เมื่อวานนี้ขณะขับรถกลับจากพัทยา ผมฮัมเพลง “คนดี” ของวง POP ในใจเบาๆ ก็รู้สึกว่า ผมนี่โชคดีจังที่ได้โตมาในยุค 90’s
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กระแสอัลเทอร์เนทีฟมาแรง ค่ายเพลงเล็กๆ อย่างเบเกอรี่ก็ผลิตศิลปินเจ๋งๆ มามากมายหลังจากที่แกรมมี่และอาร์เอสครองตลาดมานาน
และถ้าคุณเล่นกีตาร์ในยุคนั้นก็จะฟินมาก เพราะมีโซโล่กีตาร์ทั้งวงฝรั่งวงไทยให้แกะเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นท่อนอินโทรเพลงบุษบาของวงโมเดิร์นด๊อกหรือ Tears in Heaven ของ Eric Clapton
แล้วผมก็รู้สึกว่าเสียดายแทนคนที่โตมาในยุคนี้ที่จะไม่ได้เจอบรรรยากาศอย่างนั้นอีกแล้ว
เช้านี้ผมอ่านเจอประโยคโดนใจประโยคหนึ่ง
The reason people find it hard to be happy is that they always see the past better than it was, the present worse than it is and the future less resolved than it will be.
เหตุที่คนเราหาความสุขได้ยาก เพราะเรารู้สึกว่าอดีตดีกว่าที่มันเป็น ปัจจุบันแย่กว่าที่มันเป็น และอนาคตยุ่งยากกว่าที่มันเป็น
– Marcel Pagnol
ทำให้ผมต้องกลับมานั่งทบทวนอดีตอันหอมหวานว่ามันดีอย่างที่เราคิดรึเปล่า
เพราะขณะที่ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุค 90’s นั้น ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามัน “ยอดเยี่ยมไปเลย”
จริงๆ แล้วตอนนั้นอาจรู้สึกเฉยๆ กับมันด้วยซ้ำ เพราะแม้จะมีเรื่องดีๆ ในโลกดนตรี ผมก็มีเรื่องให้ขัดข้องใจมากมายตามประสาวัยรุ่น
เช่นกัน ปี 2016 นี้ผมอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรให้น่าตื่นเต้นเลย แต่จากนี้ซัก 15 ปี ถ้าผมมองย้อนกลับมา ผมอาจจะรู้สึกว่าช่วงปี 2010-2020 นี้เป็นยุคที่ดีมากๆ ก็ได้
เพราะเราจำอดีตได้ดีว่าที่มันเป็นเสมอ
และเราก็มักจะมองไม่เห็นสิ่งดีๆ ในปัจจุบัน
พอเกิดความลำเอียงทั้งสองข้อนี้ เราก็เลยมัวแต่โหยหาอดีตและขัดใจกับปัจจุบัน
ดังนั้นเราจึงควรระลึกเอาไว้เสมอว่า “ปัจจุบันอันธรรมดา” จะกลายเป็น “อดีตอันหอมหวาน” ในไม่ช้า
จะได้ไม่ดิ้นรนหรือเดือดเนื้อร้อนใจจนเกินเหตุครับ
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com