่ละคนนั้นมีความถนัดไม่เหมือนกัน
บางคนถนัดเป็นนักธุรกิจ บางคนถนัดเป็นนักบิน บางคนถนัดเป็น security guard
และถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นเครื่องบินที่มีผู้โดยสาย 70 ล้านคน เรากำลังมี security guard ขับเครื่องบินให้อยู่ แถมไม่รู้ด้วยว่าเครื่องบินลำนี้จะไปลงจอดที่ไหน หันไปดู co-pilot ก็ดันนั่งหลับอีก
พี่โน้ตบอกว่า ถ้าเราทำสิ่งที่เราไม่ถนัด ที่เหลือมันจะเป็นการแสดง
ต้องทำท่าทีขึงขัง ทำเป็นโกรธ ทำเป็นตัดพ้อ
พี่โน้ตให้คิดตาม ว่าถ้าเราตั้งบริษัท และมีผู้สมัครมาสัมภาษณ์งานกับเรา พอเราถามว่าทำไมเขาอยากมาทำงานที่นี่
แล้วผู้สมัครคนนั้นตอบว่า “คิดว่าอยากมาทำนักเหรอ?”
แล้วเรายังจะรับคนคนนั้นมาเป็นพนักงานรึเปล่า
พี่โน้ตออกตัวว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านนายกเป็นคนดีรึเปล่า เพราะความดีกับความถนัดเป็นคนละเรื่องกัน ต่อให้ถือศีล 227 ข้อก็ไม่ได้แปลว่าจะขับเครื่องบินได้
คำสอนสุดท้าย
เนื่องจากเดี่ยวโดนเลื่อนไปหลายรอบ พี่โน้ตเลยใช้เวลาช่วงหนึ่งไปบวช เป็นวัดป่าที่เต็มไปด้วยพระสายปฏิบัติ ณ ช่วงบวชนั้นพี่โน้ตได้ฝึกมรณานุสติ และคิดเอาว่าตัวเองน่าจะมีอายุสัก 65 ปีก็พอแล้ว (ตอนนี้ 54)
เมื่อทำใจได้ว่าอีกไม่กี่ปีก็ต้องตายจากโลกนี้ไป การใช้ชีวิตของพี่โน้ตก็ง่ายขึ้นมาก
นั่นคือการใช้ชีวิตแบบเอาความสะดวกของตัวเองเป็นตัวตั้ง
ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ โดยไม่ต้องไปทำตามความคาดหวังใคร
คนรวยๆ เหมือนจะมีอยู่มากมาย อวดกันเต็มฟีด แต่จริงๆ แล้วคนที่ร่ำรวยเงินทองล้นฟ้านั้นมีอยู่แค่ 1% ในโลกนี้
เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอน ปล่อยตัวกันเป็นหมื่นคน แต่คนที่วิ่งแตะริบบิ้นตรงเส้นชัยนั้นมีได้แค่คนเดียว
แต่เราไม่จำเป็นต้องรวยเงินทองเสียหน่อย เรารวยสุขภาพ รวยเพื่อนฝูง รวยเสียงหัวเราะก็ได้
พี่โน้ตมองว่า ชีวิตคนเราจะมีชุดที่ตัดมาพอดีตัว ที่เราเป็นทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้เพราะเราไปเอาชุดคนอื่นมาใส่
ความตายมันไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือเรายังมีชีวิตอยู่แต่เราไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองต่างหาก
สรุป 3 คำสอนจากเดี่ยว 13
- อย่าให้ในสิ่งที่เราไม่มี อย่าขอในสิ่งที่เราเองก็ยังทำไม่ได้
- เมื่อทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด มันจะเป็นการแสดง
- อย่าใส่ชุดของคนอื่น
ขอบคุณพี่โน้ต อุดม มา ณ ที่นี้ ขอให้พี่สุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจนะครับ