เมื่อมีเรื่องกลุ้มใจให้เดินเข้าร้านหนังสือ

เวลาเรามีเรื่องกลุ้มใจ เรามักจะบ่นให้เพื่อนๆ ฟัง หรือถ้าหุนหันเราก็บ่นขึ้น Facebook / Twitter

บางคนอาจเลือกที่จะลืมความกลุ้มใจไปชั่วคราวด้วยการออกไปเที่ยวหรือออกไปดื่มเหล้า พอสร่างเมาก็กลุ้มใจเหมือนเดิม

หนทางหนึ่งที่คนมักไม่นึกถึงกัน เพราะมันเป็นเส้นผมบังภูเขา ก็คือการเดินเข้าร้านหนังสือ

เรื่องกลุ้มใจที่เราเจอ คนอื่นก็เคยเจอ และน่าจะหาทางแก้ได้มาสักพักใหญ่ และได้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือแล้ว

ดังนั้น ถ้าเราเดินเข้าร้านหนังสือใหญ่ๆ สักหน่อย มองหาหนังสือที่น่าจะไขขอข้องใจให้เราได้ ดูปกหน้า ปกหลัง สารบัญ และลองพลิกอ่านบางบทความว่าอ่านแล้วได้อะไรรึเปล่า

ซื้อหนังสือมาสัก 2-3 เล่มที่น่าจะช่วยไขข้อข้องใจนั้นได้ แล้วก็ให้เวลาอ่านมันเสียหน่อย

บางทีเราจะพบคำตอบที่ไม่อาจพบได้ด้วยวิธีอื่นๆ ครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ INPUT ศิลปะของการเลือก-รับ-รู้ โดยชิอน คาบาซาวะ สำนักพิมพ์ Sandclocks

อีเลียด คิปโชเก้ นักวิ่งมาราธอนแห่งยุคสมัยที่ไม่เคยเฉลิมฉลองชัยชนะ

คนที่วิ่งมาราธอนหรือฮาล์ฟมาราธอนทุกคนน่าจะรู้จัก Eliud Kipchoge นักวิ่งชาวเคนยาวัย 37 ปี เพราะเขาคือนักวิ่งระยะไกลที่ยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับเมสซี่ในโลกฟุตบอลและราฟาเอล นาดาล บนคอร์ตเทนนิส

งาน “INEOS: 1:59” ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2019 ในกรุงเวียนนา คิปโชเก้ไม่ต้องลงแข่งกับใครเลย สิ่งเดียวที่เขาต้องแข่งด้วยคือกำแพง 2 ชั่วโมงที่ไม่เคยมีนักวิ่งมาราธอนคนไหนทำลายได้มาก่อน

มีนักวิ่งชั้นนำมากมายมาร่วมวิ่งกับคิปโชเก้ในฐานะ “pacer” คือวิ่งเป็นเพื่อนในความเร็วที่กำหนดไว้ พอวิ่งครบ 10 กิโลเมตรก็เปลี่ยน pacer ชุดใหม่ ส่วนคิปโชเก้นั้นต้องวิ่งตลอดระยะทาง 42.195 กิโลเมตร

สุดท้ายคิปโชเก้ก็วิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 1:59:40 เป็นการวิ่งจบระยะมาราธอนที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยเพซเฉลี่ย 2:50 (หนึ่งกิโลเมตรใช้เวลาวิ่ง 2 นาที 50 วินาที)

คืนนั้นทางผู้จัดงานเฉลิมฉลองกันยกใหญ่ คิปโชเก้ขึ้นมอบถ้วยรางวัลให้กับนักวิ่ง 41 คนที่มาร่วมวิ่งเป็น pacer จากนั้นอาหารและเหล้ายาปลาปิ้งก็ free flow ไม่อั้น คนส่วนใหญ่ปาร์ตี้กันจนหัวรุ่ง

แต่ตัวคิปโชเก้ที่เป็นพระเอกของงานนั้นไม่แตะต้องแอลกอฮอลแม้แต่หยดเดียว พอมอบรางวัลเสร็จ เขาก็ออกมาจากงานอย่างเงียบๆ และเข้านอนแต่หัวค่ำ


ในงานโตเกียวโอลิมปิก 2020 คิปโชเก้ก็เข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 (ที่สองช้ากว่าคิปโชเก้ 80 วินาที) งานจัดที่ซัปโปโร แต่เป็นธรรมเนียมของโอลิมปิกว่านักวิ่งมาราธอนต้องมารับเหรียญในพิธีปิด พวกเขาจึงต้องบินจากซัปโปโรมาโตเกียวและนั่งรอในห้องรับรองที่สนามบินอยู่ 3 ชั่วโมงเพื่อรอรถมารับไปส่งที่สเตเดี้ยม

ขณะที่ทุกคนหยิบมือถือออกมาเช็คข้อความแสดงความยินดีและฆ่าเวลา คิปโชเก้กลับนั่งเฉยๆ โดยไม่แตะต้องมือถือเลยแม้แต่นิดเดียว

Bashir Abdi นักวิ่งที่ได้เหรียญทองแดงจากเบลเยี่ยมพูดถึงคิปโชเก้แบบขำๆ ว่า “เขาไม่ใช่มนุษย์!”


คิปโชเก้มองว่าการฉลองเป็นเรื่องต้องห้ามและอันตราย มันคือการตามใจตัวเองที่อาจทำให้จิตใต้สำนึกเข้าใจว่าเขาได้มาถึงจุดสูงสุดและไม่มีอะไรต้องบรรลุอีกแล้ว

คิปโชเก้เป็นชาวเคนย่าที่เติบโตมาจากครอบครัวชาวนา ตอนเด็กๆ คิปโชเก้มีหน้าที่ปั่นจักรยานเอานมไปขายที่ตลาดนัด เขาจึงคุ้นเคยกับความยากลำบากเป็นอย่างดี

บ้านเกิดของคิปโชเก้อยู่ที่เมือง Eldoret ซึ่งอยู่ห่างจากไนโรบี เมืองหลวงของเคนยาไป 300 กิโลเมตร แต่ค่ายฝึกซ้อมที่คิปโชเก้เก็บตัวนั้นอยู่ในเมือง Kaptagat ที่อยู่ห่างจาก Eldoret ออกไปอีก 40 นาที

รองเท้าที่คิปโชเก้ใส่ซ้อมนั้นไม่มีตราใดๆ ทั้งสิ้น แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็น Nike AlphaFly รุ่นล่าสุดที่ไนกี้ผลิตให้คิปโชเก้ใส่เพียงคนเดียวเท่านั้น


หลังจากจบงานโตเกียวโอลิมปิก คิปโชเก้หยุดพักจากการซ้อมวิ่งถึงหนึ่งเดือนเต็ม ก่อนจะกลับมาซ้อมด้วยโปรแกรมประมาณนี้

ช่วงเช้า

วิ่งยกละ 1600 เมตรที่เพซ 4:40 พัก 2 นาที x 8 ยก

วิ่งยกละ 400 เมตร ภายในเวลา 64 วินาที และพัก 30-50 วินาที x 8 ยก

ช่วงเย็น

วิ่ง 10 กิโลเมตร เริ่มจากเพซ 5:30 และจบที่เพซ 4:20

คิปโชเก้จะเข้านอนตอนสามทุ่ม และตื่นตี 5.45 ทุกวัน

เขาซ้อมวิ่งสัปดาห์ละ 200-220 กิโลเมตร และมีเซสชั่นฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมถึงมีนวดคลายกล้ามเนื้อกับนักกายภาพที่ทำงานด้วยกันมา 18 ปี

คิปโชเก้ซ้อมทุกวัน แต่จะซ้อมหนักแค่สัปดาห์ละ 3 วัน คือวันอังคารวิ่ง 15-16 กิโลเมตร วันพฤหัสฯ วิ่งระยะยาว 30-40 กิโลเมตร และวันเสาร์ ซ้อม 50 นาทีแบบ ‘Fartlek’ ด้วยการวิ่งเร็ว 3 นาที สลับกับวิ่งจ็อกกิ้ง 1 นาที

“ทุกครั้งที่ผมซ้อม ผมพยายามที่จะไม่ทุ่มเต็ม 100% เพราะร่างกายจะล้าเกินไป ดังนั้นวันอังคาร พฤหัส และเสาร์ ผมจะใส่แรงลงไปซัก 80% ส่วน 4 วันที่เหลือผมจะลงแรงประมาณ 50%” คิปโชเก้อธิบาย

คิปโชเก้ดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร ทานเนื้อไม่เยอะ กินผักที่ปลูกโดยชาวบ้านในละแวกนั้น รวมถึงขนมปังที่ตัวคิปโชเก้อบเองกับมือ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือปริมาณโปรตีนเพราะนักโภชนาการเห็นว่าคิปโชเก้บริโภคโปรตีนน้อยเกินไป

เวลาซ้อมวิ่งระยะ 40k คิปโชเก้จะดื่ม energy drink ยี่ห้อ Maurten แต่นอกจากนั้นเขาไม่ได้กินอาหารเสริมใดๆ ทั้งสิ้น


แม้จะเป็นวีรบุรษของเคนย่าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากมีใครคิดจะจัดงานต้อนรับเขาอย่างยิ่งใหญ่ พาขึ้นรถแห่ขบวนกลางเมือง เขาจะปฏิเสธทุกครั้ง

สิ่งที่คิปโชเก้ต้องการจะสื่อกับคนรุ่นใหม่ก็คือ พวกเขาสามารถเริ่มต้นจากศูนย์ และประสบความสำเร็จได้โดยที่เท้ายังติดดินเหมือนเดิม

“การปฏิเสธชีวิตที่หรูหราทำให้ผมมีโฟกัสมากขึ้นและเป็นคนในแบบที่ผมอยากเป็น ผมอยากให้ชีวิตมันเรียบง่ายเข้าไว้ จะได้ซ้อมให้หนักเท่าที่จะทำได้ ดีกว่าเอาเวลาไปขับรถสปอร์ตหรือนั่งเครื่องบินส่วนตัว”

สิ่งที่คิปโชเก้อยากทำให้สำเร็จต่อจากนี้คือวิ่งงาน World Marathon Majors ให้ครบทั้ง 6 รายการ โดยยังเหลือสามรายการที่คิปโชเก้ยังไม่เคยวิ่ง คือโตเกียว บอสตัน และนิวยอร์ค

เวลามีใครได้ไปเยี่ยมค่ายฝึกซ้อมของคิปโชเก้ พวกเขามักจะแปลกใจในความแสนธรรมดาของมัน

หนึ่งในทีมงานกล่าวว่า “โลกข้างนอกนั้นถูกทำให้ซับซ้อน แต่การซ้อมมาราธอนนั้นเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมากๆ”

ซึ่งคิปโชเก้ก็เห็นตรงกัน “ถ้าคุณซ้อมในโรงยิมเล็กๆ มาตลอดจนประสบความสำเร็จ การไปซ้อมโรงยิมที่ใหญ่ขึ้นไม่น่าจะทำให้คุณเก่งขึ้นได้หรอกนะ”

มีคนอดถามคิปโชเก้ไม่ได้ว่า ตอนเขาได้เหรียญทองโอลิมปิก เขาไม่ได้เฉลิมฉลองอะไรจริงๆ เหรอ ไม่ว่าจะที่ญี่ปุ่นหรือที่บ้านเกิดก็ตาม

“ไม่มีเลย การฉลองจบลงตั้งแต่ตรงเส้นชัยแล้ว”


ขอบคุณข้อมูลจาก Irish Examiner: Eliud Kipchoge: Inside the camp, and the mind, of the greatest marathon runner of all time

30 ประโยคสุดจี๊ดจากพี่อ้อย Club Friday

เมื่อวานนี้ทาง LINE MAN Wongnai ได้เชิญพี่อ้อย Club Friday มา WeShare เนื่องในเดือนแห่งความรัก

เราเคยเชิญพี่อ้อยมา WeShare แล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2018 มารอบนี้พี่อ้อยก็ยังท็อปฟอร์มเหมือนเดิม พูดสดๆ 1.5 ชั่วโมงโดยไม่ต้องมีสไลด์ ไม่ต้องมีโน๊ต ประโยคต่างๆ พรั่งพรูออกมา ทั้งให้ข้อคิด ทั้งแทงใจดำ ผมกับน้องๆ ทีม People จดตามแทบไม่ทัน

นี่คือ 30 ประโยคที่ผมชอบเป็นพิเศษครับ

คนอกหัก / คนโสด

  1. บางคนงานก็หนัก รักก็แย่
  2. รับรู้ไม่ได้แปลว่ารับรักเสมอไป
  3. ทำดีได้ดี แต่ไม่ได้หัวใจนะคะลูก
  4. บางทีเราไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่ต้องการคำปลอบเฉยๆ
  5. วันที่เราอ่อนแออย่าเพิ่งรีบเข้มแข็ง เดี๋ยวแผลจะใหญ่กว่าเดิม
  6. จะรักใครมากแค่ไหน รักตัวเองให้ได้ครึ่งนึงที่รักเขาเราก็รอดแล้ว
  7. เวลาเขาตอบว่า “เลือกไม่ได้” แปลว่าเขาเลือกแล้ว นั่นคือเขาไม่ได้เลือกเรา คำตอบมีมาตั้งแต่ต้น เขาไม่ได้ให้ความหวัง แต่เรายังพร้อมที่จะหลอกตัวเองต่อไป
  8. เราไม่ได้มีความสุขกับความโสดหรอก เพียงแต่คนที่เข้ามาไม่ได้ทำให้เราชอบเขามากพอที่จะสละความสุขจากความโสด

คนมีคู่

  1. เรามักจะงี่เง่ากับคนที่เราให้ความสำคัญ
  2. เรามักจะแสดงความคิดเห็น แม้ยังไม่เห็นด้วยซ้ำ
  3. รักกันไม่ใช่แค่ต้องเชื่อใจกัน รักกันต้องทำตัวให้น่าเชื่อใจด้วย
  4. ความเชื่อใจ สร้างไม่ง่าย ทำลายไม่ยาก แถมลำบากจะเรียกคืน
  5. อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆ ยังไงก็สวย แต่อยู่ด้วยอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
  6. ความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งปกติ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ – แม้แต่ตัวเราเอง
  7. รักทางไกลวันนี้ง่ายกว่าเดิมเยอะ กดปุ่มนึงก็เจอกันแล้ว
  8. ความไกลไม่ได้ทำให้ใจห่าง แต่ทำให้คนที่ไม่ได้รักกันเท่าไหร่แสดงออกกันมากขึ้น
  9. อย่ามัวแต่มองจอจนไม่รอเจอหน้ากัน
  10. มีอะไรคุยกัน ไม่สำคัญเท่ามีอะไรฟังกันหรือเปล่า
  11. อย่ามัวแต่มองข้างหน้าจนลืมมองคนข้างๆ วันหนึ่งความสำเร็จจะอ้างว้างถ้าไม่มีคนข้างๆ ฉลองด้วย

คนมีอดีต

  1. อย่าเอาอดีตมากรีดปัจจุบัน
  2. ความระแวงจะเป็นแรงผลักให้คนอื่นดูน่ารักมากกว่าเรา
  3. ตื่นมาอีกวัน เราก็ห่างอดีตไปอีกวัน ไม่อยากมีปัจจุบันดีดี เลยไปจบอยู่กับอดีตแย่ๆ

คนอื่น

  1. แฟนเก่ากลับมาทัก ไม่ได้แปลว่าเขากลับมารักซะหน่อย
  2. ตอนเป็นแฟนกันยังคาดหวังไม่ได้ เป็นแฟนเก่าจะไปหวังให้เค้าขอโทษเหรอ
  3. ปากอยู่ที่เขา ใจอยู่ที่เรา อย่าให้ปากใครสูงค่าจนทำร้ายหัวใจเราได้
  4. คนที่เราไม่ชอบมักจะอยู่ที่หางตาของเราเสมอ
  5. อย่าทำตัวเองเป็นกล้องวงจรปิดตามติดชีวิตคนที่เราไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็แค่แยกย้าย

คนไม่ยอมแพ้

  1. ยิ้มของเราต่อชีวิตคนอื่นได้
  2. เราต้องมีความสุขให้ได้ตามเงื่อนไขที่มี
  3. สู้ทีละวัน รอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน


ติดตาม Anontawong’s Musings ตามช่องทางที่สะดวก >> https://linktr.ee/anontawong