นิทานเกลือเค็ม

20160930_salt

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่ง

และเนื่องจากทัศนคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวล จิตใจไม่เป็นสุข

วันหนึ่ง อาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมา จึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง จากนั้นจึงโปรยลงไปในแก้วน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่ม พลางกล่าวถามว่า

“รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร?”

“เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าเหยเก

จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือ โปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า

“ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ”

ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม

อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”

ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”

“ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ

“ไม่มี” ศิษย์ตอบ

อาจารย์เซนได้ฟัง จึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยต่อไปว่า

“ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือ มันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”


ขอบคุณนิทานจาก Manager Online: นิทานเซน: รสชาติของเกลือ 

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

กุญแจดอกสุดท้าย

20162928_lastkey

Don’t give up. Normally it is the last key on the ring which opens the door.

– Paulo Coelho

ผมไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้มานานแล้ว

สถานการณ์ที่คิดงานไม่ออก

ผมปลุกปั้นกับมันมาตลอดสัปดาห์ แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน อาจเป็นเพราะว่าไม่คุ้นเคยกับงานชิ้นนี้ ทำอะไรก็เลยพลอยขาดความมั่นใจและออกนอกทะเลตลอด

เหมือนผมกำลังจะเข้าประตูบานหลังใหม่ กุญแจหลายต่อหลายดอกที่ผมเคยใช้ประจำเลยไร้ประโยชน์

วันศุกร์นี้ต้องส่งงานแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะเสร็จทันรึเปล่า

โชคดีที่ได้เพื่อนร่วมทีมช่วยชี้ทางให้บ้าง ทำให้ดูไม่สิ้นหวังเกินไปนัก

และประโยคนี้ก็ช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้น

Don’t give up. Normally it is the last key on the ring which opens the door.

คงต้องลองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอกุญแจที่ไขประตูบานนี้ได้ครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

แรงขับเคลื่อนของเราในวันนี้

20160927_momentum

บางอย่างมันหมดอายุไปแล้วหรือยัง?

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แฟนบ่นกับผมว่าอยากกินข้าวหน้าปลาไหล ผมก็เลยบอกกับเธอว่าไว้วันอาทิตย์กลับจากพัทยาถ้ามีจังหวะเราไปกินกันมั้ย

แต่สุดท้ายวันอาทิตย์เราก็ไม่ได้ไปกิน แฟนเองก็ไม่ได้เอ่ยถึง ไม่แน่ใจว่าเพราะลืม เพราะเหนื่อย หรือเพราะว่าไม่ได้รู้สึกอยากกินแล้ว

ผมว่าหลายคนก็น่าจะเคยเจออารมณ์นี้นะ อารมณ์ที่อยากกินอะไรบางอย่างมากๆ แต่พอผ่านไปซักสองสามวันกลับรู้สึกเฉยๆ แล้ว

ความอยากก็เหมือนขนมปังปอนด์ ทุกก้อนมีวันหมดอายุของมัน

ความอยากบางชนิดก็อายุสั้น ความอยากบางชนิดก็อยู่ได้ยาวหน่อย แต่สุดท้ายก็ต้องหมดอายุอยู่ดี

ปัญหาก็คือ บางทีเราก็เผลอคิดไปว่าเรายังอยากอยู่ ทั้งๆ ที่จริงๆ เราไม่ได้อยากแล้ว

ผู้หญิงที่เราตามจีบมาแรมปี จริงๆ แล้วเรายังชอบเขาอยู่ หรือเราทำไปเพราะความเคยชินและไม่อยากยอมแพ้?

รถคันนั้นที่เก็บตังค์ซื้อมาหลายเดือน ตอนนี้เรายังอยากได้มันจริงๆ หรือเปล่า?

ความฝันบางอย่างที่บอกว่าอยากทำมานาน ตอนนี้มันยังเป็นความฝันของเราอยู่หรือไม่?

ผมไม่ได้จะมาบอกให้ล้มเลิกความฝันหรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ นะครับ

เพียงแต่คิดว่าเราควรคอยสำรวจตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าไอ้ความอยากที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้มันยังสอดคล้องกับตัวตนของเราในวันนี้รึเปล่า

เพราะความอยากมันเป็นก้อนเดิม แต่ตัวเราเองโตขึ้นทุกวัน

การทำให้สมอยากนั้นต้องใช้แรงและเวลา จึงไม่ควรเสียมันไปกับเรื่องที่เราไม่ได้อยากทำจริงๆ ครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

หยดน้ำตัดหินได้

20160927_waterstone

ไม่ใช่เพราะว่ามันมีกำลังเยอะ

แต่เพราะว่ามันหยดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

กำแพงในชีวิตต่อให้สูงใหญ่แค่ไหน ดูแล้วเกินกำลังของเราเพียงใด หากเราเผชิญหน้ากับมันทุกวันด้วยสติและปัญญา สุดท้ายเราก็ย่อมจะปีนข้ามหรือแม้กระทั่งทลายกำแพงลงมาได้

เราทุกคนมีหยดน้ำของตัวเอง

หนึ่งในหยดน้ำของผมคือการเขียนบล็อก

เขียนบล็อกวันละหนึ่งหยด

และถ้าไปดูในหน้า archives ก็จะอดชื่นใจไม่ได้ว่าหยดน้ำเริ่มกลายเป็นน้ำตกแล้ว

คนที่อ่านบล็อกผม อ่านครั้งแรกก็อาจไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่ถ้าได้อ่านหลายๆ ตอน ผมก็เชื่อว่าน่าจะช่วยให้เขามีมุมมองอะไรที่กว้างขวางกว่าเดิม


ในมุมกลับ การกระทำที่มีพลังงานลบซ่อนอยู่แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นหยดน้ำตัดหินได้เหมือนกัน

เช่นคำพูดบางคำที่เราใช้กับคนใกล้ตัวโดยไม่ทันคิด

พูดหนึ่งครั้งไม่เป็นไร พูดสิบครั้งเขาอาจเริ่มรู้สึก และเมื่อพูดร้อยครั้งเขาอาจหมดความอดทน

เราทุกคนมีหยดน้ำของตัวเอง

แต่ละวันเราหยดน้ำแบบไหนลงไปบ้าง?

ใช้มันอย่างระมัดระวังนะครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อดีตอันหอมหวาน

20160926_past

เมื่อวานนี้ขณะขับรถกลับจากพัทยา ผมฮัมเพลง “คนดี” ของวง POP ในใจเบาๆ ก็รู้สึกว่า ผมนี่โชคดีจังที่ได้โตมาในยุค 90’s

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กระแสอัลเทอร์เนทีฟมาแรง ค่ายเพลงเล็กๆ อย่างเบเกอรี่ก็ผลิตศิลปินเจ๋งๆ มามากมายหลังจากที่แกรมมี่และอาร์เอสครองตลาดมานาน

และถ้าคุณเล่นกีตาร์ในยุคนั้นก็จะฟินมาก เพราะมีโซโล่กีตาร์ทั้งวงฝรั่งวงไทยให้แกะเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นท่อนอินโทรเพลงบุษบาของวงโมเดิร์นด๊อกหรือ Tears in Heaven ของ Eric Clapton

แล้วผมก็รู้สึกว่าเสียดายแทนคนที่โตมาในยุคนี้ที่จะไม่ได้เจอบรรรยากาศอย่างนั้นอีกแล้ว


เช้านี้ผมอ่านเจอประโยคโดนใจประโยคหนึ่ง

The reason people find it hard to be happy is that they always see the past better than it was, the present worse than it is and the future less resolved than it will be.

เหตุที่คนเราหาความสุขได้ยาก เพราะเรารู้สึกว่าอดีตดีกว่าที่มันเป็น ปัจจุบันแย่กว่าที่มันเป็น และอนาคตยุ่งยากกว่าที่มันเป็น

– Marcel Pagnol

ทำให้ผมต้องกลับมานั่งทบทวนอดีตอันหอมหวานว่ามันดีอย่างที่เราคิดรึเปล่า

เพราะขณะที่ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุค 90’s นั้น ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามัน “ยอดเยี่ยมไปเลย”

จริงๆ แล้วตอนนั้นอาจรู้สึกเฉยๆ กับมันด้วยซ้ำ เพราะแม้จะมีเรื่องดีๆ ในโลกดนตรี ผมก็มีเรื่องให้ขัดข้องใจมากมายตามประสาวัยรุ่น

เช่นกัน ปี 2016 นี้ผมอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรให้น่าตื่นเต้นเลย แต่จากนี้ซัก 15 ปี ถ้าผมมองย้อนกลับมา ผมอาจจะรู้สึกว่าช่วงปี 2010-2020 นี้เป็นยุคที่ดีมากๆ ก็ได้

เพราะเราจำอดีตได้ดีว่าที่มันเป็นเสมอ

และเราก็มักจะมองไม่เห็นสิ่งดีๆ ในปัจจุบัน

พอเกิดความลำเอียงทั้งสองข้อนี้ เราก็เลยมัวแต่โหยหาอดีตและขัดใจกับปัจจุบัน

ดังนั้นเราจึงควรระลึกเอาไว้เสมอว่า “ปัจจุบันอันธรรมดา” จะกลายเป็น “อดีตอันหอมหวาน” ในไม่ช้า

จะได้ไม่ดิ้นรนหรือเดือดเนื้อร้อนใจจนเกินเหตุครับ


อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com