สองเอสที่ควรจำไว้เสมอ

20150305_2S

เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว บริษัทผมจัดเทรนนิ่งเรื่อง Emotional Intelligence หรือ EQ นั่นเอง

คนสอนเป็นชาวสิงคโปร์ชื่อ Dr.Leonard Young ครับ

เรื่องที่เขาสอนนั้นผมเก็บเข้ากรุไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ที่พอนึกออกมีแค่สามเรื่อง

1. เรื่องอาหารทะเล
2. เรื่องการติดกับดักทางความคิด
3. เรื่องสองเอสในชีวิตคนเรา

เรื่องแรก ลีโอนาร์ดบอกว่า ควรจะหลีกเลี่ยงสัตว์ทะเลที่มีกระดองทั้งหลาย เพราะไม่ดีต่อสุขภาพแถมยังสกปรกเพราะหาอยู่หากินในก้นทะเล

เขาเปรียบเทียบง่ายๆ ว่าพวก กุ้ง กั้ง หอย ปู พวกนี้มันคือ sea cockroach หรือ แมลงสาบทะเลดีๆ นี่เอง

ก็ฟังดูมีเหตุผลครับ ตอนนี้ผมก็ยังกินอยู่ดี เพียงแต่ไม่ค่อยบ่อยเพราะมันแพง

เรื่องที่สอง เรื่องการติดกับดักทางความคิดนั้น ผมขอเก็บไว้เล่าวันหลังนะครับ

มาเข้าเรื่องที่สามซึ่งเป็นประเด็นหลักของวันนี้ดีกว่า

เขาบอกว่าคนเราทุกคนต้องการจริงๆ แค่สองอย่างเท่านั้น:

  • Security
  • Significance

ทุกคนอยากรู้สึกปลอดภัย และทุกคนอยากรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ

เราสามารถใช้แค่สองเอสนี้มาทำความเข้าใจและอธิบายเรื่องต่างๆ ในชีวิตเราได้ดีทีเดียว เช่น

–ชีวิตทำงาน–
เราทำงานเพื่อจะมีรายได้
เรามีเงินเพื่อที่ได้ซื้อปัจจัยสี่และสิ่งอื่นๆ ที่เราต้องการ
การมีปัจจัยสี่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย (security)
ส่วนคนที่เอาไปเงินไปทำสิ่งอื่นที่เกินจากปัจจัยสี่ ก็เพราะมันทำให้เรารู้สึกสำคัญหรือมีความหมาย (เช่นไปซื้อของแบรนด์เนม หรือนำเงินไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส)

ในขณะเดียวกัน การทำงานไม่ได้ให้แค่เงินเท่านั้น
แต่ให้โอกาสเราได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ได้ใช้ความสามารถที่เรามี และได้พัฒนาตัวเอง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนตอบโจทย์เรื่อง Significance

ในฐานะเจ้านาย ถ้าอยากให้ลูกน้องอยู่กับเรานานๆ ก็ต้องช่วยให้เขาได้รับทั้ง Security และ Significance

อาจจะเป็นการให้กำลังใจ หรือให้ข้อมูลเวลาที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ (Security) หรือจะเป็นการชมเชยเวลาที่เขาทำงานได้ดี (Significance)

–ชีวิตคู่–
การแต่งงานกัน นอกจากจะเป็นเรื่องของความรักแล้ว ยังเป็นเรื่อง Security อีกด้วย

จริงๆ แล้วการแต่งงานในสมัยก่อน ใช้เหตุผลเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากกว่าความรู้สึกทางจิตใจด้วยซ้ำไป

เวลาชีวิตคู่มีปัญหา ก็มักเป็นเพราะว่าเราไม่ตอบโจทย์ security หรือ significance ของอีกฝ่าย

ถ้าเราเป็นฝ่ายชาย ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่มีความก้าวหน้า ผู้หญิงก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะฝากชีวิตไว้กับคนๆ นี้ได้มั้ย

หรือถ้าเราไปมีเล็กมีน้อยกับคนนั้นคนนี้ ย่อมทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นธรรมดา

หรือถ้าผู้ชายไม่เคยชม ไม่เคยโทร.หาผู้หญิง หรือลืมวันสำคัญๆ ผู้หญิงก็ย่อมรู้สึกขาด significance

ในทางกลับกัน ถ้าผู้หญิงไม่ช่วยดูแลบ้านช่องหรือเอาใจสามีบ้าง ความรู้สึกเรื่อง security และ significance ของผู้ชายก็ย่อมถูกกระเทือนเช่นกัน

– ชีวิตธรรม —

เราสวดมนต์ ไหว้พระ เพราะเชื่อว่าท่านจะคุ้มครองเราให้รอดพ้นจากอันตราย ซึ่งก็ตอบโจทย์ด้าน Security

บางคนก็มุ่งไปไกลกว่านั้น คือทำบุญเป็นอาจิณและรักษาศีลเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า ชาติหน้าจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี

หรือบางคนอาจจะหวังมากขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการฝึกวิปัสสนา และถ้าปัจจัยทุกอย่างเกื้อหนุนจนได้เป็นพระโสดาบัน ก็ถือเป็นการปิดประตูอบายภูมิ ไม่มีวันไปเกิดในภพที่ต่ำกว่าภพมนุษย์ได้อีก นี่ก็นับเป็นเรื่อง security อีกเช่นกัน

ถ้ามองในแง่ Significance การปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้มรรคผลหรือดำเนินตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้านั้น ก็คือการเชื่อมั่นว่าชีวิตของเรามีเป้าหมายมากกว่าการก้าวหน้าแค่ทางกายภาพอย่างเดียว

—–

ถ้าเรามอบ security & significance ให้ใคร ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะมอบสิ่งดีๆ กลับมาให้เราด้วยเช่นกัน

ลองดูนะครับ ผมว่าเราสามารถเอาคอนเซ็ปต์สองเอสนี่นำไปใช้ได้กับเกือบทุกสถานการณ์เลยล่ะ

ได้ผลยังไงอย่าลืมมาบอกกันบ้างนะครับ

คิดก่อนซื้อ

20150302_WeBuyThingsWeDontNeed

คนเราชอบซื้อของที่ไม่จำเป็น ด้วยเงินที่เรายังไม่มี เพื่ออวดคนที่เราไม่ชอบ
– เดฟ แรมซี่ย์

อ่านข้อความนี้แล้วก็ต้องมาสำรวจตัวเองว่าเป็นอย่างที่เขาว่ารึเปล่า

ตามความเข้าใจของผม money we don’t have คงหมายถึงเงินที่กู้ยืมเขามา หรือเงินที่ยังไม่เข้าบัญชีแต่ใช้บัตรเครดิตจ่ายไปก่อน

ผมมีใช้บัตรเครดิตซื้อของอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เพื่อความสะดวก หรือเพราะซื้อของออนไลน์ มากกว่าใช้บัตรเพราะยังไม่มีเงินจ่าย

พยายามทบทวนตัวเองว่าเคยซื้อของเพื่อจะอวดใครรึเปล่า ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออก (หรืออาจจะทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้)

แสดงว่าอย่างน้อยโดยนิสัยแล้ว ผมก็ไม่ได้ซื้อของเพื่ออวดใครหรือใช้เงินที่ตัวเองไม่มี (ยกเว้นเรื่องซื้อบ้าน)

เหลือแค่เรื่องเดียวคือ Buy things we don’t need

ผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบชอปปิ้งเท่าไหร่

สินค้าที่ผมเคยใช้เงินเกินหนึ่งหมื่นบาทซื้อมีแค่สามอย่าง คือ แม็คบุ๊คโปร รถยนต์นิสสันอัลมีรา และซัมซุงสมาร์ททีวี (ผมไม่เคยซื้อสมาร์ทโฟน ก่อนหน้านี้ได้รับมรดกจากน้องชาย และเครื่องล่าสุดที่กำลังใช้อยู่ก็เป็นเครื่องที่บริษัทให้มา)

ในบรรดาสามอย่างนี้ เหมือนจะมีแค่รถเท่านั้นที่ใช้คุ้ม

แม็คบุ๊ค จำได้ว่าเพราะโบนัสเพิ่งออก และอยากจะลองเอามาอัดเพลงและตัดต่อหนัง แต่เหตุผลจริงๆ คือมันก็ดูโก้ชะมัด

แต่มา ณ ตอนนี้ ผมเปิดใช้เดือนละครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง เพราะรู้ตัวแล้วว่าไม่ค่อยถูกโฉลกกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลเท่าไหร่ (เคยลองใช้ทั้ง iPod และ iPhone แล้วก็ไม่ชอบ ผมคงเป็นคนส่วนน้อยสินะ)

ส่วนสมาร์ททีวี ผมกับแฟนที่หุ้นกันซื้อทีวีเครื่องนี้ก็แซวกันเองบ่อยๆ ว่าสมาร์ททีวี แต่สติ๊วปิดยูสเซอร์นะ! เพราะซื้อโดอยใช้อารมณ์ล้วนๆ ไม่ได้ศึกษาก่อนว่ายี่ห้อไหนดี ไม่ดี แค่คิดว่าเออมือถือที่เราใช้มันเจ๋ง ทีวีก็คงเจ๋งด้วยมั้ง แต่ปรากฎว่าพอซื้อมาจึงพบว่าฟังชั่นยังขาดๆ เกินๆ  แถมธรรมดาเราก็แทบไม่ได้ดูทีวีเลย โดยเฉลี่ยแล้วเปิดทีวีไม่เกินสัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมง คุ้มจริงๆ

เวลาเราซื้อ things we don’t need นอกจากเสียเงินแล้ว ยังเสียพื้นที่ว่างถึงสามรอบ

ทั้งพื้นที่ว่างทางกายภาพ พื้นที่ว่างทางสมอง และพื้นที่ว่างทางเวลา

เพราะพอมีของ ก็ต้องหาที่วาง ต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงกับมัน และต้องเสียเวลาทำความสะอาดและดูแลรักษา ทั้งๆ ที่เราแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเลย

คราวหน้าจะเอาอะไรเข้าบ้าน คงต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้

อยากทำจริงรึเปล่า

20150301_WayExcuse

If you really want to do something, you’ll find a way.

If you don’t, you’ll find an excuse.

ถ้าคุณอยากจะทำมันจริงๆ คุณก็จะหาทางจนได้
ถ้าคุณไม่ได้อยากทำมันเท่าไหร่ คุณก็จะหาข้ออ้างจนได้
– จิม รอห์น

เคยเป็นตัวตั้งตัวตีนัดเพื่อนทานข้าว หรือนัดกันไปเที่ยวมั้ยครับ?

บางคนจะตอบว่า “โอเค ยังว่างอยู่ เดี๋ยวล็อควันไว้เลยนะ”

ขณะที่บางคนจะตอบว่า “เดี๋ยวขอดูใกล้ๆ ก่อนนะว่าติดอะไรรึเปล่า”

คำตอบแบบหลังนี่บอกอะไรเราได้หลายอย่างเลย

1. วันที่เราเสนอไปนั้น จริงๆ แล้วเขายังว่างอยู่
2. แต่ต้องแทงกั๊กไว้ก่อน เผื่อจะเจออะไรที่สำคัญมากกว่า
3. แสดงว่าเขาให้คุณค่ากับการไปเที่ยวกับเราน้อยกว่ากิจกรรมอื่นๆ

ซึ่งถ้าเจอพวก “ขอดูก่อนนะว่าติดอะไรรึเปล่า” เยอะๆ โอกาสที่นัดของเราจะล่มย่อมมีสูงมาก และทำให้คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีหมดกำลังใจเอาง่ายๆ

—–

ตอนต้นปี คุณได้ตั้งเป้าหมายสำหรับปีนี้ หรือที่เรียกว่า New Year’s Resolutions มั้ยครับ?

จะลดน้ำหนัก
จะเขียนบล็อก
จะหารายได้เสริม
จะเรียนดนตรี
จะเล่นโยคะ

ผ่านไปสองเดือน Resolutions ของคุณตอนนี้ยังหนักแน่นอยู่รึเปล่า?

ถ้ามันละลายหายไปเกือบหมดแล้ว มันเกิดจากอะไร?

เราอาจจะบอกว่าเราต้องเจอ “อุปสรรค” มากมาย

กลับบ้านดึก เพื่อนชวนกินบุฟเฟ่ต์ ไม่มีเวลา ครอบครัวไม่สนับสนุน เจ้านายสั่งงานเยอะ

เหล่านี้คือ “เหตุผล” จริงๆ หรือ?

หรือเพราะมันมีเหตุผลที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น

นั่นคือ จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากทำมันขนาดนั้นหรอก เพราะอยู่อย่างเก่าก็สบายดี

ถ้าเราคิดจะทำมันจริงๆ อุปสรรคที่เรากล่าวอ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่เราจะแก้ได้ใช่มั้ย?

เพราะชีวิตที่ผ่านมาเราเจอเคยอุปสรรคที่หนักหนากว่านี้ตั้งเยอะ แต่เราก็ยังแก้ไขหรือก้าวข้ามมันมาได้

สิ่งเดียวที่ผมพอจะแนะนำได้ก็คือ ถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร

แล้วเลือกแค่หนึ่งอย่างที่สำคัญกับเราที่สุดในตอนนี้

และเริ่มทำมันซะตั้งแต่วันนี้

แล้วทำให้ได้ทุกวัน แม้จะทำมันได้แค่วันละสองนาทีก็ตาม

แล้วคุณจะเมามัน

เพราะการ find a way สนุกกว่าการ find an excuse เยอะเลยครับ

—–

หากต้องการรับ Newsletter รายเดือน (รวมเรื่องราวคัดสรรพร้อมบทความพิเศษ) สามารถสมัครได้ที่นี่ครับ