[ถาม]: เท่าที่รู้มาคือคุณเข้าวงการโดยเริ่มจากศูนย์ ไม่รู้จักใครเลย แล้วตอนนั้น
คิดว่าต้นทุนที่สำคัญของคุณคืออะไร[ตอบ]:จริงๆ ผมรู้สึกว่ามันเริ่มจากโอกาส เราต้องวิ่งเข้าหาโอกาส บางครั้งจะมานั่งรอโอกาสอย่างเดียวก็ไม่ได้ ตั้งแต่เด็กเลยนะ สมมติถ้าผมฝึกเล่นดนตรี แล้วรอวันหนึ่งให้โปรดิวเซอร์มาเห็น เอานามบัตรมาให้เหมือนอย่างในละครหรือในหนัง สำหรับผมมันช้าไป เพราะก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะมาเห็น เพราะฉะนั้นอยากได้อะไรก็ต้องหามาให้ตัวเอง ถ้ารู้ว่าจะไม่มีใครแต่งเพลงให้ ก็ฝึกแต่งเพลงสิ อยากเล่นกีตาร์เป็น แต่ไม่มีใครสอน ก็ต้องฝึกเล่นเองสิ บางคนเล่นกีตาร์อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนมาชวนไปเล่นที่ร้าน แต่ผมไม่มี ผมก็ต้องเดินไปหาร้านของใครก็ไม่รู้ อย่างตอนที่ไปอยู่ภูเก็ตผมก็ไม่มีเพื่อนสักคน ก็ต้องเสิร์ชหาข้อมูลทุกอย่างเอาเอง สุดท้ายแล้วต้นทุนที่สำคัญมันอาจจะเป็นความชอบที่ผมอยากจะทำ มันพาผมขับเคลื่อนไปข้างหน้า
หลายคน มักจะพูดถึงพรสวรรค์ ผมก็เคยคิดเหมือนกันว่าพรสวรรค์คืออะไร สุดท้ายผมคิดว่าพรสวรรค์ก็คือความชอบนี่แหละ สมมติมีเด็กคนหนึ่งเรียนภาษาอังกฤษเก่งมาก หลายคนก็บอกว่าน้องคนนี้เขามีพรสวรรค์ด้านภาษาอังกฤษ แต่เขาอาจไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วน้องมันแค่ชอบภาษาอังกฤษมาก เจออะไรเป็นภาษาอังกฤษก็หยิบมาอ่าน เพราะเขาชอบไง แต่เราไม่เห็นกระบวนการทำงานของเขา ก็ไปคิดว่าเขามีพรสวรรค์ ไปตัดสินว่าเขาคงนั่งเฉยๆ เหมือนเรา แล้วอยู่ๆ ก็มีพรสวรรค์งอกขึ้นมาเอง แต่จริงๆ แล้วมันเริ่มจากความที่เขาชอบ หรือเห็นเพื่อนเล่นกีตาร์เป็นได้เร็ว เราก็ไปตัดสินเขาอีกว่าเขาคงนั่งอยู่เฉยๆ เหมือนเรา แต่ไม่รู้เลยว่าตอนอยู่บ้านเขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากเล่นกีตาร์ ถ้าเล่นไม่เก่งก็บ้าแล้ว เพราะฉะนั้นผมยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าพรสวรรค์คืออะไร เพราะผมเองก็ไม่ได้เก่งมากหรือเป็นเทพ แต่อยากทำอะไรได้ก็แค่ไปฝึก อยากแต่งเพลงก็ฝึกแต่งเพลง ไม่กล้าบอกหรอกว่าตัวเองแต่งเพลงเก่ง ผมก็เหมือนคุณนี่แหละ ไม่ได้อัจฉริยะอะไรเลย ต้องกลับบ้านไปนั่งใช้เวลาแต่ง เหมือนๆ กัน บางครั้งก็คิดออก บางครั้งก็คิดไม่ออก
– สิงโต นำโชค
a day BULLETIN Issue 380 2-8 November 2015
เรื่อง : วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม, เอกพล บรรลือ
ภาพ : ภาสกร ธวัชธาตรี
—–
วันก่อนที่ผมเขียนเรื่องนาฬิกาแดดที่อยู่ในร่ม เพื่อนคนนึงก็เข้ามาคุยกับผมว่าไม่รู้ว่าพรสวรรค์ของตัวเองคืออะไร
ผมตอบไปว่าจริงๆ เธอน่าจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่เราชอบทำและขยันฝึกจนเราทำได้ดีนี่เอง (เธอชอบเล่นโยคะมาก)
เวลาเราเห็นคนเก่งมากๆ เรามักจะบอกว่าคนนั้นคนนี้มีพรสวรรค์ หรือถ้าเทพขึ้นไปอีกก็จะยกย่องว่าเขาเป็นอัจฉริยะ
แต่แม้กระทั่งอัจฉริยะที่เรายกย่องอย่างไอน์สไตน์ก็เคยพูดว่าเขาไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย เขาแค่พร้อมที่จะขลุกอยู่กับปัญหานานกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
“It’s not that I’m so smart, it’s just that I stay with problems longer.”
เวลาที่เราบอกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์เหมือนคนอื่น จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนความเหยาะแหยะหรือความกลัวของเรารึเปล่า?
พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิดคงจะพอเป็นเรื่องจริงอยู่บ้าง ซึ่งน่าจะใช้ได้กับคนที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างเมสซี่หรือโรนัลโด
แต่สำหรับคนเก่งอีก 99.9999% สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์นั้นจริงๆ แล้วอาจเป็นเพียงแค่ความชอบที่มากพอจนเขาลงแรงและฝึกฝนมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
ความสามารถอย่างหนึ่งของผมคือเล่นกีตาร์ได้โดยไม่ต้องดูคอร์ด ขอแค่ร้องได้ก็เล่นได้แล้ว (เฉพาะเพลงไทยนะ) น้องบางคนก็ชอบนึกว่าผมจำคอร์ดแม่น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
ช่วงปีแรกของการหัดกีตาร์นั้น ผมอยู่นิวซีแลนด์ แถมตอนนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต จึงไม่สามารถหาหนังสือเพลงหรือหาคอร์ดจากเน็ตมาเล่นได้ มันจึงบังคับให้ผมต้องแกะเพลงที่อยากเล่นไปโดยปริยาย พอแกะเพลงมากเข้าๆ ก็พอจะจับทางคอร์ดออก โดยเฉพาะเพลงไทยที่ทำนองไม่ซับซ้อน ไปๆ มาๆ จึงรู้ได้เลยว่าท่อนต่อไปควรจะเล่นคอร์ดอะไรโดยไม่ต้องใช้ความจำ
การเล่นกีตาร์ได้โดยไม่ต้องดูคอร์ด ดูเผินๆ เป็นพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ผลของการฝึกฝนเท่านั้นเอง
ดังนั้น สำหรับคนที่จะเริ่มทำอะไรอะไร ลืมคำว่าพรสวรรค์ไปก่อนเลย ลองทำดู แล้วถามตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบก็ให้เวลากับมันมากๆ ฝึกฝนเยอะๆ และสุดท้ายก็จะเหมือนที่พี่สิงโตบอก…คนที่ทำได้อย่างนี้ ถ้าไม่เก่งก็บ้าแล้ว
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก a day BULLETIN Issue 380 2-8 November 2015
อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/