เมื่อมีเรื่องกลุ้มใจให้เดินเข้าร้านหนังสือ

เวลาเรามีเรื่องกลุ้มใจ เรามักจะบ่นให้เพื่อนๆ ฟัง หรือถ้าหุนหันเราก็บ่นขึ้น Facebook / Twitter

บางคนอาจเลือกที่จะลืมความกลุ้มใจไปชั่วคราวด้วยการออกไปเที่ยวหรือออกไปดื่มเหล้า พอสร่างเมาก็กลุ้มใจเหมือนเดิม

หนทางหนึ่งที่คนมักไม่นึกถึงกัน เพราะมันเป็นเส้นผมบังภูเขา ก็คือการเดินเข้าร้านหนังสือ

เรื่องกลุ้มใจที่เราเจอ คนอื่นก็เคยเจอ และน่าจะหาทางแก้ได้มาสักพักใหญ่ และได้ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือแล้ว

ดังนั้น ถ้าเราเดินเข้าร้านหนังสือใหญ่ๆ สักหน่อย มองหาหนังสือที่น่าจะไขขอข้องใจให้เราได้ ดูปกหน้า ปกหลัง สารบัญ และลองพลิกอ่านบางบทความว่าอ่านแล้วได้อะไรรึเปล่า

ซื้อหนังสือมาสัก 2-3 เล่มที่น่าจะช่วยไขข้อข้องใจนั้นได้ แล้วก็ให้เวลาอ่านมันเสียหน่อย

บางทีเราจะพบคำตอบที่ไม่อาจพบได้ด้วยวิธีอื่นๆ ครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ INPUT ศิลปะของการเลือก-รับ-รู้ โดยชิอน คาบาซาวะ สำนักพิมพ์ Sandclocks

อีเลียด คิปโชเก้ นักวิ่งมาราธอนแห่งยุคสมัยที่ไม่เคยเฉลิมฉลองชัยชนะ

คนที่วิ่งมาราธอนหรือฮาล์ฟมาราธอนทุกคนน่าจะรู้จัก Eliud Kipchoge นักวิ่งชาวเคนยาวัย 37 ปี เพราะเขาคือนักวิ่งระยะไกลที่ยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับเมสซี่ในโลกฟุตบอลและราฟาเอล นาดาล บนคอร์ตเทนนิส

งาน “INEOS: 1:59” ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2019 ในกรุงเวียนนา คิปโชเก้ไม่ต้องลงแข่งกับใครเลย สิ่งเดียวที่เขาต้องแข่งด้วยคือกำแพง 2 ชั่วโมงที่ไม่เคยมีนักวิ่งมาราธอนคนไหนทำลายได้มาก่อน

มีนักวิ่งชั้นนำมากมายมาร่วมวิ่งกับคิปโชเก้ในฐานะ “pacer” คือวิ่งเป็นเพื่อนในความเร็วที่กำหนดไว้ พอวิ่งครบ 10 กิโลเมตรก็เปลี่ยน pacer ชุดใหม่ ส่วนคิปโชเก้นั้นต้องวิ่งตลอดระยะทาง 42.195 กิโลเมตร

สุดท้ายคิปโชเก้ก็วิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 1:59:40 เป็นการวิ่งจบระยะมาราธอนที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยเพซเฉลี่ย 2:50 (หนึ่งกิโลเมตรใช้เวลาวิ่ง 2 นาที 50 วินาที)

คืนนั้นทางผู้จัดงานเฉลิมฉลองกันยกใหญ่ คิปโชเก้ขึ้นมอบถ้วยรางวัลให้กับนักวิ่ง 41 คนที่มาร่วมวิ่งเป็น pacer จากนั้นอาหารและเหล้ายาปลาปิ้งก็ free flow ไม่อั้น คนส่วนใหญ่ปาร์ตี้กันจนหัวรุ่ง

แต่ตัวคิปโชเก้ที่เป็นพระเอกของงานนั้นไม่แตะต้องแอลกอฮอลแม้แต่หยดเดียว พอมอบรางวัลเสร็จ เขาก็ออกมาจากงานอย่างเงียบๆ และเข้านอนแต่หัวค่ำ


ในงานโตเกียวโอลิมปิก 2020 คิปโชเก้ก็เข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 (ที่สองช้ากว่าคิปโชเก้ 80 วินาที) งานจัดที่ซัปโปโร แต่เป็นธรรมเนียมของโอลิมปิกว่านักวิ่งมาราธอนต้องมารับเหรียญในพิธีปิด พวกเขาจึงต้องบินจากซัปโปโรมาโตเกียวและนั่งรอในห้องรับรองที่สนามบินอยู่ 3 ชั่วโมงเพื่อรอรถมารับไปส่งที่สเตเดี้ยม

ขณะที่ทุกคนหยิบมือถือออกมาเช็คข้อความแสดงความยินดีและฆ่าเวลา คิปโชเก้กลับนั่งเฉยๆ โดยไม่แตะต้องมือถือเลยแม้แต่นิดเดียว

Bashir Abdi นักวิ่งที่ได้เหรียญทองแดงจากเบลเยี่ยมพูดถึงคิปโชเก้แบบขำๆ ว่า “เขาไม่ใช่มนุษย์!”


คิปโชเก้มองว่าการฉลองเป็นเรื่องต้องห้ามและอันตราย มันคือการตามใจตัวเองที่อาจทำให้จิตใต้สำนึกเข้าใจว่าเขาได้มาถึงจุดสูงสุดและไม่มีอะไรต้องบรรลุอีกแล้ว

คิปโชเก้เป็นชาวเคนย่าที่เติบโตมาจากครอบครัวชาวนา ตอนเด็กๆ คิปโชเก้มีหน้าที่ปั่นจักรยานเอานมไปขายที่ตลาดนัด เขาจึงคุ้นเคยกับความยากลำบากเป็นอย่างดี

บ้านเกิดของคิปโชเก้อยู่ที่เมือง Eldoret ซึ่งอยู่ห่างจากไนโรบี เมืองหลวงของเคนยาไป 300 กิโลเมตร แต่ค่ายฝึกซ้อมที่คิปโชเก้เก็บตัวนั้นอยู่ในเมือง Kaptagat ที่อยู่ห่างจาก Eldoret ออกไปอีก 40 นาที

รองเท้าที่คิปโชเก้ใส่ซ้อมนั้นไม่มีตราใดๆ ทั้งสิ้น แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็น Nike AlphaFly รุ่นล่าสุดที่ไนกี้ผลิตให้คิปโชเก้ใส่เพียงคนเดียวเท่านั้น


หลังจากจบงานโตเกียวโอลิมปิก คิปโชเก้หยุดพักจากการซ้อมวิ่งถึงหนึ่งเดือนเต็ม ก่อนจะกลับมาซ้อมด้วยโปรแกรมประมาณนี้

ช่วงเช้า

วิ่งยกละ 1600 เมตรที่เพซ 4:40 พัก 2 นาที x 8 ยก

วิ่งยกละ 400 เมตร ภายในเวลา 64 วินาที และพัก 30-50 วินาที x 8 ยก

ช่วงเย็น

วิ่ง 10 กิโลเมตร เริ่มจากเพซ 5:30 และจบที่เพซ 4:20

คิปโชเก้จะเข้านอนตอนสามทุ่ม และตื่นตี 5.45 ทุกวัน

เขาซ้อมวิ่งสัปดาห์ละ 200-220 กิโลเมตร และมีเซสชั่นฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมถึงมีนวดคลายกล้ามเนื้อกับนักกายภาพที่ทำงานด้วยกันมา 18 ปี

คิปโชเก้ซ้อมทุกวัน แต่จะซ้อมหนักแค่สัปดาห์ละ 3 วัน คือวันอังคารวิ่ง 15-16 กิโลเมตร วันพฤหัสฯ วิ่งระยะยาว 30-40 กิโลเมตร และวันเสาร์ ซ้อม 50 นาทีแบบ ‘Fartlek’ ด้วยการวิ่งเร็ว 3 นาที สลับกับวิ่งจ็อกกิ้ง 1 นาที

“ทุกครั้งที่ผมซ้อม ผมพยายามที่จะไม่ทุ่มเต็ม 100% เพราะร่างกายจะล้าเกินไป ดังนั้นวันอังคาร พฤหัส และเสาร์ ผมจะใส่แรงลงไปซัก 80% ส่วน 4 วันที่เหลือผมจะลงแรงประมาณ 50%” คิปโชเก้อธิบาย

คิปโชเก้ดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร ทานเนื้อไม่เยอะ กินผักที่ปลูกโดยชาวบ้านในละแวกนั้น รวมถึงขนมปังที่ตัวคิปโชเก้อบเองกับมือ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือปริมาณโปรตีนเพราะนักโภชนาการเห็นว่าคิปโชเก้บริโภคโปรตีนน้อยเกินไป

เวลาซ้อมวิ่งระยะ 40k คิปโชเก้จะดื่ม energy drink ยี่ห้อ Maurten แต่นอกจากนั้นเขาไม่ได้กินอาหารเสริมใดๆ ทั้งสิ้น


แม้จะเป็นวีรบุรษของเคนย่าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากมีใครคิดจะจัดงานต้อนรับเขาอย่างยิ่งใหญ่ พาขึ้นรถแห่ขบวนกลางเมือง เขาจะปฏิเสธทุกครั้ง

สิ่งที่คิปโชเก้ต้องการจะสื่อกับคนรุ่นใหม่ก็คือ พวกเขาสามารถเริ่มต้นจากศูนย์ และประสบความสำเร็จได้โดยที่เท้ายังติดดินเหมือนเดิม

“การปฏิเสธชีวิตที่หรูหราทำให้ผมมีโฟกัสมากขึ้นและเป็นคนในแบบที่ผมอยากเป็น ผมอยากให้ชีวิตมันเรียบง่ายเข้าไว้ จะได้ซ้อมให้หนักเท่าที่จะทำได้ ดีกว่าเอาเวลาไปขับรถสปอร์ตหรือนั่งเครื่องบินส่วนตัว”

สิ่งที่คิปโชเก้อยากทำให้สำเร็จต่อจากนี้คือวิ่งงาน World Marathon Majors ให้ครบทั้ง 6 รายการ โดยยังเหลือสามรายการที่คิปโชเก้ยังไม่เคยวิ่ง คือโตเกียว บอสตัน และนิวยอร์ค

เวลามีใครได้ไปเยี่ยมค่ายฝึกซ้อมของคิปโชเก้ พวกเขามักจะแปลกใจในความแสนธรรมดาของมัน

หนึ่งในทีมงานกล่าวว่า “โลกข้างนอกนั้นถูกทำให้ซับซ้อน แต่การซ้อมมาราธอนนั้นเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมากๆ”

ซึ่งคิปโชเก้ก็เห็นตรงกัน “ถ้าคุณซ้อมในโรงยิมเล็กๆ มาตลอดจนประสบความสำเร็จ การไปซ้อมโรงยิมที่ใหญ่ขึ้นไม่น่าจะทำให้คุณเก่งขึ้นได้หรอกนะ”

มีคนอดถามคิปโชเก้ไม่ได้ว่า ตอนเขาได้เหรียญทองโอลิมปิก เขาไม่ได้เฉลิมฉลองอะไรจริงๆ เหรอ ไม่ว่าจะที่ญี่ปุ่นหรือที่บ้านเกิดก็ตาม

“ไม่มีเลย การฉลองจบลงตั้งแต่ตรงเส้นชัยแล้ว”


ขอบคุณข้อมูลจาก Irish Examiner: Eliud Kipchoge: Inside the camp, and the mind, of the greatest marathon runner of all time

30 ประโยคสุดจี๊ดจากพี่อ้อย Club Friday

เมื่อวานนี้ทาง LINE MAN Wongnai ได้เชิญพี่อ้อย Club Friday มา WeShare เนื่องในเดือนแห่งความรัก

เราเคยเชิญพี่อ้อยมา WeShare แล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2018 มารอบนี้พี่อ้อยก็ยังท็อปฟอร์มเหมือนเดิม พูดสดๆ 1.5 ชั่วโมงโดยไม่ต้องมีสไลด์ ไม่ต้องมีโน๊ต ประโยคต่างๆ พรั่งพรูออกมา ทั้งให้ข้อคิด ทั้งแทงใจดำ ผมกับน้องๆ ทีม People จดตามแทบไม่ทัน

นี่คือ 30 ประโยคที่ผมชอบเป็นพิเศษครับ

คนอกหัก / คนโสด

  1. บางคนงานก็หนัก รักก็แย่
  2. รับรู้ไม่ได้แปลว่ารับรักเสมอไป
  3. ทำดีได้ดี แต่ไม่ได้หัวใจนะคะลูก
  4. บางทีเราไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่ต้องการคำปลอบเฉยๆ
  5. วันที่เราอ่อนแออย่าเพิ่งรีบเข้มแข็ง เดี๋ยวแผลจะใหญ่กว่าเดิม
  6. จะรักใครมากแค่ไหน รักตัวเองให้ได้ครึ่งนึงที่รักเขาเราก็รอดแล้ว
  7. เวลาเขาตอบว่า “เลือกไม่ได้” แปลว่าเขาเลือกแล้ว นั่นคือเขาไม่ได้เลือกเรา คำตอบมีมาตั้งแต่ต้น เขาไม่ได้ให้ความหวัง แต่เรายังพร้อมที่จะหลอกตัวเองต่อไป
  8. เราไม่ได้มีความสุขกับความโสดหรอก เพียงแต่คนที่เข้ามาไม่ได้ทำให้เราชอบเขามากพอที่จะสละความสุขจากความโสด

คนมีคู่

  1. เรามักจะงี่เง่ากับคนที่เราให้ความสำคัญ
  2. เรามักจะแสดงความคิดเห็น แม้ยังไม่เห็นด้วยซ้ำ
  3. รักกันไม่ใช่แค่ต้องเชื่อใจกัน รักกันต้องทำตัวให้น่าเชื่อใจด้วย
  4. ความเชื่อใจ สร้างไม่ง่าย ทำลายไม่ยาก แถมลำบากจะเรียกคืน
  5. อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆ ยังไงก็สวย แต่อยู่ด้วยอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
  6. ความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งปกติ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ – แม้แต่ตัวเราเอง
  7. รักทางไกลวันนี้ง่ายกว่าเดิมเยอะ กดปุ่มนึงก็เจอกันแล้ว
  8. ความไกลไม่ได้ทำให้ใจห่าง แต่ทำให้คนที่ไม่ได้รักกันเท่าไหร่แสดงออกกันมากขึ้น
  9. อย่ามัวแต่มองจอจนไม่รอเจอหน้ากัน
  10. มีอะไรคุยกัน ไม่สำคัญเท่ามีอะไรฟังกันหรือเปล่า
  11. อย่ามัวแต่มองข้างหน้าจนลืมมองคนข้างๆ วันหนึ่งความสำเร็จจะอ้างว้างถ้าไม่มีคนข้างๆ ฉลองด้วย

คนมีอดีต

  1. อย่าเอาอดีตมากรีดปัจจุบัน
  2. ความระแวงจะเป็นแรงผลักให้คนอื่นดูน่ารักมากกว่าเรา
  3. ตื่นมาอีกวัน เราก็ห่างอดีตไปอีกวัน ไม่อยากมีปัจจุบันดีดี เลยไปจบอยู่กับอดีตแย่ๆ

คนอื่น

  1. แฟนเก่ากลับมาทัก ไม่ได้แปลว่าเขากลับมารักซะหน่อย
  2. ตอนเป็นแฟนกันยังคาดหวังไม่ได้ เป็นแฟนเก่าจะไปหวังให้เค้าขอโทษเหรอ
  3. ปากอยู่ที่เขา ใจอยู่ที่เรา อย่าให้ปากใครสูงค่าจนทำร้ายหัวใจเราได้
  4. คนที่เราไม่ชอบมักจะอยู่ที่หางตาของเราเสมอ
  5. อย่าทำตัวเองเป็นกล้องวงจรปิดตามติดชีวิตคนที่เราไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็แค่แยกย้าย

คนไม่ยอมแพ้

  1. ยิ้มของเราต่อชีวิตคนอื่นได้
  2. เราต้องมีความสุขให้ได้ตามเงื่อนไขที่มี
  3. สู้ทีละวัน รอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน


ติดตาม Anontawong’s Musings ตามช่องทางที่สะดวก >> https://linktr.ee/anontawong

นิทานการเดินทางของตุ๊กตา

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ฟรานซ์ คาฟก้า (Franz Kafka 1883-1924) นักเขียนวัย 40 ผู้ไม่เคยแต่งงานและไม่เคยมีลูก กำลังเดินเล่นในสวนสาธารณะในเบอร์ลินตอนที่เขาเจอกับเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้เพราะทำตุ๊กตาตัวโปรดหายไป คาฟก้าช่วยเธอหาแต่ก็ไม่เจอ

คาฟก้าบอกกับเด็กน้อยว่า พรุ่งนี้เรามาเจอกันแล้วมาหาตุ๊กตากันใหม่นะ

วันถัดมา คาฟก้ายื่นจดหมายที่ “ตุ๊กตา” เขียนมาให้

“อย่าร้องไห้ไปเลยนะจ๊ะ ฉันกำลังออกเดินทางท่องโลก ไว้ฉันจะเขียนมาเล่าให้เธอฟังถึงการผจญภัยของฉันนะ”

ทุกครั้งที่ทั้งสองมาเจอกัน คาฟก้าจะอ่านจดหมายที่ตุ๊กตาบรรจงเขียนมาหาเด็กน้อย พรรณนาถึงการผจญภัยและบทสนทนาที่เด็กน้อยฟังแล้วชอบใจ

วันหนึ่งคาฟก้าก็นำตุ๊กตามายื่นให้เด็กน้อย บอกว่าตุ๊กตากลับมาถึงเบอร์ลินแล้ว

“ไม่เห็นเหมือนตุ๊กตาของหนูเลย”

คาฟก้ายื่นจดหมายอีกฉบับให้เธอ

“การเดินทางได้เปลี่ยนฉันไปมากมายเลยทีเดียว”

เด็กสาวกอดตุ๊กตาไว้แน่นและพามันกลับบ้านไป

ปีถัดมา คาฟก้าก็เสียชีวิต

วันเวลาล่วงเลยจนถึงวันที่เด็กน้อยโตเป็นผู้ใหญ่ เธอจึงพบจดหมายที่ซ่อนอยู่ในตุ๊กตาตัวนั้น มีเพียงข้อความสั้นๆ ว่า

“ทุกสิ่งที่เธอรักอาจจะจากเธอไป แต่มันจะกลับมาหาเธอในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม”


ขอบคุณนิทานที่สร้างจากเรื่องจริงจาก Quora: Richard Joseph Strachan’s post in Loving and Amazing World

48 เคล็ดวิชาจากหนังสือสกิลขั้นเทพ ของนักบริหารเวลาที่รู้ใจสมอง

  1. การจัดการเวลาแบบ 1 มิติที่พยายามประหยัดเวลา 30 นาทีตรงนั้นตรงนี้ไม่สามารถทลายกำแพงที่ว่าวันหนึ่งมีแค่ 24 ชั่วโมง
  2. การจัดการเวลาแบบ 2 มิติ คือมองว่า เวลา x สมาธิ (ประสิทธิภาพการทำงาน) = ปริมาณงาน ดังนั้นหากเราเพิ่มสมาธิได้ เราจะทำงานเสร็จได้เพิ่มเป็น 2-3 เท่า
  3. เวลา 2-3 ชั่วโมงตอนเช้าหลังตื่นนอน คือช่วงเวลาทองของสมอง เพราะข้อมูลได้รับการจัดระเบียบมาแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะกับการทำงานที่ต้องคิด หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  4. เวลาในช่วงเช้า มีค่ากว่าเวลาตอนกลางคืนถึง 4 เท่า ดังนั้นการเอาเวลาช่วงเช้า 30 นาทีไปเช็คอีเมล ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสียเวลาไป 2 ชั่วโมง
  5. คนงานยุ่งส่วนใหญ่จะแลกด้วยการนอนให้น้อยลง แต่นั่นเป็นวิธีที่ผิด เพราะจะทำให้สมาธิเราต่ำตลอดวัน มีงานวิจัยในญี่ปุ่นที่บอกว่าคนที่นอนน้อยกว่า 6 ช.ม.เป็นประจำนั้น มีอัตราการตายสูงกว่าคนที่นอน 7-8 ชั่วโมงถึง 2.4 เท่า
  6. หากเราบริหารประสิทธิภาพการทำงานจนมีเวลาเพิ่มมากขึ้น 1-2 ชั่วโมง แล้วเอาเวลานั้นไปทำงานเพิ่ม นั่นก็เป็นวิธีที่ผิด เพราะวันๆ จะมีแต่เรื่องงานวนหลูปเรื่อยไป
  7. เทคนิคเรื่องการจัดการเวลาในหนังสือเล่มนี้ คือวิธีการที่ทำให้หลุดพ้นจากความวุ่นวาย โดยกำหนดเวลาการหยุดงานที่แน่นอน และใช้เวลาว่างที่มีมากขึ้นให้เกิดประโยชน์ นี่คือหัวใจของการบริหารเวลาที่หนังสือเล่มอื่นไม่ได้เขียนถึง
  8. ความบันเทิงมีสองแบบ คือ “ความบันเทิงเชิงรับ” อย่างการดูทีวีหรือเล่นเกม และ “ความบันเทิงแบบมีส่วนร่วม” เช่นการเล่นดนตรีหรือเล่นกีฬา หากเราผสมผสานความบันเทิงแบบมีส่วนร่วมไปกับการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ก็จะยิ่งพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
  9. ของบนโต๊ะทำงานควรจะวางเป็นที่เป็นทาง เพราะการเสียเวลาหาของ ก็จะทำให้เราหลุดจากสมาธิและต้องใช้เวลาราว 15 นาทีถึงจะกลับไปมีสมาธิระดับเดิมได้อีกครั้ง
  10. ความฟุ้งซ่านกังวลก็รบกวนสมาธิเช่นกัน ดังนั้นหากมีความคิดแล่นเข้ามาในหัว ให้จดลงกระดาษแล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อไป
  11. หากเขียนลงกระดาษแล้วก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ นั่นเป็นสัญญาณว่าสมองส่วนหน้าของเรากำลังอ่อนล้า เราควรกระตุ้นการผลิตสารเซโรโทนินที่สมองส่วนหน้า ซึ่งมีสามวิธีคือการโดนแสงแดด การออกกำลังกาย และการเคี้ยวอาหาร
  12. เมื่อมนุษย์ถูกบีบคั้น สมองจะหลั่งสาร “นอร์อะดรีนาลีน” ซึ่งสารสื่อประสาทนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ ทำให้สมองมีสมาธิสูงขึ้น เราสามารถกระตุ้นนอร์อะดรีนาลีนได้ด้วยการใช้นาฬิการจับเวลาการทำงาน แต่ไม่ควรใช้นาฬิกาปลุกเพราะเสียงดังอาจทำให้สมาธิแตกได้ในช่วงที่งานยังไม่เสร็จ
  13. อีกวิธีคือการตั้งเดดไลน์ให้ตัวเอง และเคร่งครัดกับเดดไลน์นั้น แล้วประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น สิ่งที่ห้ามทำคือขยับเดดไลน์ ไม่อย่างนั้นสมองก็จะบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็เลื่อนได้” ทำให้นอร์อะดรีนาลีนไม่หลั่ง
  14. อีกเทคนิคหนึ่งคือมีแผนการอื่นจ่อเอาไว้เลย เช่นผู้เขียนมีกำหนดส่งต้นฉบับหนังสือตอนสิ้นเดือนกันยายน เขาเลยจองทริปเที่ยวอเมริกาไว้ตอนต้นเดือนตุลาคม ด้วยวิธีนี้ เขาเลยต้องส่งต้นฉบับให้ทันเพราะไม่อยากขนงานไปทำตอนไปเที่ยว
  15. แว่นตารุ่น JINS MEME สามารถวัดสมาธิผู้สวมใส่ได้ เคยมีการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 500 คน พบว่าสมาธิจะพุ่งขึ้นสูงสุดช่วง 6-7 โมงเช้า จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ และต่ำลงมากในช่วงบ่ายสอง ก่อนจะพุ่งขึ้นมาอีกทีช่วง 4-5 โมงเย็น
  16. ตอนเช้าควรอาบน้ำก่อนเริ่มทำงาน เพราะตอนที่ร่างกายตื่นนอนใหม่ๆ “ระบบพาราซิมพาเทติก” ซึ่งเป็นระบบประสาทยามค่ำคืนยังทำงานอยู่ การอาบน้ำจะเป็นตัวช่วยเปิด “ระบบซิมพาเทติก” ให้ทำงานอย่างเต็มตัว อีกวิธีที่ช่วยได้คือออกกำลังกายหรือเดินเล่นยามเช้า
  17. ในห้องนอน เราควรเปิดม่านไว้นิดนึง เมื่อตอนเช้าแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา แม้ว่าเราจะหลับตาอยู่ แต่แสงแดดจะกระทบจอประสาทตา ทำให้สารเซโรโทนินก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้เรารู้สึกกะปรี้กะเปร่าและอยากตื่นขึ้นมาทำอะไร (คนที่เป็นโรคซึมเศร้า เพราะสมองไม่สามารถผลิตเซโรโทนิน ทำให้เกิดอาการตื่นเช้าไม่ไหว ไม่มีเรี่ยวแรง)
  18. เมื่อตอนตื่นนอน ควรเดินเล่นยามเช้า 15-30 นาที ด้วยความเร็วกว่ามาตรฐานซึ่งจะทำให้ได้รับทั้งแสงแดดและออกกำลังกายไปพร้อมกัน ส่งผลดีต่อเซโรโทนินทั้งคู่
  19. ตื่นเช้ามาห้ามเสพข่าว เพราะสมองยามเช้าเหมือนโต๊ะทำงานที่เรียบร้อย การเสพข่าวยามเช้าเหมือนเป็นการเอาเอกสารมากมายมากองไว้เต็มโต๊ะ ช่วงเช้าจึงไม่ควรใส่ข้อมูลที่ไม่จำเป็นลงในหัวสมอง
  20. เวลาเขียน To Do List อย่ามองแค่ความสำคัญหรือความเร่งด่วน แต่ให้มองถึงระดับสมาธิที่ต้องใช้ในงานนั้นด้วย โดยให้ติดดาวงานที่ต้องใช้สมาธิสูง และทำงานนั้นในช่วงเช้า
  21. วิธีปลุกสมองในยามบ่ายทำได้หลายวิธี เช่นออกกำลังกาย 1 นาที (เช่นวิ่งขึ้นบันได) เปลี่ยนสถานที่นั่งทำงาน หรือเปลี่ยนเนื้อหาการทำงาน
  22. นักวิ่งจะจิบน้ำก่อนที่จะหิวน้ำ คนทำงานอย่างเราก็ควรจะหยุดพักก่อนที่จะเหนื่อยเกินไป ซึ่งหากเราหยุดก่อนจะเหนื่อย การพักแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่จะชาร์จแบตให้ไปต่อได้แล้ว
  23. ช่วงพักไม่ควรดูมือถือ หรือใช้สายตามากเกินไป เพราะสมองของเราใช้พื้นที่ถึง 90% ในการประมวลผลข้อมูลที่เรามองเห็น ดังนั้นควรพักด้วยการทำสิ่งที่ไม่ต้องใช้สายตาเป็นหลัก เช่นฟังเพลง กินของอร่อย ยืดเส้น เดินเล่น หรือแค่นั่งหลับตาเฉยๆ ก็ช่วยพักสมองได้เยอะมากแล้ว
  24. Ultradian Rhythm ของเราจะอยู่ที่ประมาณ 90 นาที เมื่อถึงจุดที่ง่วงที่สุด การได้งีบแค่ 5 นาทีจะทำให้สมองปรอดโปร่งและมีสมาธิสูงไปอีก 90 นาทีได้เลย
  25. ควรกำหนดเวลาเลิกงานให้ชัดเจน จะเป็นหกโมงหรือทุ่มนึงก็ได้ แล้วก็ใช้วิธีวางกิจกรรมอย่างอื่นไว้ล่วงหน้า ผู้เขียนมักจะจองตั๋ววันที่หนังเข้าโรงเอาไว้ จะได้ทำงานอย่างกระตือรือร้นเพื่อให้เสร็จตามเวลาและไปดูหนังให้ทัน
  26. หากเราออกกำลังกายช่วงเย็น เราจะมีช่วงเวลาที่สมองมีสมาธิอีกครั้งในช่วงค่ำ เราสามารถเอาเวลานี้ไปทำงานส่วนตัวที่ต้องใช้สมาธิได้
  27. ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชื่อดังระดับโลก ออกกำลังกายด้วยการวิ่งวันละ 1 ชั่วโมงทุกวันมา 20 ปีแล้ว มูราคามิบอกว่า ถ้าไม่ได้วิ่งเขาจะเขียนหนังสือไม่ออก
  28. การออกกำลังกายเป็นเทคนิคช่วยเพิ่มเวลาได้ดีที่สุด จากงานวิจัยที่ติดตามคน 400,000 คนเป็นเวลา 8 ปี การออกกำลังกายเพียงวันละ 15 นาที ลดอัตราการเสียชีวิตได้ 14% ทำให้คนอายุยืนขึ้นโดยเฉลี่ย 1,002 วันหรือ 3 ปีเลยทีเดียว
  29. ออกกำลังกายวันละ 15 นาที x 365 วัน x 8 ปี = 43,800 นาทีหรือประมาณ 30 วัน แต่ได้อายุที่ยืนยาวขึ้น 3 ปี ผลตอบแทน 33 เท่า
  30. ควรออกกำลังกายตอนไหนดี – อุณหภูมิร่างกายของคนเราจะขึ้นสูงตอน 16.00 จึงเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเผาผลาญดีที่สุด เหมาะแก่การลดน้ำหนัก แต่สำหรับพนักงานประจำนี่เป็นเรื่องยาก ดังนั้นเวลาที่ดีรองลงมาคือหลังเลิกงาน แต่สิ่งที่ควรระวังคือต้องออกกำลังกายให้เสร็จอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ
  31. ยิ่งออกกำลังกาย ยิ่งมีเวลามากขึ้น เพราะช่วยฟื้นฟูเซลล์สมอง เริ่มวันใหม่ด้วยกายและใจที่เต็มร้อย มีสมาธิการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
  32. ยิ่งอ่อนล้า ยิ่งต้องออกกำลังกาย เพราะจะทำให้ร่างกายผลิต growth hormone ที่กระตุ้นการเผาผลาญและชะลอวัย แค่ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วๆ อย่างน้อยในช่วงสุดสัปดาห์ก็ยังดี
  33. คนทำงานทั่วไปพลังงานจะค่อยๆ ตกลงตลอดสัปดาห์ แล้วค่อยไปฟื้นฟูวันเสาร์อาทิตย์ แต่ผู้เขียนแนะนำว่าเราต้องมี “ชีวิตที่ไม่พกพาความเครียดข้ามคืน” ซึ่งถ้าทำได้ พลังงานเราก็จะถูกฟื้นฟูกลับมาใหม่ทุกวันโดยไม่ต้องรอช่วงสุดสัปดาห์
  34. วิธีการฟื้นฟูที่ดีที่สุดคือการมีปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับเพื่อนฝูง คนรัก หรือสัตว์เลี้ยง การมีปฎิสัมพันธ์จะทำให้สมองหลั่งสารออกซิโทซินที่สามารถซ่อมแซมเซลล์ในร่างกายและสร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี
  35. เราต้องรู้จักผ่อนช้า ผ่อนเร็ว ช่วงกลางวันระบบประสาทซิมพาเทติก (จังหวะเร็ว) จะทำงาน ช่วงกลางคืนควรจะปล่อยให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (จังหวะช้า) ทำงาน เพื่อที่เราจะสามารถพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายได้อย่างแท้จริง
  36. หากเราเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน (หรือทำงานล่วงเวลาในกรณี WFH) เราจะไม่มี “จังหวะช้า” เลย ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ และการติดนิสัยคิดว่า “เดี๋ยวตอนกลางคืนค่อยทำต่อก็ได้” จะทำให้เราไม่จริงจังกับการทำงานช่วงกลางวันเท่าที่ควรอีกด้วย
  37. ชีวิตถูกลิขิตด้วย 2 ชั่วโมงก่อนนอน – สิ่งที่ห้ามทำในช่วงเวลานี้คือทานอาหาร ดื่มเหล้า แช่น้ำร้อนจัด เล่นมือถือ หรืออยู่ในห้องที่สว่างเกินไป เพราะระบบพาราซิมพาเทติก (จังหวะช้า) จะไม่ทำงาน ทำให้เรานอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิทจนร่างกายไม่สามารถเยียวตัวเองได้ ถ้าเป็นบ่อยๆ ก็จะเจ็บป่วยในที่สุด
  38. 15 นาทีก่อนนอนคือเวลาทองของความจำ เพราะเมื่อเราป้อนอะไรเข้าไป มันจะไม่ต้องไปปะทะกับข้อมูลอื่นอีกต่อไป หากต้องการท่องจำคำศัพท์ การใช้ช่วงเวลานี้จะทำให้เราจำได้ดีมาก
  39. เราต้องไม่ทำลายจังหวะของตัวเอง เมื่อเราทำสิ่งใดเป็นกิจวัตรแล้ว ร่างกายจะจำและสร้างจังหวะชีวิตขึ้นมาได้ ตอนเช้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำ ทำให้มีสมาธิสูงสุด แล้วเรามีรีเซ็ตอีกครั้งด้วยการรับประทานอาหารเที่ยง และรีเซ็ตอีกครั้งด้วยการออกกำลังกายตอนเย็น ทำให้เราสามารถควบคุมสมาธิของเราให้อยู่ในระดับสูงได้เกือบทั้งวัน
  40. เทคนิคการทำงานแบบ For You – ผู้เขียนจะให้ความสำคัญกับงานที่คนอื่นรออยู่เป็นอันดับแรก ถ้าเราส่งงานช้ากว่าเดดไลน์ไป 1 วัน นั่นแสดงว่าคนอื่นๆ ที่ต้องทำงานต่อจากเราจะมีเวลาทำงานน้อยลง 1 วันทันที นี่เป็นการผลักภาระและทำให้คนอื่นเดือดร้อน
  41. ไปถึงก่อนเวลานัด 30 นาที เราจะได้ไม่ต้องรีบ และสามารถใช้เวลาช่วงที่รอทำงานได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
  42. เวลาจัดสัมมนา ผู้เขียนจะเริ่มตรงเวลาเสมอ เพราะการให้คน 100 คนรอเพิ่ม 3 นาทีเท่ากับต้องเสียเวลาไปทั้งหมด 5 ชั่วโมง ผู้เข้าร่วมสัมมนาก็ขาดทุนเพราะเวลาบรรยายน้อยลง
  43. การประชุมก็เช่นกัน ถ้าเราเริ่มช้า 5 นาทีเสมอ ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ก็จะคิดว่า “ยังไงก็เริ่มช้าอยู่แล้ว” จึงมาไม่ตรงเวลาและกลายเป็นวงจรอุบาทว์
  44. เมื่อเราเคร่งครัดกับเวลา เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนอื่นด้วยเช่นกัน อีกฝ่ายจะเริ่มมาก่อนเวลานัดหมาย และจะไม่มาสายอีกเลย
  45. สิ่งสำคัญที่สุดที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะสื่อก็คือ “จงทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงกลางวัน และสนุกสนานกับชีวิตในเวลากลางคืนเพื่อเติมพลังให้ตัวเอง”
  46. ดูเหมือนว่าบางคนจะรู้สึกผิดต่อการใช้ชีวิตให้สนุก แต่ที่จริงแล้วคุณสนุกกับชีวิตได้มากกว่านั้น ชีวิตไม่ได้มีแค่งาน ชีวิตไม่ได้มีแค่คำว่าอดทนอดกลั้นหรือขยันหมั่นเพียร
  47. อย่าทำงานอย่างเอาเป็นเอาตายโดยหวังว่าจะมีความสุขในอีก 10 ปีข้างหน้า อนาคตเป็นเพียงความฝัน ปัจจุบันต่างหากที่เป็นความจริง
  48. คนที่ไม่สามารถมีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้ ย่อมไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดไป

ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ สกิลขั้นเทพของนักบริหารเวลาที่รู้ใจสมอง ผู้เขียน ชิอน คาบาซาวะ (Shion Kabasawa) ผู้แปล พนิดา กวยรักษา สำนักพิมพ์ อมรินทร์ How to