โซเชียลหลอกให้เราแคร์ในสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะแคร์

หนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดของเฟซบุ๊คคงหนีไม่พ้น News Feed

มันคือหน้า Home ที่เราเข้ามาแล้วเจอข่าวสารต่างๆ ทั้งจากเพื่อนฝูง เพจที่เราติดตาม และเพจที่เฟซบุ๊คคิดว่าเราน่าจะชอบ

ซึ่งบางทีมันก็ดี มันทำให้เราได้เจอเรื่องใหม่ๆ ได้เจอคนใหม่ๆ หรือได้เจอเรื่องเก่าๆ ที่เราหลงลืมไปนานแล้ว

แต่ในมุมกลับกัน มันก็ทำให้เราได้พบเห็นเรื่องที่เราอาจไม่เคยคิดสนใจตั้งแต่ต้น แม้ว่ามันอาจจะอยู่ในกระแส แต่ก็เป็นหัวข้อที่เราคงไม่เคยคิดคิดจะกูเกิ้ลหาข้อมูล

ผมเคยอ่านเจอมาสักที่ว่า: The problem with social media is that they make you care about things you don’t want to care about.

เมื่อเราเอาเวลาไปแคร์เรื่องที่เราไม่ได้อยากแคร์ เราย่อมเหลือเวลาแคร์เรื่องที่ควรแคร์หรือคนที่ควรแคร์น้อยลงไปอย่างช่วยไม่ได้

บางคนอาจจะแย้งว่า ไม่ดีเหรอ ได้เปิดโลก ได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้

แต่ในความเป็นจริง เราน่าจะรู้เรื่องที่ควรรู้ไปหมดแล้ว สิ่งที่เราขาดแคลนไม่ใช่ความรู้ สิ่งที่เราขาดคือทิศทาง ความต่อเนื่อง และความอดทนมากกว่า

ต่อให้วันนี้เราอ่านเรื่องราวใหม่ๆ ได้หนึ่งร้อยเรื่อง มันก็ยังมีเรื่องที่น่าสนใจนับหมื่นนับแสนเรื่องที่เราจะพลาดไปอยู่ดี ดังนั้น FOMO หรือ Fear of Missing Out จึงเป็นอาการที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะยังไงเราก็ Miss Out แน่ๆ

ข่าวสารนั้นมีไม่จำกัด ความอยากรู้อยากเห็นของเรามีไม่จำกัด แต่เวลาของเรานั้นแสนจะจำกัด

ที่ผ่านมาเราใช้เวลากับเรื่องที่เราไม่เคยคิดจะแคร์บน news feed ไปเท่าไหร่ รวมๆ แล้วมันคุ้มค่าหรือมันน่าเสียดาย

อย่าให้วันเวลาเปล่าเปลืองไปกับเรื่องที่เราไม่เคยคิดจะแคร์เลยนะครับ

ถ้าเราชอบตัวเองมากพอ เราจะไม่ขอให้คนอื่นมาชอบเรา

หนึ่งในปรากฏการณ์ที่มาพร้อมกับ social media คือการเรียกร้องความสนใจ

ทุกครั้งที่มีคนกดไลค์รูปของเรา สมองจะหลั่งสาร dopamine เมื่อหลั่งบ่อยๆ เข้าเราก็ติดใจไม่ต่างอะไรกับการเสพติด

พวกเราส่วนใหญ่จึงน่าจะเคยโพสต์รูปแล้วลุ้นว่ารูปนี้จะมีคนมากดไลค์เท่าไหร่

ถ้าคนกดไลค์เยอะใจเราก็พองฟู ถ้าน้อยกว่าที่หวังไว้ใจก็แฟบ

เราสนใจไลค์จากคนไม่รู้จัก มากกว่าจะสนใจว่าคนใกล้ตัวจะชอบเราหรือไม่

หนักไปกว่านั้น เราสนใจไลค์จากคนไม่รู้จัก จนลืมถามตัวเองว่าเราชอบตัวเองหรือไม่ด้วยซ้ำ

ลองตั้ง notifications ดูใหม่ ใครกดไลค์ไม่ต้องมาป๊อปอัพให้เรารู้ทุกครั้งก็ได้

ลงรูปถ่ายเพราะอยากเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดี ไม่ใช่เพื่อโฆษณาว่าชีวิตเราดีและชวนให้คนมาเชื่อ

คอยสังเกตตัวเอง ว่าจิตใจที่โหยหาให้คนอื่นยอมรับเรานั้นแปลผกผันกับการที่เรายอมรับตัวเอง

เพราะถ้าเราชอบตัวเองมากพอ เราจะไม่ร้องขอให้คนอื่นมาชอบเราครับ

เราไม่ได้ถ่ายรูปเพื่อเก็บความทรงจำ

20191125b

10 ปีที่ผ่านมาคนเราน่าจะถ่ายรูปมากขึ้น 10 เท่า

ปัจจัยแรกคือกล้องมือถือที่ถ่ายภาพสวยขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจัยที่สองคือเม็มโมรี่ที่มีความจุเป็นร้อยกิ๊กกะไบต์

แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ social media

ผมเริ่มรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ได้ถ่ายรูปเพื่อที่จะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำกันแล้ว

เราถ่ายรูปเพื่อจะเอาไว้อวดคนอื่นๆ

ว่าคู่ของเราสวีตกันแค่ไหน ที่ที่เราไปเที่ยวมันสวยอย่างไร ลูกของเราน่ารักเพียงใด

มือกดปุ่มถ่ายรูป แต่ใจคิดไปหนึ่งสเต็ปล่วงหน้าแล้วว่าภาพนี้เหมาะเอาขึ้น IG

สิ่งที่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวจึงกลายเป็นเรื่องสาธารณะ

ฝรั่งก็ออกมาเตือนคนที่แชร์เรื่องตัวเองบ่อยๆ ว่ามันอาจกระทบเรื่องความปลอดภัยนะ

เช่นถ้าเราโพสต์ว่ากำลังไปเที่ยวเมืองนอก นั่นก็แสดงว่าไม่มีคนอยู่บ้าน ซึ่งถ้าข้อมูลนี้ตกถึงมือโจรผู้ร้ายก็ย่อมเพิ่มความเสี่ยง

แต่ก็อีกนั่นแหละ สำหรับเมืองไทย การที่เราไปเที่ยวก็ไม่ได้แสดงว่าจะไม่มีคนอยู่บ้าน

สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากกว่าก็คือการที่เราติดนิสัยเอาเรื่องส่วนตัวไปบอกส่วนรวม จนวันหนึ่งเราสูญเสียความสามารถในการจำแนกแยกแยะระหว่างสองเรื่องนี้

จนอาจจะทำให้เราโพสต์อะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสมออกไป โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันไม่เหมาะไม่ควรครับ