10 นาทีในวันนี้ดีกว่า 10,000 นาทีในอนาคต

เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมได้อ่านหนังสือ Chasing Daylight ที่เขียนโดย Eugene O’Kelly อดีต CEO ของ KPMG

โอเคลลี่เริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้หลังจากรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งสมอง และเสียชีวิตหลังจากนั้นเพียง 3 เดือนครึ่ง

คำแนะนำในหนังสือที่ผมจำได้ดีเป็นพิเศษก็คือ “Move it up” – เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

ถ้าคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างในอนาคต ให้เลื่อนมันมาให้เร็วขึ้น

อยากจะเรียนกีตาร์? เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

อยากจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว? เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

อยากจะเริ่มออกกำลังกาย? เลื่อนมาให้เร็วขึ้น

เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเวลาในอนาคตเรานั้นมีเหลืออยู่เท่าไหร่ หรือมีอยู่จริงรึเปล่า

แน่นอนว่าหลายเรื่องก็ทำตอนนี้ไม่ได้ ต้องทำงานเก็บเงินกันก่อน

แต่หลายเรื่องเราสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ตอนนี้ แม้ว่ามันจะไม่เพอร์เฟ็กต์ แม้ว่ามันจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่นั่นอาจไม่ใช่เหตุผลที่ดีเพียงพอที่จะบอกว่า “รอให้เราพร้อมกว่านี้ก่อนแล้วค่อยทำ”

เพราะการอดเปรี้ยวไว้กินหวานอาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเสมอไป

บางคนอาจจะอยากจะเขียนนิยายมานานแล้ว โดยจินตนาการไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีเวลาว่างติดต่อกัน 2 สัปดาห์โดยที่ไม่มีใครมารบกวน และเมื่อนั้นแหละเขาจะรังสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยมออกมาได้แน่นอน

แต่ถ้าตลอดสิบปีที่ผ่านมาเราไม่เคยหาเวลาแบบนั้นได้เลย แล้วอะไรกันที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะหาเวลาได้ในอนาคต?

แทนที่จะฝันหวานถึงเวลาที่มีมากมายในภายภาคหน้า ทำไมเราไม่ลองเริ่มต้นจาก 10 นาทีที่เราพอมีเหลือในวันนี้

สิบนาทีนั้นน้อยนิดมากจนแทบจะทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเริ่มต้นจากวันนี้สิบนาที พรุ่งนี้อีกสิบนาที ผ่านไปหนึ่งเดือนเราจะได้ใช้เวลาเขียนนิยายถึง 5 ชั่วโมง

ถ้าเรามีอะไรที่อยากทำมานาน ลอง move it up ดูนะครับ แม้ว่ามันจะจำกัดจำเขี่ยแค่ไหน แม้ว่าเราจะไม่สามารถสร้างอะไรได้มากนักก็ตาม

เพราะ 10 นาทีในวันนี้มีค่ากว่า 10,000 นาทีในอนาคตครับ