ขั้วตรงข้ามของความสำเร็จไม่ใช่ความล้มเหลว

จริงๆ แล้วความล้มเหลวเป็น milestone ของความสำเร็จ

เพราะเมื่อเราผิดพลาดหรือคาดการณ์ผิด นั่นคือ mini failures และสิ่งที่ได้กลับมาคือการเรียนรู้

เมื่อรู้แล้วไม่ทำผิดซ้ำ เราก็จะก้าวต่อไปได้อีกขั้น เดินไปต่อได้อีกวัน แล้วเราก็จะเจอโจทย์ใหม่ๆ ให้เราผิดพลาดและล้มเหลวไปเรื่อยๆ

ยิ่งเผชิญและแก้ไขข้อผิดพลาดและล้มเหลวเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าอย่างนั้นแล้วขั้วตรงข้ามของความสำเร็จคืออะไร?

คือการไม่ลงมือทำ

เพราะการไม่ลงมือทำ ก็เหมือนกับการไม่ได้ออกวิ่ง ณ จุดสตาร์ท

ถ้าเปรียบเป็นการวิ่งทางไกล จุด START คือการลงมือ Checkpoints คือความล้มเหลว และจุด FINISH คือความสำเร็จ

ดังนั้น หากได้ออกวิ่ง ไม่รีบร้อนเร่งฝีเท้าจนหมดแรงไปเสียก่อน เราจะค่อยๆ วิ่งผ่าน checkpoints ไปเรื่อยๆ

เก็บ checkpoints ครบเมื่อไหร่ ก็ถึงเส้นชัยได้แน่นอนครับ

รองประธานฝ่ายคอขวด

รองประธานฝ่ายคอขวด

ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้จัดการหรือผู้บริหารมักจะเจอกันคือทำงานไม่ทัน

เหตุผลมีด้วยกันหลายอย่าง แต่ถ้าเป็นเหตุผลคลาสสิคก็จะประมาณ 3 ข้อนี้

– งานเกือบทุกอย่างยังต้องให้เราอนุมัติอยู่

– ลูกทีมยังทำงานไม่ได้ดั่งใจ

– เราชอบเอางานมาทำเอง เพราะว่าเสร็จเร็วกว่า คุณภาพดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาสอน

เมื่อเรายังปล่อยวางความรู้สึกอยากเป็นคนสำคัญไม่ได้จนต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในทีม ต่อให้เราทำงานวันละ 10 ชั่วโมงก็ยังทำงานไม่ทันไม่อยู่ดี

ยิ่งมีเรื่องให้เราต้องตัดสินใจมากเท่าไหร่ งานก็ยิ่งคั่งค้างมากเท่านั้น เมื่อตัดสินใจไม่ได้งานก็ไม่ออก ทุกอย่างเลยช้าไปหมด

หัวหน้าหลายคนเลยมีตำแหน่งกิตติมศักดิ์ที่ชื่อว่า VP of Bottlenecking – รองประธานฝ่ายคอขวด

ถ้าเราไม่ได้นิยมชมชอบตำแหน่งนี้ ก็แก้ไขได้โดยการ

– ไว้ใจลูกทีมให้มากขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาเขายังไม่ได้แสดงหลักฐานให้เราไว้ใจก็ตาม

– กระจายอำนาจ โดยเริ่มต้นจากงานที่ไม่ได้ critical มากนัก

– หักห้ามใจไม่ลงไปทำงานที่ไม่ต้องเป็นเราทำก็ได้

– ให้เวลากับการโค้ชน้อง เขาจะได้เก่งขึ้น มีอนาคต และมาช่วยแบ่งเบาภาระเราได้

ขอให้หลุดพ้นจากการเป็น VP of Bottlenecking ในเร็ววันนะครับ

—–


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ The Coaching Habit by Michael Bungay Stanier

เหตุผลที่ผู้ชายควรวิดพื้นให้ได้ 40 ครั้ง

เมื่อต้นปี 2019 ฮาร์วาร์ดได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยที่มีผู้เข้าร่วมเป็นนักดับเพลิง 1,104 คน อายุเฉลี่ย 40 ปี และยังไม่มีใครเป็นโรคหัวใจ

ทุกคนต้องวิดพื้นให้ได้มากที่สุดใน 1 นาที รวมถึงวัดความฟิตบนลู่วิ่งไฟฟ้าด้วย

หลังจากเวลาผ่านไป 10 ปี นักวิจัยก็พบว่าคนที่วิดพื้นได้มากที่สุดมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจน้อยที่สุด

ถ้าดูข้อมูลให้ลึกลงไปอีก คนที่วิดพื้นได้ไม่น้อยกว่า 40 ครั้งมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่วิดพื้นได้ไม่ถึง 10 ครั้งถึง 96%!

คนที่วิดพื้นได้ 11 ครั้งขึ้นไปก็มีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยลงเช่นกัน และยิ่งวิดพื้นได้มากเท่าไหร่ โอกาสเป็นโรคหัวใจก็น้อยลงเท่านั้น

หากดูผลวัดความฟิตบนลู่วิ่งไฟฟ้าก็สามารถบอกโอกาสการเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน โดยมีความแม่นยำพอๆ กับความสามารถในการวิดพื้น

คงต้องขอจบบทความแต่เพียงเท่านี้ เพราะจะรีบไปวิดพื้นครับ


ขอบคุณเนื้อหาจาก Harvard Health Publishing: More push-ups may mean less risk of heart problems

บทความสำหรับคนที่คิดว่าชีวิตมนุษย์ไม่มีคุณค่าอันใด

อากาศของโลกในปัจจุบันมีไนโตรเจน 78% ออกซิเจน 21% คาร์บอนไดออกไซด์ 0.04% ที่เหลือเป็นแก๊สชนิดอื่น

ย้อนไปเมื่อ 2.5 พันล้านปีที่แล้ว โลกเรามีไนโตรเจน 80% คาร์บอนไดออกไซด์ 19% และออกซิเจนเพียง 0.05%

ด้วยออกซิเจนเพียงน้อยนิด โลกยุคนั้นจึงแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตอันใดอาศัยอยู่ได้ยกเว้นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (single-celled organisms)

โชคดีที่ในบรรดาสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวนั้น มีไซยาโนแบคทีเรีย (cyanobacteria) ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย

ความสามารถพิเศษของไซยาโนแบคทีเรียคือการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) ที่รับแสงจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นออกซิเจน

เมื่อประมาณ 2.5 พันล้านปีที่แล้ว ไซยาโนแบคทีเรียเริ่มขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลก และค่อยๆ เปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นออกซิเจนที่เราได้ใช้หายใจกันอยู่ทุกวันนี้ (สัดส่วนของออกซิเจนเพิ่มจาก 0.05% เป็น 21% ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์ลดจาก 19% เป็น 0.04%)

กระบวนการนี้กินเวลาเป็นพันล้านปี เพราะแบคทีเรียต้องสร้างออกซิเจนมากพอจนน้ำในมหาสมุทรอิ่มตัวไปด้วยออกซิเจนเสียก่อน (saturate the seas) จากนั้นก็ต้องมากพอที่จะทำให้พื้นผิวโลกเต็มไปด้วยออกซิเจน (saturate the earth) แล้วสุดท้ายถึงจะมีออกซิเจนลอยมาอยู่ในอากาศได้ ซึ่งก็คือเมื่อ 900 ล้านปีที่แล้ว

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อ 600 ล้านปีที่แล้ว นั่นคือการก่อตัวของชั้นโอโซนที่เกิดจากออกซิเจนของไซยาโนแบคทีเรียเหล่านี้

นี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะก่อนจะมีชั้นโอโซน ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกนั้นไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์แม้แต่นิดเดียว

แต่เมื่อโลกมีโอโซน ก็เกิด Cambrian explosion ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางชีวภาพที่สิ่งมีชีวิตหลายชนิดอุบัติขึ้นในท้องทะเลพร้อมๆ กัน และไม่นานพืชชนิดแรกก็ขึ้นไปเติบโตบนพื้นผิวโลกได้

ดังนั้นสิ่งมีชีวิตแทบทุบผู้ทุกนามบนโลกใบนี้ – รวมถึงตัวเราด้วย – ล้วนเป็นหนี้บุญคุณของไซยาโนแบคทีเรีย

แบคทีเรียเหล่านี้ไม่ได้จากเราไปไหน ลูกหลานของมันคือคลอโรพลาสต์ (chloroplasts) ซึ่งอยู่ในพืชพันธุ์นานาชนิดและยังทำหน้าที่สังเคราะห์แสงกันต่อไป

ต้นไม้จึงเป็นเหมือน “เงาสะท้อนลมหายใจ” ของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง เราหายใจเอาออกซิเจนเข้ามา และหายใจออกเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนต้นไม้ก็หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และหายใจออกเป็นออกซิเจน


ลองคิดภาพว่าเราเกิดเป็นไซยาโนแบคทีเรียเมื่อ 2.5 พันล้านปีที่แล้ว

เราลืมตาขึ้นมา มีชีวิตอยู่แค่สองสัปดาห์ แล้วก็ตายจากไป

แล้วเราก็คงรู้สึกว่า ชีวิตเราช่างไร้ความหมายยิ่งนัก โลกตอนที่เราเกิด กับโลกตอนที่เราตายก็หน้าตาเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน

ไซยาโนแบคทีเรียอย่างเราไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเรานั้นเป็นส่วนก่อเกิดของสิ่งมีชีวิตอเนกอนันต์ในกาลต่อมา

ความหมายของชีวิตมนุษย์คืออะไร จึงอาจอยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะเข้าถึงและเข้าใจได้ เหมือนกับที่ไซยาโนแบคทีเรียไม่มีทางเข้าใจว่าชีวิตของมันมีความหมายอย่างไร

เมื่อมองไปยังจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เราย่อมรู้สึกว่าตัวเราช่างน้อยนิด เป็นเพียงหนึ่งในประชากร 7 พันล้านคน จะไปสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้

แต่การใช้ชีวิตของเราจะส่งผลต่อคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง ซึ่งจะส่งผลต่อสังคม ต่อประเทศชาติ ต่อระบบนิเวศน์และโลกใบนี้

ถ้าแบคทีเรียเซลล์เดียวยังสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินให้กับโลกทั้งใบได้

มนุษย์ตัวน้อยๆ อย่างเราก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกันครับ


ขอบคุณเนื้อหาส่วนใหญ่จาก TedX Taipei | Tom Chi | Everything is Connected — Here’s How

นิทานคางคก

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นคนเคร่งครัดรักษาศีลมาก ไม่ยอมผิดศีลแม้แต่นิดเดียว

วันหนึ่งมีธุระลงไปจากเขา ขากลับก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด
ขณะที่เดินผ่านสระน้ำแห่งหนึ่ง รู้สึกที่เท้าได้เหยียบอะไรนิ่มๆ แล้วก็มีเสียงดัง
ขึ้นมาเสียงหนึ่งแล้วเงียบหายไป เหมือนกับได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของอะไรสักอย่าง

พระรูปนั้นคิดในใจว่า

“ตายแล้ว หรือว่าไปเหยียบคางคกตายเสียแล้ว รู้สึกนิ่มๆ มีเสียงร้องด้วย ไม่แน่
คางคกนั้นอาจตั้งท้องด้วย นี่เรามิฆ่าสัตว์ทีเดียวไปตั้งหลายตัวหรือ?”

พระรูปนั้นยิ่งคิดยิ่งกลัว นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ยากที่จะข่มตาหลับลงได้

ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ พระก็เห็นคางคกนับร้อยมาทวงขอชีวิต

พระร้องเสียงดังจนตกใจตื่น จึงรู้ว่าเป็นเพียงความฝัน และนอนคิดวิตกต่อไปทั้งคืน

ครั้นพอถึงรุ่งเช้า พระรูปนั้นรีบไปที่สระน้ำเมื่อคืน ไม่เห็นมีคางคกที่ไหนตาย มีเพียงมะเขือเทศที่โดนเหยียบจนแบน


ขอบคุณนิทานจากเว็บ What Am I