เราไม่ได้ต้องการเวลามากขึ้น

20150630_DontNeedMoreTime

You don’t need more time, you just need to decide.
คุณไม่ได้ต้องการเวลามากขึ้นหรอก คุณแค่ต้องตัดสินใจเท่านั้นเอง

– Seth Godin

—–

เคยมั้ยครับที่เข้าประชุมแล้วมีเรื่องต้องตัดสินใจ แต่ที่ประชุมตกลงกันไม่ได้ เพราะไม่มีใครกล้าฟันธง หรือเพราะว่ายัง “ต้องการข้อมูลมากขึ้น” หรือ “ต้องการเวลาคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้”

แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ เพื่อที่จะกลับมาประชุมกันใหม่ แล้วก็ยังตัดสินใจกันไม่ได้อยู่ดี หรือถ้ามีการตัดสินใจ การเลื่อนเวลามาหนึ่งสัปดาห์นั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้การตัดสินใจนั้นดีขึ้น

ที่เราผัดวันประกันพรุ่งการตัดสินใจของเราออกไป ไม่ใช่เพราะว่าเรารอบคอบอะไรหรอก แต่เพราะเรากลัวจะผิดพลาดมากกว่า

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราไม่มีวันที่จะมีข้อมูลได้ครบถ้วนเพียงพอที่จะตัดสินใจโดยไม่พลาดอยู่แล้ว

ดังนั้น ผู้นำที่ดีต้องกล้าตัดสินใจในสภาวะที่ข้อมูลไม่ครบถ้วนนี่แหละ ถ้ามันจะพลาดบ้างก็ค่อยปรับค่อยแก้กันไป เพราะการดึงเวลาเอาไว้ไม่ยอมตัดสินใจซักที นอกจากงานจะไม่เดินแล้ว ยังสร้างความกังวลและความสับสนให้กับลูกทีมอีกด้วย

—–

จริงๆ แล้วตอนที่ผมอ่านประโยค You don’t need more time, you just need to decide นี้ครั้งแรก ผมเข้าใจความหมายไปอีกทาง

เคยอยากให้วันหนึ่งมีมากกว่า 24 ชั่วโมงมั้ยครับ?

สมัยเรียนอยู่มหาลัย ผมมักจะบอกกับเพื่อนๆ ว่าอยากให้วันหนึ่งมีซัก 30 ชั่วโมง จะได้มีเวลานอนให้เต็มอิ่มกว่านี้ และมีเวลาเล่นกีตาร์+เตะบอล+เล่นเกมมากกว่านี้

นั่นคือสมัยที่ผมยังเรียนหนังสือ (ไม่มีภาระอื่น) อยู่หอ (ใช้เวลาเดินทางแค่วันละ 10 นาที) และยังไม่เคยได้ยินคำว่าเฟซบุ๊ค

ปัจจุบันผมมีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้น ใช้เวลาเดินทางมากขึ้น แถมยังมีสมาร์ทโฟนติดตัวอีกต่างหาก

แล้วจะทำยังไงกันล่ะทีนี้?

เคยได้ยินคำว่า FOMO (โฟโม่) มั้ยครับ?

FOMO ย่อมาจาก Fear Of Missing Out

ลึกๆ แล้วเรามีความกลัวว่าเราจะ “พลาด” อะไรไป เราเลยต้องคอยตามเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เสมอ

FOMO ทำให้เรายอมเข้าคิวยาวๆ เพื่อซื้อขนมชื่อดังจากเมืองนอกที่เพิ่งเปิดตัว

FOMO ทำให้หลายๆ คนยอมจ่ายเงินเป็นแสนเพื่อจะได้มีจักรยานเจ๋งๆ ไว้ขับ

FOMO ทำให้เรายอมนอนดึกเพื่อจะได้ดูละครและเชียร์ทีมบอลที่เรารัก

FOMO ทำให้เราตามอ่าน “สาระน่ารู้” “ข่าว” “ข่าวลือ” และ “บทสนทนา” ใน LINE วันละเป็นชั่วโมง

ทุกวันนี้เรามีทางเลือกดีๆ เต็มไปหมด พอคิดจะเอามันทุกอย่าง มันก็เลยทำได้ไม่ดีซักอย่าง และอาการ “ขาดแคลนเวลา” จึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ถ้ารู้ตัวว่าคุณเป็นคนที่มี FOMO ลองเปลี่ยนมาเป็นคนที่มี JOMO ดูบ้างดีมั้ยครับ?

JOMO = Joy Of Missing Out

ไหนๆ เราก็ไม่มีวันทำทุกอย่างที่เราอยากทำได้หมดอยู่แล้ว สู้ใช้เวลาที่มีทำสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุดดีกว่า ส่วนจะพลาดข่าวสาร หรือบทสนทนา หรือละครเรื่องอะไรไปเราก็ไม่ต้องไปเสียดาย เพราะเราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นเท่าไหร่หรอก

ดังนั้นเราจึงเต็มใจที่จะพลาดสิ่งเหล่านั้นด้วยความยินดี

You don’t need more time, you just need to decide.

การที่วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงอาจเป็นเรื่องที่เหมาะสมดีอยู่แล้ว

เราแค่ต้อง “ฉลาดเลือก” ให้มากขึ้นเท่านั้นเอง

A Perfect Day II

20150629_PerfectDay

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมารู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรพิเศษ

ความรู้สึกคล้ายกับเมื่อสี่ปีที่แล้วที่ผมเขียน A Perfect Day ลงในโน๊ตส่วนตัวของผม

พอได้รับประสบการณ์อย่างนี้อีกครั้ง เลยต้องกลับมาถามตัวเองให้ลึกลงไปว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

สิ่งที่ทำในวันเสาร์มีคร่าวๆ ดังนี้ครับ

6.30 ตื่นนอน
6.45 นั่งสมาธิ
7.30 เขียนบล็อก
8.30 อาบน้ำ
9.00 ทานข้าวเช้าที่ร้านข้าวแกงหน้าปากซอย
10.00 ไปย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านใหม่
11.00 แวะไปบ้านใหม่เพื่อเอากุญแจบ้านและแปลนบ้านจากผู้รับเหมา
12.00 ไปพาราไดซ์พาร์ค เอาปริ๊นท์เตอร์ไปซ่อม จองตั๋วหนัง อัพเดตบุ๊คแบงค์ ซื้อรองเท้าสุขภาพให้แฟน
13.30 กินข้าวเที่ยงที่โคโค่อิชิบัง
14.30 ดูหนังเรื่อง Jurassic World
17.30 ซื้อเสื้อผ้าโดยใช้ voucher ที่กำลังจะหมดอายุเพราะได้มาตั้งแต่งานแต่งงาน
18.30 ดู+ซื้อหนังสือร้านนายอินทร์
19.30 เดินทางกลับบ้าน แวะซื้อข้าวต้มหมูให้พ่อกับแม่กินตอนเช้า ซื้อน้ำมะพร้าวปั่นให้แฟนกิน
20.30 อาบน้ำ (ส่วนแฟนทำความสะอาดห้อง)
21.00 อ่านหนังสือ “ช้าให้ชนะ” ที่เพิ่งซื้อมาจากร้านนายอินทร์
21.30 สวดมนตร์ นั่งสมาธิ
22.15 อ่านหนังสือต่อ
22.30 เข้านอน

พอมาวิเคราะห์ดูก็คิดว่าปัจจัยที่ทำให้มีความสุขกับวันนี้เป็นพิเศษคือดังนี้ครับ

ได้ตื่นแต่เช้า
วันธรรมดาผมจะตื่นตอนตีห้าครึ่งเพื่อจะหลีกเลี่ยงรถติด ส่วนวันเสาร์ส่วนใหญ่จะตื่นสายๆ หน่อย เจ็ดแปดโมงถึงจะลุกจากเตียง แต่วันเสาร์ทีผ่านมาผมลุกขึ้นมาตั้งแต่หกโมงครึ่งเพราะคืนวันศุกร์เข้านอนค่อนข้างเร็ว

ได้นั่งสมาธิ
ผมไม่ได้นั่งสมาธิตอนเช้ามาหลายสิบวันแล้ว การได้กลับมานั่งสมาธิอีกครั้ง ช่วยให้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยใจที่มีสมดุลย์ และด้วยความรู้สึกดีที่ว่าเช้านี้เราได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเองไปหนึ่งอย่างแล้วนะ

ได้ทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำ
ธรรมดาวันเสาร์ผมจะไม่ค่อยมีแผนการเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่คุยคร่าวๆ กับแฟนว่าจะทำอะไรบ้าง แต่เมื่อคืนวันศุกร์ผมนั่งลิสต์รายการเรื่องที่ตั้งใจจะทำ แล้ววันเสาร์ก็ได้ทำไปหลายอย่างจริงๆ มันเลยเกิดความพอใจที่ได้รู้ว่าเราได้ใช้อีกวันหนึ่งในชีวิตของเราไปแบบไม่เปล่าดาย

แม้จะมีเรื่องไม่เป็นใจก็ไม่หงุดหงิดเกินเหตุ
ลองคิดย้อนกลับไปดู วันนั้นไม่ใช่วันที่ทุกๆ อย่างเป็นไปได้ดั่งใจ แต่เป็นวันที่เรา “ไม่ถือสาหาความ” กับเหตุการณ์ที่นอกเหนือความควบคุมของเรา

ร้านที่ผมทานข้าวเช้าก็ไม่ทำไก่อบที่ผมชอบกิน ออกจากบ้านมาอย่างแฟนผมก็เงียบเป็นพิเศษจนผมต้องถามเขาหลายครั้งว่าเป็นอะไรรึเปล่า (แต่ตอนบ่ายก็กลับมาสดใสเฮฮาเหมือนเดิม) เอาปริ๊นท์เตอร์ไปซ่อมร้านก็ดันปิดถึงวันจันทร์ (แถมปริ๊นท์เตอร์หนักมาก) ตั้งใจจะไปธนาคารธอส.แต่ที่พาราไดซ์ไม่มี กินข้าวแกงกะหรี่ตอนเที่ยงก็ต้องรออาหารเกือบครึ่งชั่วโมง ฯลฯ

ตอนที่เกิดเหตุการณ์เราก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่พอผ่านเหตุการณ์ไปแล้วเราก็ปล่อยให้ความหงุดหงิดนั้นผ่านไปด้วยเช่นกัน

หนังที่ดูสนุกกว่าที่คิด
แฟนผมไม่เคยดูเรื่อง Jurassic Park มาก่อน เลยไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวผมเคยอยู่ในช่วง Jurassic Park ฟีเวอร์ ก็เลยยังจำความรู้สึกตื่นตาตื่นใจตอนเห็นไทแรนโนซอรัสโผล่มาในฉากครั้งแรกเมื่อยี่สิบสองปีที่แล้วได้ แต่ก็เผื่อใจไว้แล้วว่า Jurassic World คงทำได้ไม่ดีเท่าภาคแรก

ไปๆ มาๆ หนังสนุกทีเดียว มีฉากให้ลุ้นและหัวเราะได้เรื่อยๆ แม้จะมีบางตอนที่ขัดใจอยู่บ้างในเรื่องความสมเหตุสมผล แต่โดยรวมก็เป็นหนังที่ดูเพลินจนแอบคิดไปว่า Jurassic World นี้มีอยู่จริงๆ เลยทีเดียว

เหตุการณ์ครั้งนี้ย้ำเตือนว่า เมื่อไม่คาดหวัง เราจะมีโอกาสมีความสุขมากขึ้น

ได้อ่านหนังสือ
ที่พาราไดซ์พาร์คมีร้านนายอินทร์ขนาดใหญ่ ผมกับแฟนเลยไปยืนเปิดหนังสืออ่านกันเพลินเลย น่าจะใช้เวลาอยู่ในร้านไม่ต่ำกว่า 45 นาที และเราก็ได้หนังสือมาสี่ห้าเล่ม การได้ยืนพลิกหน้าไปทีละหน้าแล้วปล่อยตัวเองให้จมจ่อมไปกับโลกทางความคิดที่นักเขียนเขาสรรค์สร้างขึ้นมานี่ถือเป็นความบันเทิงชั้นเยี่ยมทีเดียว

ได้เล่นมือถือน้อยมาก
เหตุผลข้อสุดท้ายเป็นเรื่องที่รู้ตัวตอนกลับถึงบ้านแล้ว เพราะพอเปิด Facebook ขึ้นมาผมมี notifications ถึงแปดอัน ซึ่งแปลว่าผมไม่ได้ดู Facebook มาเป็นเวลาหลายชั่วโมง (ธรรมดาผมเปิดทีไรจะมี notifications แค่หนึ่งหรือสองอันเสมอเพราะผมเปิดถี่ไปหน่อย) การไม่ได้เล่นมือถือทำให้จิตใจฟุ้งซ่านและจับจดน้อยลง และทำให้เราใส่ใจและมีความสุขกับ “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากขึ้น

—–

ตอนนี้ก็จะพยายามทำเจ็ดข้อที่ว่านี้ให้ได้เรื่อยๆ เผื่อจะได้มี Perfect Day บ่อยขึ้นครับ

สูตรความสำเร็จในชีวิต

20150628_Formula

ผลลัพธ์ของชีวิตและการทำงาน = ทัศนคติ x ความพยายาม x ความสามารถ

คาซุโอะ อินาโมริ

—–

ตอนนี้ผมกำลังอ่านหนังสือเรื่อง “ช้าให้ชนะ” ของสำนักพิมพ์ We Learn ซึ่งผมถือว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่ “มาแรงที่สุด” ในรอบสองปีที่ผ่านมา เพราะออกหนังสือแปลดีๆ มามากมาย

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ชื่อคาซุโอะ อินาโมริ เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเคียวเซเร่ (Kyocera) ที่เรารู้ว่าทำเครื่องปริ๊นท์เตอร์นั่นแหละครับ

ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วธุรกิจหลักของเคียวเซร่าคือเซรามิค เพราะ Kyocera นั้นย่อมาจาก Kyoto Ceramic

คุณคาซุโอะเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังระดับนานาชาติ หลังจากที่ถูกเชิญมาช่วยกอบกู้ธุรกิจสายการบินประจำชาติ JAL (Japan Airlines) ที่เกือบจะล้มละลาย และสามารถพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นจน JAL กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นได้อีกครั้งในเวลาเพียงสองปี

อ้อ ลืมบอกไปว่าตอนที่คุณคาซุโอะถูกแต่งตั้งให้มาเป็น CEO ของ JAL นั้นคือปี 2010 ซึ่งแกมีอายุปาเข้าไป 78 ปีแล้ว และปัจจุบันในวัย 83 ปี คุณตาคาซุดโอะก็ยังเป็น Chairman ของ JAL อยู่ ผมว่าน่าจะเป็นทั้ง CEO และ Chairman ที่แก่ที่สุดในโลกคนหนึ่งเลยนะ

กลับมาที่หนังสือ “ช้าให้ชนะ” ดีกว่า

ในหน้า 23 คุณตาคาซุโอะได้กล่าวเอาไว้ว่า

     เราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีความสุข คำตอบของผมซ่อนอยู่ในสูตรต่อไปนี้

     ผลลัพธ์ของชีวิตและการทำงาน = ทัศนคติ x ความพยายาม x ความสามารถ

     ผมขอเน้นว่าผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการนำปัจจัยทั้งสามมาบวกกัน แต่นำมาคูณกันต่างหาก

ที่นี่สนใจคือคุณคือตาบอกว่า คะแนนสำหรับความพยายามและความสามารถนั้น เขาจะให้จาก 0 ไป 100 คือถ้ามีความสามารถแต่ขี้เกียจ ผลลัพธ์ก็ย่อมออกมาเป็นศูนย์ หรือถ้ามีความพยายามแต่ไม่มีความสามารถนั้น ผลลัพธ์ก็อาจจะออกมาเป็นศูนย์ได้เช่นกัน

แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็คือทัศนคติ ที่คุณตาบอกว่ามีคะแนนตั้งแต่ -100 ถึง 100

ถ้าทัศนคติดี แถมยังฉลาดและขยัน ผลย่อมออกมาเป็นคุณมหาศาล

100 * 100 * 100 = 1,000,000

แต่ถ้าความสามารถและความพยายามสูงมาก แต่ทัศนคติไม่ดี นั่นแสดงว่าคะแนนจะออกมาเป็นลบ

-100 * 100 * 100 = -1,000,000

จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นคนที่ทั้งเก่ง ทั้งขยัน แต่ไม่มีคุณธรรม สร้างความเสียหายให้กับสังคมได้อย่างเหลือเชื่อ

ดังนั้นคุณตาคาซุโอะบอกว่า ในตัวแปรสามอย่างนี้ ทัศนคติสำคัญที่สุด ถ้าทัศนคติเราดี ผลย่อมออกมาดี ส่วนจะดีมากหรือน้อยนั้นอีกประเด็นหนึ่ง

ดังนั้นเราจึงต้องคอยสำรวจตัวเองอยู่เสมอ ว่าสิ่งต่างๆ ที่เราทำไปนั้น ออกมาจากทัศนคติที่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักการที่ควรจะมีรึเปล่า

จากนั้นเราค่อยพัฒนาความสามารถของเรา และทำงานทุกวันด้วยความขยันขันแข็ง

แล้วความสำเร็จและความสุขในชีวิตย่อมเป็นสิ่งที่พึงหวังได้ครับ

—-

ขอบคุณภาพจาก Wikipedia
ขอบคุณเรื่องราวจาก ช้าให้ชนะ สำนักพิมพ์วีเลิร์น

สบตากับปัญหา

20150627_LookInTheEye

ปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่าเราไม่พยายามจะสบตากับมัน

– OSHO

—–

เขาว่ากันว่า เวลานกกระจอกเทศเจอเสือหรือสิงห์โต ที่แข็งแกร่งกว่าและอาจจะทำร้ายมันได้ นกกระจอกเทศจะเอาหัวมุดลงไปในทราย

ด้วยความเชื่อที่ว่าถ้ามันมองไม่เห็นเสือแล้ว เสือก็จะมองไม่เห็นมันเช่นกัน

ดูเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาซะเลยนะครับ

แต่จริงๆ แล้วคนเราก็ทำอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ?

ถ้าไม่นับเรื่องอุบัติเหตุแล้ว ปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนต้องใช้เวลาเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยอย่าง Office Syndrome หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

หรือปัญหาทางการเงินอย่างหมุนเงินไม่ทัน

หรือความบาดหมางกันระหว่างคนในทีมหรือคนในครอบครัว

ทุกอย่างเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆ ก่อตัว

ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเราคิดจะลงไปจัดการตอนที่มันยัง “ตั้งเค้า” อยู่ก็ย่อมทำได้ แต่เรามักจะบอกตัวเองว่า “เอาไว้ก่อน” หรือ “ไม่เป็นไรหรอก”

จนถึงวันหนึ่งที่ปัญหามันบานปลายจนกลายเป็นวิกฤติแล้วนั่นแหละ เราถึงรู้ว่าการเอาหัวมุดทรายไม่ได้แปลว่าเสือจะมองไม่เห็นเราหรือจะเดินจากเราไป

“ปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่าเราไม่พยายามจะสบตากับมัน”

การสบตากับปัญหาเป็นเรื่องยากครับ ต้องใช้ความกล้าและต้องใช้ความจริงใจทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่นไม่น้อย เรkจึงมักเลือกที่จะมองไปทางอื่นหรือทำราวกับว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น

บางที ถ้าเราคอยเตือนตัวเองว่า “อย่ามัวเป็นนกกระจอกเทศอยู่เลย” ก็อาจจะช่วยให้เรามีความกระตือรือล้นที่จะโงหัวออกจากทรายและมองไปที่ปัญหาก็ได้

และถ้าเรามองให้ดีๆ เราอาจจะพบว่า ที่นึกว่าเป็นเสือนั้น ที่แท้แล้วมันเป็นแค่แมวเท่านั้น เราตาฝาดไปเอง

เป็นถึงนกกระจอกเทศ อย่าไปกลัวแมวครับ

—–

ป.ล. เรื่องที่ว่านกกระจอกเทศชอบเอาหัวมุดทรายเวลาศัตรูมานั้นเป็นความเชื่อที่ผิดนะครับ

โฆษณาไหมขัดฟัน

20150625_Floss

วันนี้วันศุกร์ มาดูอะไรเบาๆ กันครับ

เป็นโฆษณาไหมขัดฟันของคอลเกตที่มีแต่คนชื่นชมว่าเจ๋งมากๆ

Fstoppers-Colgate-2

Fstoppers-Colgate-1

Fstoppers-Colgate-3

ดูรูปเสร็จแล้ว ถ้าคุณเป็นเหมือนผม (และใครอีกหลายๆ คน) ก็คงคิดเหมือนกันว่า “มันเจ๋งตรงไหนวะ?”

ให้โอกาสเลื่อนกลับขึ้นไปดูรูปอีกครั้งนึงครับ

ถ้ายังไม่รู้สึกอะไรอีก ผมใบ้ให้ก็ได้ว่า ในแต่ละรูปมีสิ่งผิดปกติอยู่

แต่เรามองไม่เห็นสิ่งผิดปกติเหล่านั้น เพราะว่าความสนใจของเราทั้งหมดพุ่งไปที่ฟันที่มีผักติดอยู่

ซึ่งเป็นสิ่งที่คอลเกตพยายามจะบอกนั่นเองว่า การมีอะไรติดอยู่ที่ฟันนี่มันเด่นชัดซะยิ่งกว่าความผิดปกติอื่นๆ ในร่างกายคุณซะอีก

ดังนั้นจงซื้อไหมขัดฟันซะนะ!

—–

ป.ล. ถ้าใครยังไม่รู้อยู่ดีว่าแต่ละภาพมีอะไรผิดปกติ ผมมีคำใบ้สุดท้ายให้นะครับ : นิ้ว-มือ-หู

ป.ล.2 พอกูเกิ้ล “colgate genius advert” จึงรู้ว่าบริษัทที่ทำโฆษณานี้คือขึ้นมาคือ Y&R Brazil ครับ