1.นอนก่อนห้าทุ่ม
ตื่นเช้าไม่ยากเท่านอนเร็ว เพราะตอนกลางคืนคือตอนที่เรารู้สึกว่ามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้หลังจากต้องทำตามหน้าที่หรือทำตามคำสั่งและคำขอของคนอื่นมาทั้งวัน
แต่ถ้าเราสามารถกำหนดกรอบให้ตัวเองหลับไม่เกินห้าทุ่มได้ วันถัดมาเราจะตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าด้วยความรู้สึกสดใสโดยไม่ต้องพยายาม
วิธีการที่ผมลองแล้วได้ผลคือทิ้งมือถือไว้นอกห้องนอน และปิดทีวีก่อนสี่ทุ่ม จากนั้นจะทำอะไรต่อก็แล้วแต่อัธยาศัย
เคยมีคนบอกว่า ให้เราคิดเสียว่าวันใหม่เริ่มต้นตอนที่เราจะเข้านอน ถ้าเราเริ่มต้นวันด้วยการเข้านอนได้ดี เราก็จะมีวันดีๆ ไปได้ทั้งวัน
.
2.อยู่กับปัจจุบัน
“I’ve always found that the best productivity hack is presence. It’s just your ability to unitask and do one thing at a time.”
–Simone Stolzoff
ถ้าเราสามารถทำงานเสร็จทีละงานได้ โดยไม่กระโดดไปมาระหว่างการทำงานกับการเช็คสแล็ค/ไลน์/อีเมล/โซเชียล เราจะทำงานเสร็จได้รวดเร็วแม้ว่าเราจะเป็นคนทำงานช้าก็ตาม
การอยู่กับปัจจุบันนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก วิธีที่พอจะช่วยได้คือลด notifications ให้เหลือเท่าที่จำเป็น
ไม่ผิดที่เราจะเผลอ แต่ถ้าเผลอแล้วรู้ตัวว่าเผลอบ่อยๆ สติจะเข้มแข็งขึ้นและอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดีกว่าเดิม
.
3.รดน้ำต้นไม้
David Allen เจ้าพ่อเรื่อง productivity และผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done เคยบอกว่า บางทีเราก็ควรรู้ตัวว่าเวลาไหนเราควรลุยงาน และเวลาไหนที่สมองมันไปต่อไม่ไหวแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำในจังหวะแบบนั้นก็คืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งาน – เช่นการรดน้ำต้นไม้
หลักใหญ่ใจความไม่ใช่การดูแลต้นไม้ แต่คือการให้โอกาสสมองได้มีช่องว่าง
ตอนที่เราผ่อนคลาย ตอนที่เราไม่คิดเรื่องงาน มักจะเป็นตอนที่เราคิดอะไรดีๆ ออก
คนเราจึงมักมีประสบการณ์ “ปิ๊งแว้บ” ตอนอาบน้ำ ตอนเดินเล่น หรือตอนเหม่อลอย
และไอเดียที่เข้ามาในห้วงขณะเหล่านี้มักจะมีพลังมากพอให้เราจัดการเรื่องใหญ่ๆ ที่พายเรือในอ่างมานานได้อย่างหมดจด
.
4.ใช้เวลากับคนที่เรารัก
เวลาที่เราอินกับงานหรือเครียดกับงานมากๆ เราอาจหลงลืมว่าเราทำงานไปทำไม
ผมว่าคนส่วนใหญ่ทำงานเพื่อจะได้มีปัจจัยมาดูแลคนที่เรารัก
การได้ใช้เวลากับคนในครอบครัว จะเป็นเครื่องช่วยเตือนใจว่างานเป็นพาหนะพาให้เราไปถึงจุดหมายปลายทาง งานไม่ใช่ปลายทางโดยตัวมันเอง (a means to an end, not an end in and of itself)
และการได้อยู่กับคนที่เรารัก เราจะรู้ว่าเราจะสู้ไปทำไมและสู้ไปเพื่อใคร
นี่ยังไม่นับคนที่มีลูกเล็กๆ บางทีเลิกงานมาเหนื่อยๆ พลังงานแทบหมดหลอด การได้กอดลูก หอมแก้มลูก เป็นตัว boost พลังงานชั้นเยี่ยม – แม้ว่าบ่อยครั้งลูกก็เป็นตัวดูดพลังงานชั้นยอดเช่นกัน!
และนั่นคือ 4 เคล็ดลับเพิ่มความ productive ที่คนไม่ค่อยพูดถึง
ส่วนอีก 0.5 ข้อที่เหลือ คือการระลึกให้ได้ว่า คุณค่าของมนุษย์ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
นอกจากเป็น “คนทำงาน” แล้ว เรายังเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นเพื่อน เป็นคนที่มีหมวกหลายใบให้เลือกใส่
อย่ารู้สึกผิดที่เราจะถอดหมวกคนทำงานออก และสวมหมวกใบอื่นในช่วงเวลาที่ถูกที่ควรครับ