อย่าเข้าข้างตัวเองเกินไป

คนจำนวนไม่น้อยน่าจะตกอยู่ในวังวนนี้

เมื่อทำอะไรล้มเหลว เรามักจะโทษความโชคร้าย

เมื่อทำอะไรสำเร็จ เราจะบอกว่าเป็นฝีมือของเราเอง

แต่เอาเข้าจริง ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวมีทั้งโชคและฝีมือเป็นปัจจัย

บางคนทำถูกทุกอย่าง แต่จังหวะเวลาไม่เป็นใจก็อาจไม่ปัง

บางคนทำเหมือนคนแรก แต่อยู่ถูกที่ถูกเวลาก็รุ่งโรจน์ได้อย่างไม่คาดฝัน

สิ่งที่ควรระวัง คืออย่าเข้าข้างตัวเองเกินไป ว่าที่เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะความเก่งกาจของเราล้วนๆ

เพราะมันจะทำให้เรากำเริบเสิบสาน อัตตาเปี่ยมล้น เราจะกลายเป็นคนไม่น่ารักโดยไม่รู้ตัว

เมื่อไหร่ที่เราสำเร็จ ให้ชื่นชมตัวเองในความพยายาม และให้ขอบคุณอะไรบางอย่างที่เปิดทางให้งานของเราออกดอกออกผลครับ

10 นาทีในวันนี้ดีกว่า 10,000 นาทีในอนาคต

เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมได้อ่านหนังสือ Chasing Daylight ที่เขียนโดย Eugene O’Kelly อดีต CEO ของ KPMG

โอเคลลี่เริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้หลังจากรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งสมอง และเสียชีวิตหลังจากนั้นเพียง 3 เดือนครึ่ง

คำแนะนำในหนังสือที่ผมจำได้ดีเป็นพิเศษก็คือ “Move it up” – เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

ถ้าคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างในอนาคต ให้เลื่อนมันมาให้เร็วขึ้น

อยากจะเรียนกีตาร์? เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

อยากจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว? เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

อยากจะเริ่มออกกำลังกาย? เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเวลาในอนาคตเรานั้นมีเหลืออยู่เท่าไหร่ หรือมีอยู่จริงรึเปล่า

แน่นอนว่าหลายเรื่องก็ทำตอนนี้ไม่ได้ ต้องทำงานเก็บเงินกันก่อน

แต่หลายเรื่องเราสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ตอนนี้ แม้ว่ามันจะไม่เพอร์เฟ็กต์ แม้ว่ามันจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่นั่นอาจไม่ใช่เหตุผลที่ดีเพียงพอที่จะบอกว่า “รอให้เราพร้อมกว่านี้ก่อนแล้วค่อยทำ”

เพราะการอดเปรี้ยวไว้กินหวานอาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเสมอไป

บางคนอาจจะอยากจะเขียนนิยายมานานแล้ว โดยจินตนาการไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีเวลาว่างติดต่อกัน 2 สัปดาห์โดยที่ไม่มีใครมารบกวน และเมื่อนั้นแหละเขาจะรังสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยมออกมาได้แน่นอน

แต่ถ้าตลอดสิบปีที่ผ่านมาเราไม่เคยหาเวลาแบบนั้นได้เลย แล้วอะไรกันที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะหาเวลาได้ในอนาคต?

แทนที่จะฝันหวานถึงเวลาที่มีมากมายในภายภาคหน้า ทำไมเราไม่ลองเริ่มต้นจาก 10 นาทีที่เราพอมีเหลือในวันนี้

สิบนาทีนั้นน้อยนิดมากจนแทบจะทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเริ่มต้นจากวันนี้สิบนาที พรุ่งนี้อีกสิบนาที ผ่านไปหนึ่งเดือนเราจะได้ใช้เวลาเขียนนิยายถึง 5 ชั่วโมง

ถ้าเรามีอะไรที่อยากทำมานาน ลอง move it up ดูนะครับ แม้ว่ามันจะจำกัดจำเขี่ยแค่ไหน แม้ว่าเราจะไม่สามารถสร้างอะไรได้มากนักก็ตาม

เพราะ 10 นาทีในวันนี้มีค่ากว่า 10,000 นาทีในอนาคตครับ

ทำไมการออกกำลังกายมักไม่ช่วยลดน้ำหนัก

ทำไมการออกกำลังกายมักไม่ช่วยลดน้ำหนัก

เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินมาว่า การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดเท่าไหร่ สิ่งที่ช่วยได้มากกว่าคือการลดอาหาร

ผมเองก็เชื่อเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

จนได้มาเจอคำตอบหนึ่งใน Quora ที่รู้สึกว่าเมคเซนส์และน่าจะเป็นประโยชน์ เลยขอนำมาถอดความให้อ่านกันนะครับ

“ร่างกายเรานั้นถูกวิวัฒนาการให้ออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน เพราะในสมัยดึกดำบรรพ์ บรรพบุรุษของเราล่าสัตว์ด้วยการวิ่งไล่มันไปเรื่อยๆ [ซึ่งบางทีก็กินเวลาหลายชั่วโมง] จนสัตว์ตัวนั้นหมดแรงและวิ่งหนีต่อไปไม่ไหว

เนื่องจากร่างกายมนุษย์คุ้นชินกับการออกกำลังอยู่แล้ว ร่างกายของเราจึงเป็น “รุ่นประหยัดพลังงาน” แคลอรีที่เราเบิร์นจากการวิ่ง 30 นาทีนั้นสามารถถูกทดแทนได้ด้วยโดนัทเพียงชิ้นเดียว

แน่นอนว่าทุกอย่างมีข้อยกเว้น มีคนบางกลุ่มที่ออกกำลังเยอะเสียจนน้ำหนักลด คนกลุ่มนี้มีชื่อว่านักกีฬาและทหาร

พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ซ้อมหนักเท่านักกีฬา และถึงอย่างแม้แต่นักกีฬาก็ยังต้องระวังอาหารที่ตัวเองกิน

อีกสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เวลาออกกำลัง ร่างกายจะส่งสัญญาณไปเตือนสมองว่า

“โปรดระวัง! เราสังเกตเห็นการใช้พลังงานที่สูงขึ้นผิดปกติ จงบริโภคอาหารให้มากขึ้น!”

คนออกกำลังกายบางคนเลยกินเข้าไปมากกว่าที่เอาออกเสียอีก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการกินให้น้อยลง ส่วนถ้าน้ำหนักจะลดจากการออกกำลังกายด้วยก็ให้ถือว่าเป็นโบนัส”


ขอบคุณเนื้อหาจาก Quora: Ke’Aun’s Answer to Why is diet more important than exercise for weight loss? Is it really?

วุ้นแปลภาษาที่เรียกว่าความสัมพันธ์

ในการ์ตูนโดราเอมอน จะมีของวิเศษอย่างหนึ่งที่ว้าวมาก นั่นคือวุ้นแปลภาษา

พอกินวุ้นเข้าไปแล้ว จะสามารถคุยกับคนทุกชาติทุกภาษาได้ แม้แต่กับสิงสาราสัตว์ก็คุยรู้เรื่อง

วันก่อนนี้ผมเขียนเรื่อง “วิธีให้ฟีดแบ็คลูกน้องแบบ Radical Candor” ซึ่งเน้นว่าลูกน้องต้องรู้ก่อนว่าเราแคร์ เราถึงจะพูดตรงๆ กับเขาได้

เพราะความหมายไม่ได้อยู่แค่ในคำพูด แต่อยู่ในคนพูดด้วย

ถ้าเรารู้ว่าคนพูดนั้นแคร์ เราย่อมแปลความไปในทางบวก

ถ้าเรารู้ว่าคนพูดนั้นไม่แคร์ เราย่อมแปลความไปในทางลบ แม้ว่าจะใช้คำพูดเดียวกันก็ตาม

เพราะสิ่งที่ประกอบอยู่ในถ้อยคำ คือโทนเสียง สีหน้าท่าทาง และพลังงานที่ปล่อยออกมา

ความสัมพันธ์จึงเป็นวุ้นแปลภาษาที่ทรงพลังอย่างมาก

ฝรั่งมีประโยคที่ว่า It’s not what you say, it’s how you say it – พูดอะไรไม่สำคัญเท่าพูดอย่างไร

ผมอยากเสริมอีกหนึ่งประโยค – It’s not what you say, it’s who says it – พูดอะไรอาจไม่สำคัญเท่าใครเป็นคนพูด

เรื่องบางเรื่องที่บ้าน คนในครอบครัวพูดกลับไม่ฟัง แต่ให้คนนอกพูดเขากลับฟัง

เรื่องบางเรื่องที่ทำงาน เราพูดแล้วบางคนไม่(ยอม)เข้าใจ แต่พอให้นายใหญ่พูดเขากลับเข้าใจได้ง่ายดาย

ถ้าเรารู้สึกว่าไม่อาจเข้าถึงใครบางคน คงต้องกลับมาสำรวจตัวเราก่อน ว่ามีวิธีพูดที่ดีกว่านี้มั้ย

แต่ถ้าปรับแล้วยังไม่เห็นผล อาจต้องลองเปลี่ยนคนพูดแล้วล่ะครับ


ขอบคุณภาพจาก Doraemon Wiki : Translation Tool

วิธีให้ฟีดแบ็คลูกน้องแบบ Radical Candor

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสจัดเวิร์คช็อปหัวข้อ Deliver Constructive Feedback with Radical Candor ให้กับหัวหน้าทีมประมาณ 20 คนที่บริษัท

โจทย์ในการทำเวิร์คช็อปครั้งนี้คือการเพิ่มเครื่องมือให้คนที่ต้องฟีดแบ็คลูกน้องด้วยความตรงไปตรงมาโดยที่ลูกน้องไม่โกรธไม่เกลียดเรา

ปัญหาหนึ่งที่หัวหน้าชาวไทยน่าจะลำบากใจที่สุด คือการบอกน้องว่าต้องปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง โดยเฉพาะน้องที่ยังทำงานได้ไม่ดี และที่ยากกว่านั้นคือน้องที่ทำงานได้ดีแต่มีนิสัยบางอย่างที่ทำให้เพื่อนร่วมงานอึดอัด

หัวหน้าจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่ comfortable ที่จะให้ฟีดแบ็คน้องตรงๆ เพราะกลัวลูกน้องเสียใจ กลัวน้องลาออกแล้วทีมจะเดือดร้อน กลัวน้องจะไม่ชอบเรา กลัวน้องเถียงกลับ และกลัวอื่นๆ อีกมากมาย

หัวหน้าบางคนจึงเลือกที่จะเงียบ หรือหากจะพูดก็อ้อมค้อมจนน้องไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วหัวหน้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่

ผมเลยเอาเฟรมเวิร์คที่ได้จากหนังสือ Radical Candor ของ Kim Scott มาเล่าให้ฟัง

การให้ฟีดแบ็คของหัวหน้ามีอยู่ 4 ประเภท

ไม่ตรงและไม่แคร์ อันนี้คือเอาไปพูดลับหลังเสียๆ หายๆ

ตรงแต่ไม่แคร์ ออกแนวขวานผ่าซากหรือไม่ถนอมน้ำใจ บางคนที่เคยมีหัวหน้าชาวต่างชาติอาจจะเคยเจอมาแล้ว

แคร์แต่ไม่ตรง หัวหน้าคนไทยส่วนใหญ่น่าจะติดปัญหานี้ คือเป็นห่วงเป็นใยแต่ไม่กล้าบอกตรงๆ น้องก็เลยไม่รู้ตัวและไม่มีโอกาสปรับปรุง เข้าข่ายพ่อแม่รังแกฉัน ส่วนคนอื่นๆ ในทีมก็คาใจว่าทำไมหัวหน้าไม่ทำอะไรเลย

แคร์และตรง นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Radical Candor คือเราต้องแสดงออกให้เขารู้ก่อนว่าเราแคร์นะ เมื่ออีกฝ่ายมีความเชื่อมั่นเพียงพอว่าสิ่งที่เราบอกนั้นเป็นความปรารถนาดี เขาก็จะยอมรับฟีดแบ็คของเราได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งการจะทำให้เขารู้ว่าเราแคร์นั้น หนึ่งในเครื่องมือที่ดีที่สุดคือการสร้างความสัมพันธ์ผ่านการ One on One ซึ่งผมเคยเขียนเอาไว้อย่างละเอียดในบทความ “4 เหตุผลที่หัวหน้าควรมี 1:1 กับลูกน้องทุกเดือน” ส่วนถ้าใครจะเสริมความสัมพันธ์ด้วยการพาไปกินกาแฟ เลี้ยงข้าว ก็ทำได้เช่นกัน

เมื่อมีความสัมพันธ์และมีความเชื่อใจกันระดับหนึ่งแล้ว วิธีการให้ฟีดแบ็คแบบ Radical Candor จะมีสูตรที่เรียกว่า CORE

C – Context สถานการณ์คืออะไร
O – Observation สิ่งที่เราสังเกตเห็นคืออะไร
R – Result ผลลัพธ์เป็นอย่างไร
E – nExt Step สิ่งที่ควรทำต่อจากนี้คืออะไร

บางคนอาจจะเคยได้ยินสูตรที่มีเนื้อหาคล้ายๆ กันเช่น SBI (Situation, Behavior, Impact) หรือ STAR (Situation, Task, Action, Result) ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายๆ กันหมด

สิ่งสำคัญของทั้งสามสูตรนี้ ก็คือเราจะเน้นที่การกระทำ ไม่ใช่ตัวบุคคล

เพราะหากเราตำหนิว่าน้องไม่ดี น้องจะปกป้องตัวเองทันที หูจะอื้อ ไม่ค่อยได้ยินสิ่งที่เราพูดแล้ว

แต่หากเราพูดถึงเรื่องการกระทำและผลลัพธ์ที่ตามมา มันจะเป็นการแยกตัวน้องออกจากการกระทำนั้น ให้เขาได้กระเถิบออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์ว่าการกระทำที่ว่ามันนำไปสู่ผลลัพธ์อะไรบ้าง

แน่นอนว่าแม้จะใช้สูตร CORE แล้ว แต่น้องบางคนก็อาจจะยังไม่ยอมรับหรือเถียงกลับอยู่ดี แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา น้องส่วนใหญ่จะรับฟังและอยากนำไปปรับปรุงต่อ

การให้ฟีดแบ็คลูกน้องว่าต้องปรับปรุงอย่างไรเป็นงานที่ไม่ได้มีใครชอบ แต่ในฐานะหัวหน้ามันคือหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุด เพราะมันเป็นเครื่องมือในการสร้างคน ในการสร้างทีม และในการสร้าง culture ที่ดี

เป็นหัวหน้าต้องกล้าที่จะถูกเกลียด และกล้าเผชิญบรรยากาศอึดอัดที่อาจตามมา เมื่อไหร่ที่ท้อหรือเหนื่อยล้าให้ท่องเอาไว้ว่า 30% ของเงินเดือนคือค่าอดทน

ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ