บางทีก็แค่ต้องกลั้นใจแล้วกระโดด

ประโยคหนึ่งที่หัวหน้าผมชอบพูดบ่อยๆ คือ take a leap of faith

Leap คือกระโดด

Faith คือศรัทธา

Take a leap of faith คือการกระโดดออกไปด้วยความเชื่อใจในอะไรสักอย่าง

ซึ่งมันต้องใช้กันบ่อยมากในวงการสตาร์ตอัพ เพราะเรากำลังทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่มีแผนที่ให้เดินตาม และไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะนำไปสู่สวรรค์หรือหุบเหว

ตัวผมเองเคย take a leap of faith มาแล้วหลายครั้ง

จากที่เรียนจบวิศวะไฟฟ้าแต่ไม่ชอบไฟฟ้า ก็เลยผันตัวเองมาเป็น software engineer

พอเป็น software engineer ก็ทำได้แค่กลางๆ เลยผันตัวเองไปเป็น technical support ซึ่งก็ทำได้ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้อินกับมันมาก

พอรู้ตัวอยู่สาย tech ไม่น่าจะรุ่ง เลยผันตัวเองไปทำงานสื่อสารองค์กร

และเมื่อหัวหน้าคนปัจจุบันชวนให้มาลองทำ HR ก็เลยต้องผันตัวเองอีกครั้ง และเชื่อว่านี่อาจไม่ใข่ครั้งสุดท้าย


สมัยทำงานที่แรก ทีมของผมเคยไป outing กันที่ค่ายทหารในหัวหิน

หนึ่งในฐานกิจกรรมคือการกระโดดหอ

ความสูงของหอนั้นไม่ได้สูงลิบลิ่ว แต่สูงในระดับที่ว่ากันว่ามันเล่นกับความกลัวของเราได้มากที่สุด

แม้จะมีอุปกรณ์เซฟตี้เต็มตัว แต่พอมองลงไปข้างล่างก็หวาดเสียวจนขาแอบสั่นอยู่เหมือนกัน

แต่เมื่อถึงตรงนั้นแล้ว จะไม่กระโดดก็น่าเสียดาย เลยต้องกลั้นหายใจและกระโดดลงมาพร้อมทั้งตะโกนดังลั่น

ใครที่เคยผ่านประสบการณ์นี้จะรู้ว่า มันจะน่ากลัวที่สุดแค่ตอนก่อนเรากระโดดเท่านั้น


อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนนี้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

อะไรที่เคยเป็น comfort zone มันอาจจะเป็น safe zone ก็จริง แต่ในยุคนี้ comfort zone มันอาจจะกลายเป็น dangerous zone ได้อย่างรวดเร็ว

เราเชื่อใจชีวิตพอมั้ย เราเชื่อใจตัวเองพอรึเปล่า ว่าต่อให้ทางข้างหน้ายังไม่เคลียร์นัก แต่เดี๋ยวเราก็จะหาทางผ่านมันไปจนได้แหละ

เมื่อชีวิตมาถึงจุดุจุดหนึ่งที่มองลงไปแล้วขาสั่น แต่จะให้หันหลังก็น่าเสียดาย

ถึงตอนนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ take a leap of faith

ก็แค่ต้องกลั้นใจแล้วกระโดดออกไปเท่านั้นเอง