หนึ่งในหนังสือที่ผมอยากแนะนำให้อ่าน คือ Antifragile ของ Nassim Nicholas Taleb ผู้เขียนเดียวกับ The Black Swan
ของที่แตกง่าย เราเรียกว่า fragile
ของที่คงทน ทำลายได้อยาก เราเรียกว่า robust
ส่วนของที่ยิ่งทุบยิ่งแข็งแกร่งขึ้น Taleb เรียกว่า antifragile
อารมณ์เดียวกับชาวไซย่าในเรื่องดราก้อนบอล ที่ยิ่งถูกทำร้ายมากเท่าไหร่ เวลาหายดีแล้วพลังต่อสู้จะเพิ่มขึ้น
จริงๆ ร่างกายมนุษย์เราก็มีความ antifragile ระดับหนึ่ง ซึ่งการออกกำลังกายก็ใช้หลักการนี้ คือการทำให้ร่างกายต้องออกแรงมากกว่าปกติจนกล้ามเนื้อบางส่วนถูกทำลาย แล้วร่างกายก็จะ overcompensate ด้วยการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม
เมื่อวันก่อนผมได้ฟัง “คุณต่อ เพนกวิน” เจ้าของร้าน Penguin Eat Shabu ให้สัมภาษณ์พี่ดู๋ สัญญา คุณากร ในรายการเจาะใจ Life Hacks เมื่อเดือนพ.ย.2563 ว่า
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านอาหาร เทียบกับจำนวนประชากรถือว่าเยอะ เรามีเจ้าของร้านอาหารในเมืองไทยเกือบ 4 ล้านรายครับ จะมีเพียงแค่ 10% เท่านั้นที่อยู่รอดเกิน 3 ปี”
มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ Taleb เคยเล่าไว้ในหนังสือ Antifragile (บทที่ 4)
“ร้านอาหารแต่ละร้านนั้น fragile เพราะพวกเขาต้องแข่งกันเอง แต่นั่นแหละที่ทำให้วงการร้านอาหารมัน antifragile
ถ้าร้านอาหารแต่ละร้าน robust ระดับที่ไม่มีวันเจ๊ง องค์รวมธุรกิจร้านอาหารจะเฉื่อยชาและอ่อนแอ และรสชาติคงไม่ต่างอะไรกับในโรงอาหาร…ดังนั้นคุณภาพ ความมั่นคง และความเชื่อถือได้ของวงการนี้นั้นเกิดจากความ fragile ของร้านอาหารแต่ละร้าน [เพราะระบบจะคัดกรองร้านที่ไม่มีคุณภาพออกไป และเปิดทางให้ผู้เล่นรายใหม่ๆ ได้เข้ามา]
ดังนั้นบางส่วนในระบบอาจต้องมีความ fragile เพื่อให้องค์รวมนั้นมีความ antifragile สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวอาจมีความ fragile แต่ข้อมูลที่เก็บอยู่ในยีนของสิ่งมีชีวิตนั้นจะมีความ antifragile ประเด็นนี้สำคัญมากเพราะมันคือหลักการที่เป็นตัวขับเคลื่อนวิวัฒนาการเลยทีเดียว”
อีกตัวอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกันก็คือไฟป่า ถ้าเราปล่อยให้ไฟป่าเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว ต้นไม้แห้งส่วนหนึ่งจะถูกเผาทิ้งไปโดยปริยาย ทำให้ไม่มีเชื้อเพลิงเหลือมากนัก แต่ถ้าเราป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่าเลย หากเราพลาดและเกิดไฟป่าขึ้นจริงๆ มันจะเป็นไฟป่าที่ใหญ่เกินควบคุมเพราะมีเชื้อเพลิงอยู่เต็มพื้นที่
ผมกับแฟนมีเรื่องเถียงกันอยู่เรื่อยๆ ประมาณไตรมาสละครั้งสองครั้งพอให้เป็นสีสันของชีวิตคู่
เวลาทะเลาะกันผมก็จะบอกตัวเองว่า ดีแล้วที่ได้ทะเลาะกัน จะได้จูนกันเรื่องความคาดหวังและวิธีคิด ดีกว่าไม่ชอบอะไรแล้วเก็บมันเอาไว้ในใจ
อดีตคู่รัก คุณเจมส์ เรืองศักดิ์ และ เอ๊ะ ศศิกานต์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2553 ว่า
“เอ๊ะยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม ก่อนย้อนความถึงครั้งแรกที่ได้เจอแฟนว่า “ตอนนั้นไปเล่นเอ็มวีให้เจมส์ในเพลง “ไม่รักก็เกลียดเลย” ในชุด “ดิ แอดเวนเจอร์” เขาก็เป็นคนที่น่ารักดี และดูเป็นคนที่เอาใจใส่มากๆ จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ที่ผ่านมาก็มีเรื่องที่ถึงขั้นจะเลิกกันก็มี เหตุการณ์เกิดเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง ให้เจมส์เล่าดีกว่าค่ะ” เอ๊ะโยนให้เจมส์พูด
นักร้องหนุ่มนิ่ง ก่อนจะย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ตอนนั้นผมสั่งซื้อปลาแซลมอนมาจากต่างประเทศตัวใหญ่มากมาให้เอ๊ะ ซึ่งในใจก็คิดว่าเอ๊ะจะต้องดีใจมากๆ แต่เอ๊ะกลับบอกว่า “บอกตรงๆ มันงี่เง่ามากๆ ที่ซื้อมาให้แบบนี้” เท่านั้นเองทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมา”
เจมส์บอกที่ผ่านมาเขาและเอ๊ะคบกันก็มีปัญหาเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ แต่ได้กวาดปัญหานั้นไว้ใต้พรม พอเจอเรื่องนี้จึงเหมือนขุดออกมาพูดกัน
“วันนั้นผมถึงกับบอกเขาเองว่า เราถอยห่างกันดีกว่ามั้ย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมพูดแบบนี้ตั้งแต่คบกัน แต่ก่อนหน้านี้เอ๊ะจะพูดกับผมมาแล้ว 4-5 ครั้ง เพราะความไม่เข้าใจกัน จากวันนั้น ก็ไม่คุยกัน แต่ผมได้จดทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่ไม่พอใจเขาหรือปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นและไม่ได้พูดกันมา เป็นเรื่องที่คาใจมานาน ผมจดได้ประมาณ 20 กว่าเรื่อง”
“ที่จดก็เพราะว่ากลัวลืมเวลาที่จะไปพูดเพื่อขอเลิกกัน เมื่อมาเจอกันในอีกหลายวันต่อมาผมก็จะบอกว่ายังไม่ต้องพูดอะไร ผมขออ่านสิ่งที่ผมคาใจมาตลอดให้เขาฟัง และอย่าเพิ่งร้องไห้ ปรากฏพออ่านๆ ไปจนถึงข้อที่ 4 ผมกลับร้องไห้ซะเอง”
หนุ่มเจมส์บอกต่อว่า “วันนั้นเราก็เลยได้มานั่งคุยกัน ได้รู้ปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดแต่ไม่ได้รับการแก้ไข”
ดังนั้นการที่คู่รักจะทะเลาะกันบ้างนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะแม้จะทำให้ความสัมพันธ์ดูไม่มั่นคง แต่แท้จริงแล้วมันคือไฟป่าเล็กที่ป้องกันไฟป่าใหญ่ มันคือร้านอาหารที่เจ๊งไปเพื่อให้วงการร้านอาหารแข็งแรง มันคือการทำลายกล้ามเนื้อบางส่วนเพื่อที่จะสร้างกล้ามเนื้อมัดใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม
ขอให้เรามีกล้ามเนื้อความสัมพันธ์ที่ antifragile กันนะครับ